“ที่นี่ไม่ใช่ที่ทัศนศึกษา อย่าปล่อยให้แฟนมึงวุ่นวายล่ะ ไอ้เดย์”
“…” คำพูดเชิงตักเตือนของสิบทิศเรียกสายตาจากทุกคนในห้องแทบจะทันที ฉันรู้สึกหน้าชาเล็กน้อย นิสัยขวานผ่าซาก ไม่ไว้หน้าใครยังคงไม่เปลี่ยนสินะ เป็นคนไม่น่าคบได้คงเส้นคงวาจริง ๆ
“เออน่า ควีนไม่วุ่นวายหรอก กูดูแลเอง มึงไม่ต้องห่วง”
เดย์จูงมือฉันเดินมาที่โต๊ะอีกตัว ตรงนี้น่าจะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา เขาดึงเก้าอี้เลื่อนมาให้ฉันนั่งก่อนเท้ามือทั้งสองข้างลงกับพนักแขน ยื่นใบหน้าหล่อ ๆ ลงมาใกล้ ฉันผงะถอยหลังเล็กน้อย ถึงเดย์จะชอบสกินชิพฉันบ่อย ๆ แต่ส่วนมากเขาจะทำเวลาเราอยู่กันสองคนเท่านั้น ไม่ใช่ต่อหน้าเพื่อนเขาแบบนี้สิ
“ทะ ทำอะไรน่ะเดย์”
“แค่จะดูใกล้ ๆ ว่าเธอโอเคหรือยัง” เขาหมายถึงเรื่องที่ฉันบอกว่าเพลียใช่ไหมนะ
“ฉันโอเคแล้ว นายไปทำงานเถอะ” ฉันผลักไหล่เดย์ออก ซึ่งเขาก็ยอมถอยโดยง่าย เป็นจังหวะที่สายตาของใครอีกคนมองมาจากด้านหลังเดย์พอดี
อะไรล่ะนั่น… แววตาแสนขวางนั่นมันคืออะไร?
.
.
.
ฉันนั่งมองเดย์ทำงานเกือบ ๆ หนึ่งชั่วโมง บอกตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาเห็นการทำงานของเขา เดย์เป็นคนเก่ง ไม่สิ เพื่อนในทีมเขาเก่งทุกคน โดยเฉพาะสิบทิศ ฉันรู้ดีว่าสิบทิศอัจฉริยะมากแค่ไหน เขาเรียนเก่งมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว ความจริงเขาอายุน้อยกว่าฉันหนึ่งปีด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาเรียนเก่งจึงได้รับสิทธิ์เลื่อนชั้นไวกว่าคนอื่น
นอกจากสิบทิศจะเก่งเข้าขั้นอัจฉริยะแล้ว เขายังดังมาก ๆ ในหมู่นักเรียนหญิง ทั้งในโรงเรียนและต่างโรงเรียน เขามีแฟนคลับเยอะมาก มากพอ ๆ กับ ‘เก้าทัพ’ ลูกพี่ลูกน้องของเขา
‘แกมันไร้ค่า กล้าดียังไงมาอ่อยเขา!’
เพล้ง!
เฮือก!
“ควีน! เป็นอะไรไหม?”
“หะ…” ฉันเหม่อมองใบหน้าเลือนรางของเดย์ก่อนภาพจะเริ่มชัดขึ้น สีหน้ากังวลของเขาทำให้ฉันได้สติและพบว่าตัวเองเผลอปล่อยแก้วหลุดมือจนมันแตกกระจายทั่วพื้น เศษแก้วบางส่วนเฉียดโดนปลายเท้าฉันจนมีเลือดซิบออกมา ทว่าฉันกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยสักนิด
“เวรเอ๊ย… เธอโดนแก้วบาดด้วย เดี๋ยวฉันมา” เดย์พาฉันมานั่งที่โซฟาแล้วทำท่าจะเดินออกไป ฉันคว้าแขนเขาเอาไว้ รู้สึกร้อนผ่าวขอบตาขึ้นมา เดย์หยุดชะงักมองหน้าฉันพลางขมวดคิ้ว “ฉันจะไปเอากล่องพยาบาล เธอนั่งรอแป๊บหนึ่งนะ”
“ฉะ ฉันไม่เป็นไร” มือฉันสั่นเทา ไม่คิดว่าภาพความทรงจำเก่า ๆ นั่นจะย้อนกลับมาอีกครั้ง ฉันอุตส่าห์ลืมมันไปแล้วแท้ ๆ
ทำไมกัน… ทำไมมันถึงย้อนกลับมาในหัวฉันอีกครั้งล่ะ?
“เธอเลือดออกนะควีน เธอต้องทำแผล ไม่เป็นไรนะ รอฉันตรงนี้แค่แป๊บเดียว ฉันจะรีบมา” เขาดึงมือฉันออกจากแขนแล้วกุมเบา ๆ ก่อนผละออกจากห้องไป ในห้องนี้จึงเหลือเพียงฉันกับสิบทิศ เพราะภาคีกับเฟรมกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อนแล้ว
ฉันก้มหน้ามองสองมือสั่นเทาของตัวเอง พยายามจะไม่มองไปทางใครอีกคนในห้อง ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาตอนนี้ ทำได้อยากจะเดินหนีออกจากห้องนี้ไปเลยด้วยซ้ำ
“เธอโอเคหรือเปล่า”
ฉันสะดุ้งหน่อย ๆ ตอนได้ยินเสียงคุ้นหูเอ่ยถาม น้ำเสียงทุ้มต่ำติดเย็นชาที่อยู่ในความทรงจำของฉันมาตลอดเวลาหลายปี เป็นเสียงที่ฉันทั้งอยากได้ยินและอยากจะลืม ฉัน… อยากจะลืมเขาให้ได้จริง ๆ
“พราว…”
“หยุดเรียกฉันแบบนั้นสักที!” ฉันเม้มปาก สองมือกำหมัดแน่น พยายามระงับความรู้สึกบางอย่างที่กำลังพวยพุ่งอยู่ภายในใจ “อย่าทำเป็นรู้จักฉัน อย่าคุยกับฉัน อย่ามองฉันด้วยยิ่งดี”
“…”
“ฉันไม่อยากจำ ไม่อยากนึกถึงเรื่องในอดีตอีกแล้ว ฉันอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ นายเข้าใจไหม?” ฉันลุกขึ้นยืน ดวงตาแดงก่ำมองไปทางสิบทิศ เขายืนอยู่ตรงนั้น… ยืนอยู่ห่างฉันแค่ไม่กี่ก้าว แต่มันเหมือนไกลแสนไกล
ถ้าหากว่าตอนนั้นฉันตระหนักรู้ถึงระยะห่างนี้ มันคงจะดีกว่านี้…
“ทำไม”
“…”
“ทำไมเธอถึงอยากจะลืมเรื่องในอดีตขนาดนั้น? ถึงขนาดลบตัวตน ลบชื่อเก่า เธอทำถึงขนาดนี้ทำไม?”
สิบทิศเดินมาหยุดยืนตรงหน้าฉัน ดูเหมือนว่าความอดทนของเขาจะหมดลงแล้วเช่นกัน ดวงตาคมจ้องลึกเข้ามา ฉันหลบสายตาเขา หลุบตามองปลายเท้าตัวเอง ปล่อยให้น้ำตามันรื้นจนพร่ามัว
“ตอบมาสิ ทำไมเธอต้องพยายามจะลบอดีตขนาดนั้น ทั้งที่เธอยังลืมมันไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ดิ เธอลืมฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ฉันรู้… ฉันรู้ดีว่าการลบไม่ได้ช่วยให้ลืม และเพราะรู้ยังไงล่ะ ฉันถึงไม่อยากพบเจอสิบทิศอีก
เพราะการเจอเขาก็เหมือนการเจออดีตที่อยากจะลืมของฉัน ทุกเรื่องราว ทุกความเจ็บปวด ล้วนเกิดมาจากอดีตที่ฉันเคยมีร่วมกับเขา
หลายคนคงมีเรื่องที่อยากจะจำและบางเรื่องที่อยากจะลืม แต่เมื่อเป็นความสัมพันธ์ของคนสองคน ทำไมการลบใครบางคนออกจากความทรงจำมันช่างยากเย็นเหลือเกิน เหมือนกับฉันที่พยายามยังไงก็ลบสิบทิศออกไปจากหัวใจไม่ได้สักที
สิบทิศคืออดีตที่ฉันอยากจะลบก็ลบไม่ได้ ยิ่งอยากจะลืมมันกลับยิ่งจดจำ ยิ่งตอกย้ำความฝังใจของฉันไม่มีที่สิ้นสุด
ฉันควรทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี?