ท่านพ่อและท่านแม่

1827 คำ
ออกมาจากเรือนหลานฮวาสองขาก้าวเดินไปเองอย่างชำนาญจนอดคิดในใจไม่ได้ ‘อย่างน้อยสัญชาตญาณกับการตอบสนองของร่างกายก็ยังทำงานสอดคล้องกันได้ดีไม่ทำให้นางหลงทางจนขายหน้าล่ะนะ’ บรรยากาศภายในจวนช่างร่มรื่นยิ่งนัก ต้นไม้น้อยใหญ่มากมายด้านข้างที่เดินผ่านมีเรือนขนาดกลางอีกสองเรือนไว้รับรองแขก มีซุ้มศาลาริมน้ำเอาไว้พักผ่อน ไกลออกไปด้านหลังเป็นโรงครัวและเรือนพักของบ่าวรับใช้ ดียิ่งที่บิดาของร่างนี้ไม่มีอนุชายามากมายเหมือนจวนอื่น ไม่งั้นคงปวดหัวแย่ ‘ขนาดพื้นที่ของจวนกะได้ประมาณสองไร่ละมั้ง ก็ไม่เล็กไม่ใหญ่' ผ่านไปเกือบครึ่งเค่อจึงเดินไปถึงเรือนใหญ่ เห็นชายหญิงวัยไม่ถึงสี่สิปี นั่งจิบน้ำชา และมองดูอยู่ ตามสมองน้อยๆสั่งการ ย่อกายลงตามที่เคยดูในหนังจีน "คาราวะท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ" พูดพร้อมรอยยิ้มหวานเต็มใบหน้า “เหม่ยเอ๋อร์ มาหาแม่นี่มา ไหนดูซิแผลเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านแม่เรียกบุตรสาวน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่” ร่างบางรีบเดินเข้าไปแล้วนั่งลงกอดเอวซบหน้าลงกับอกอุ่นอย่างออดอ้อน สร้างความแปลกใจให้กับสองบุพการีที่หันมาสบตากันอย่างพร้อมเพรียง เพราะแต่เดิมบุตรสาวมิเคยทำท่าทางเช่นนี้เลยสักครั้ง ที่เห็นจนชินตาคงทำเพียงแค่บอกว่าไม่เป็นไรและนั่งหลังเหยียดตรงงามสง่าอยู่บนเก้าอี้มิเคยทำท่าทีราวกับเด็กน้อยเฉกเช่นวันนี้ คนเป็นแม่ยิ้มออกมาบางๆโอบกอดบุตรสาวลูบหลังเบาๆ “เหตุใดวันนี้บุตรสาวของแม่ถึงทำตัวราวกับเด็กน้อยเช่นนี้ฮึ!! ไหนดูซิยังเจ็บแผลใช่หรือไม่??” สองมือกุมแก้มนุ่มของบุตรสาวให้เงยหน้าขึ้นมา พิศมองไปทั่วดวงหน้าเนียนใส ‘งดงามล่มแคว้น คำนี้คงไม่เกินไปจริงๆ’ “ลูกเจ็บหน้าผากเจ้าค่ะ ท่านแม่ดูสิเจ้าคะ ใหญ่โตกว่าเมื่อวานใช่หรือไม่?” มือขาวชี้ไปตรงจุดที่หัวโนทำหน้าเจ็บปวดออดอ้อนเกินจริง “ให้เชิญหมอหลวงจากในวังมาตรวจดูคงจะดี เหม่ยเอ๋อร์ว่าอย่างไร?” ท่านเสนาบดีจูพูดจาเย้าแหย่บุตรสาวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านพ่อ แค่ให้ท่านแม่เป่าเบาๆก็หายเจ็บแล้วเจ้าค่ะ” กระพริบตาปริบๆ ท่านแม่ยิ้ม “จริงรึ????” ฟู่ ฟู่ ฟู่ ลมเป่าเบาๆสัมผัสโดนแผล “หายรึไม่” กล่าวพลางหัวเราะน้อยๆ “อุ๊ย…หายแล้วเจ้าค่ะเหลือแค่ทายาไม่กี่วันก็คงจะยุบแล้วท่านแม่ของเหม่ยเอ๋อร์เก่งจริงๆ” จบคำก็โอบกอดเอวของท่านแม่แน่น แล้วทั้งสามคนก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกันอย่างมีความสุข ด้านหน้าเรือนใหญ่เสี่ยวถงที่ยืนเฝ้ามองอยู่ด้านนอกพูดกับตนเองเบาๆ “คุณหนูที่เป็นเช่นนี้ดีมากแล้วจริงๆ” พร้อมยิ้มเบาๆ ทางด้านของน้องไอในร่างจูเหม่ยเซียนคิดว่าในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีโอกาสได้กลับไปหาพ่อและแม่ที่โลกโน้น ก็จะขอรักท่านพ่อกับท่านแม่ที่โลกนี้ทดแทนก็คงไม่เสียหายอะไร ถึงอย่างไรทั้งสองท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นครอบครัวของเจ้าของร่างที่ตนเองอาศัยอยู่ จะรักและดูแลท่านทั้งสองต่อจากจูเหม่ยเซียนตัวจริงที่ตอนนี้วิญญาณหายไปอยู่ที่ใดก็ไม่อาจรู้ ‘นับแต่นี้ข้าจะเป็นเหม่ยเซียนแทนเจ้าเองไม่ต้องกังวลนะเจ้าของร่างตัวจริง’ เมื่อรับสำรับเช้ากันเรียบร้อยท่านเสนาบดีจูจึงชักชวนฮูหยินและบุตรีเดินมานั่งเล่นตรงศาลาริมน้ำ มีบ่าวรับใช้คอยรินชาอยู่ไม่ห่าง “ใกล้จะถึงเวลาปักปิ่นของเจ้าแล้วนะเหม่ยเอ๋อร์หลังจากนี้คงจะมีแม่สื่อมาทาบทามลูกไม่น้อยทีเดียว” ฮูหยินเกามองหน้าบุตรสาวเพียงคนเดียวแล้วถอนหายใจออกมา ‘เฮ่ออ’ “เจ้ามีบุรุษใดอยู่ในดวงใจหรือไม่” ท่านเสนาบดีจูถาม “ไม่ๆๆ ลูกยังไม่อยากออกเรือนนะเจ้าคะท่านพ่อลูกยังเด็กนักและในตอนนี้ลูกก็ยังมิมีบุรุษใดอยู่ในดวงใจทั้งสิ้น รอลูกสิบแปดหนาวค่อยคิดเรื่องนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ?” “เจ้ามิรู้ใช่รึว่าพอพ้นสิบแปดหนาวขึ้นไปการออกเรือนถือว่าทำได้ยากยิ่งนักเจ้าจะกลายเป็นสาวเทื้อ ต้องการเช่นนั้นรึ???” มองเห็นหน้าตาบุตรสาวงอง้ำลงเรื่อยๆจึงเปลี่ยนเรื่อง “เอาล่ะๆเรื่องนั้นค่อยว่ากัน วันก่อนนั้นฮ่องเต้รับสั่งกับพ่อว่าในวันปักปิ่นของเจ้าองค์ชายรองกับองค์ชายสามจะมาร่วมงานด้วย พวกเจ้าสามคนมิได้พบปะกันมานานคงมีเรื่องสนทนากันมากมายเชียวล่ะ” “จริงหรือเจ้าคะ!! ดีจังเลยเจ้าค่ะ” ในใจกู่ร้องออกมา…'ตายแล้วววว พระเอกกับพระรองจะมาทำไมไม่เคยเห็นเขียนไว้ในหนังสือนะ' “อ่อ..วันมะรืนจะมีงานประชันบุพผางามของเมืองหลวงเจ้าจะไปเข้าร่วมหรือไม่” ฮูหยินเกาถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากเห็นว่าหน้าผากของนางยังไม่หายดีและคงจะหายไม่ทันวันงานแน่แล้ว “ไปเจ้าค่ะ!!!” ทำไมมีแต่เรื่องเนี่ย “ลูกจะไปเที่ยวชมภายในงานและรอดูว่าผู้ใดจะได้อันดับหนึ่งเพียงเท่านั้นนะเจ้าคะคงไม่เข้าร่วมแข่งขันกับผู้ใดทั้งสิ้น” ถ้านางไม่เข้าประกวดนางเอกคงจะได้รับรางวัลที่หนึ่งเป็นแน่ ‘ช่างเถอะใครสนกัน’ “ตามใจเจ้าเถอะแม่ไม่ว่าอะไร” ท่านแม่ยิ้มอย่างใจดี “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าขาวันนี้ลูกขออนุญาตออกไปนอกจวนได้หรือไม่เจ้าคะ” “เจ้าจะไปที่ได” ท่านเสนาบดีถามเสียงดุ “เพิ่งหัวบวมปูดมาแท้ๆยังไม่เข็ดอีกรึ ” “ลูกอยากไปเที่ยวตลาดแล้วจะแวะไปดูผ้าด้วยเจ้าค่ะ” ทำตาปริบๆ “ได้หรือไม่เจ้าคะ” คลานเข่าไปกอดท่านพ่อของนางอย่างน่ารัก ท่านเสนาบดีตกใจกับกิริยาที่นางไม่เคยทำมาก่อนแต่ก็ยังยกมือขึ้นมาลูบผมนางเบาๆ “หากเจ้าไม่อายที่หน้าผากเจ้าบวมปูดก็ไปเถิด” “เย้ๆๆๆ” ลุกกระโดดหอมแก้มท่านพ่อเบาๆแล้ววิ่งลงศาลาไปไร้ความสำรวม ทิ้งให้ท่านเสนาบดีกับฮูหยินนั่งอ้าปากค้าง ‘นี่ลูกสาวข้าพลัดตกบันไดแล้วอาการหนักขนาดนี้เชียวรึ’ “เสี่ยวถงงงง …เตรียมรถม้าให้ข้าาา” “เอ่อ..คุณหนูเจ้าคะ แล้วหน้าผาก” ทำท่าชี้หน้าผาก “ไม่เป็นไรหรอก ใครๆเค้าคงรู้กันหมดแล้วว่าข้าตกบันไดที่โรงเตี๊ยมเงาพระจันทร์จนหัวปูด อ๊ะ..แล้วเงินข้าล่ะ!!!” “นี่ถุงใส่ตั๋วแลกเงิน เหรียญทอง กับเหรียญเงินเจ้าค่ะ ฮูหยินเพิ่งสั่งให้บ่าวนำมาให้คุณหนู” “ดีมาก!! ไปกันเถอะ” สองนายบ่าวพากันเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่หน้าจวน เพียงสองเค่อผ่านไปรถม้าก็มาถึงตลาด จูเหม่ยเซียนสั่งให้ 'อาไช่’ บ่าวรับใช้เอารถม้าไปฝากไว้หลังตลาดและตามไปหานางที่ร้านขายผ้าจินหง ตั้งแต่ที่จูเหม่ยเซียนก้าวลงมาจากรถม้าจนถึงตอนที่เดินเข้าไปในตลาด ทุกๆคนต่างพากันมองมาที่นาง บ้างก็มองเพราะความหลงใหล บ้างก็มองเพราะสังเกตเห็นแผลบวมบนหน้าผากแต่เหม่ยเซียนก็หาได้สนใจไม่ ยังคงเดินต่อไปจนถึงร้านจินหง “ร้านจินหงยินดีรับใช้เจ้าค่ะ มิทราบว่าคุณหนูจูต้องการผ้าแบบใดเจ้าคะ” ดังใช่เล่นนะเราใครๆก็รู้จัก “ข้าต้องการผ้าฝ้าย สีขาวหนี่งพับ สีดำหนึ่งพับ สีฟ้าอ่อนหนึ่งพับ ขอแบบนุ่มๆมีหรือไม่?” “มีเจ้าค่ะ รอสักครู่นะเจ้าคะ” “คุณหนู จะเอาผ้าฝ้ายไปทำอันใดเจ้าคะ” เสี่ยวถงถามด้วยความสงสัย “ชุดชั้นในน่ะ” ‘ของมันจำเป็นต้องมีนะเสี่ยวถง’ นางพูดในใจ “หา..ชุดชั้นในรึเจ้าคะ..มันเป็นแบบใด??” “ข้าก็บอกไม่ถูก ช่างมันเถอะเดี๋ยวเจ้าก็จะได้ช่วยข้าทำ” ระหว่างรอรับผ้าที่ทางร้านกำลังจัดเตรียมก็เจอเข้ากับบุคคลที่นางอยากหนีให้ห่างในยามนี้ที่สุด “คุณหนูจู” เสียงเรียกอันอ่อนหวานดังอยู่ด้านหน้า พร้อมผงกหัวทักทาย “อ่อ..คุณหนูไป่ มีเรื่องอันใดหรือไม่” ถึงเราจะไม่เคยเจอกันแต่ในความจริงนั้นร่างเดิมจดจำได้ไม่เคยลืม ‘ทำไมรู้สึกคันไม้คันมือแปลกๆแฮะ’ ด้านหลังคุณหนูไป่ยังมีคุณหนูตู้ยืนปิดปากกลั้นหัวเราะพร้อมบ่าวอีกสองคน 'หัวเราะหน้าผากฉันเรอะ' “เอ่อ..ข้าทราบข่าวเรื่องที่เจ้าตกบันไดเมื่อวันก่อน บาดแผลบนหน้าผากของเจ้าจะหายทันงานประชันสาวงามวันมะรืนนี้หรือไม่” ทำหน้าตาสงสารส่งมาให้ “ช่างกล้าถามนะคุณหนูไป่ เจ้ายืนอยู่ใกล้ข้าถึงเพียงนี้มองมิเห็นเลยรึว่าแผลเราบวมใหญ่ขนาดไหน” ใช้สายตามองสำรวจนางเอกตรงหน้า ‘ถามได้กวนมาก..เย็นไว้เหม่ยเซียนเย็นไว้’..ในใจคิดแต่การกระทำและจิตใต้สำนึกกลับไม่ทำตาม ความร้อนรุ่มมีอยู่เต็มอกอย่างไม่เข้าใจตนเอง “จริงๆแล้วคงสมใจเจ้าสินะ ขาดข้าไปสักคนอันดับหนึ่งคงเป็นของเจ้ากระมัง ก้มหัวขอบคุณเราซะสิ” ‘ตายแล้ววววว’ ทำไมปากไวแบบนี้เนี่ยเหม่ยเซียนหันไปมองเสี่ยวถงนึกว่าจะเข้ามาห้ามปรามแต่ก็เปล่า สาวใช้ของนางยืนกอดอกยิ้มเยาะคุณหนูไป่ซะงั้น!!! ‘นี่ฉันต้องร้ายจริงๆใช่ม้ายยยย’ “คุณหนูจูเจ้ากล่าวผิดแล้ว ที่คุณหนูไป่กล่าวเช่นนี้เพราะเป็นห่วงเจ้าต่างหาก เรื่องเจ้าตกบันไดน่าอายถึงเพียงนั้นคนเขารู้กันทั่วทั้งเมืองหลวงถึงเจ้าขึ้นประชันความงาม ก็คงมิได้รางวัลใดหรอก มิสู้ยืนเฉยๆมองคุณหนูไป่รับรางวัลหญิงงามอันดับหนึ่งคงจะเหมาะกว่า ฮิฮิ" คุณหนูตู้กล่าวจบทั้งสาวใช้และคนในร้านรวมถึงคุณหนูไป่พากันกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น 'ทนไม่ไหวแล้ววววโว้ยยย' ต้องการแบบนี้ใช่มั้ยยยยย!!!!! น้องไอในคราบจูเหม่ยเซียนยื่นมือออกไปผลักคุณหนูตู้ล้มลงกับพื้น ผลั่ก!! “ว้ายยย!!” ตู้ฟางซินร้องเสียงดังลั่น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม