1 มกราคม 2566
กลับมาเหยียบผืนแผ่นดินไทยวันแรกฝนก็ตกโปรยปรายเชียว ยืนกางร่มอยู่ที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอเจอใครบางคนหลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้ามาเกือบสองปีป่านนี้คงจะโตขึ้นเยอะแล้วล่ะ
พูดเหมือนนานมากแต่สำหรับผมจะสองวันก็เท่ากับสองปี จะสองปีก็เท่ากับสิบปี!
ทำมาดเท่กางร่มยืนท่ามกลางสายฝนประหนึ่งเป็นพระเอกซีรีส์เกาหลี ชุดสูทที่สวมใส่ทำให้ดูดีขึ้นอีกระดับ ส่องสายตามองไปรอบๆ ว่าเธอจะมาเมื่อไรเพราะนี่สี่โมงเย็นเป็นเวลาเลิกเรียน หัวสมองก็พลันนึกย้อนไปตอนที่อยู่ญี่ปุ่น อยากจะบอกว่าไปวันแรกก็ทำเอาน้ำตาร่วง มันรู้สึกแปลกที่แปลกถิ่นแถมยังต้องปรับตัวเยอะแยะไปหมด หนำซ้ำยังไม่มีอาหารไทยอร่อยๆ ให้กินอีกด้วย นี่โชคดีนะที่มีคนมาช่วยงานพ่ออีกแรงผมเลยได้อิสระและกลับมาบ้านเกิดที่รักของตนเอง ยายก็กลับมาเช่นกัน
อยู่ที่นั่นไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงยัยเด็ก ไม่คิดว่าเด็กอายุสิบสองในวันนั้นจะทำให้ผมใจสั่นและตราตรึงใจมาถึงวันนี้
ถ้าให้นับคร่าวๆ ตอนนี้แนทน่าจะอายุสิบแปดปีเห็นจะได้
และสิ่งที่ผมรอก็สมใจเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงมา ทว่าเธอดูสวยออร่ามาแต่ไกลแถมยังตัวสูงขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มที่จำได้ฝังในหัวใจไม่คิดจะลืม
แนทหยุดยืนข้างๆ พร้อมกับยกกระเป๋านักเรียนขึ้นมาบังฝนที่ร่วงโรย เธอส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้จากนั้นก็มองตรงไปยังอีกฝั่ง
ยัยเด็กยังคงจำผมไม่ได้อยู่ดีสินะ
"ทำไมยืนตากฝนแบบนั้นล่ะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก" ถามพร้อมกับยื่นร่มที่มีอยู่คันเดียวให้เธอ "เอาร่มไปสิ"
"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็ขึ้นรถแล้ว" ปฏิเสธนิ่มๆ แล้วส่งยิ้มให้อีกครั้งอย่างแฝงความเกรงใจ
"เอาไปเถอะ"
"..." ยัยเด็กมีท่าทีลังเล
"เอาไปสิ"
เธอยอมรับร่มไปกางในที่สุด "ขอบคุณมากๆ นะคะ" เอ่ยขอบคุณแล้วก้มหัวลงเล็กน้อย
และรถเมล์ก็วิ่งมาจอดพอดี เธอก้มหัวให้ผมอีกครั้งก่อนจะขึ้นไป ผมเองก็ใช่ว่าจะปล่อยผ่าน ขึ้นตามไปแล้วนั่งลงข้างๆ คนตัวเล็ก
แนทเพียงแค่มองหน้าผมชั่วครู่ก่อนจะละความสนใจไปดูบรรยากาศรอบนอกผ่านหน้าต่างรถ
นั่งรถมาประมาณยี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย ยัยเด็กเดินลงจากรถผมเองก็เดินลงตาม ไม่ได้ลืมจ่ายเงินแต่อย่างใดเพราะป้าแกเก็บตั้งแต่เดินขึ้นรถแล้ว
คนตัวเล็กเดินนำหน้าไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดยืนนิ่ง "ตามหนูมาทำไมคะ" หันมามองหน้าพร้อมขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม "คิดไม่ดีเหรอ?!" ยกร่มขึ้นทำท่าจะฟาดแต่ก็ยั้งมือไว้
"ใจเย็นๆ พี่มาดี" เดินตะล่อมๆ เข้าไปอย่างบริสุทธิ์ใจแล้วใช้มือแตะปลายร่มไว้ก่อนจะกดมันลงช้าๆ "แค่จะตามมาส่งเฉยๆ เห็นเป็นผู้หญิง"
"..." มองหน้าเหมือนกำลังพิจารณาอยู่ว่าผมมันน่าไว้ใจหรือเปล่า
"จำพี่ไม่ได้จริงๆ ดิ"
"..." จดจ้องหน้าหนักกว่าเดิม
"โอเคๆ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร"
"แล้วพี่จะตามหนูไปถึงไหน?"
"ถึงบ้าน"
"อย่างนั้นก็กลับไปเถอะ นี่ก็ใกล้จะถึงบ้านหนูแล้ว"
"ไล่เหรอ"
"เพื่อความปลอดภัยของตัวเองค่ะ"
"เชื่อสิว่าพี่ไว้ใจได้"
"ขอบคุณสำหรับร่มนะคะ" ยัยเด็กยื่นมันคืนให้
"เก็บไว้เถอะ บ้านพี่มีเยอะแล้ว" ไม่รับคืนแถมยังอวดไปอีก จริงๆ นั่นร่มของยายที่ผมยืมมา กลับบ้านไปคงจะโดนบ่นหูชาอีกเป็นแน่
"ที่บ้านหนูก็มีเยอะแล้วเช่นกันแค่วันนี้ลืมเอาติดมือไปด้วย เพราะฉะนั้นรับคืนไปเถอะ" ยัดมันใส่มือโดยที่ไม่รอผมพูดอะไร "ยังไงก็ขอบคุณในความหวังดีนะคะ" ก้มหัวลงก่อนจะเงยขึ้นมาคลี่ยิ้มใส่ "อ้าว ก้อนกลมหนีออกมาอีกแล้วเหรอ" เธอเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอ่อนโยนก่อนจะวิ่งไปทางข้างหลังผมแล้วอุ้มแมวขนปุยตัวหนึ่งขึ้นมากอดมาหอม
อิจฉาแมวนี่ผิดไหมวะ?!
"เลี้ยงแมวด้วย?"
"ไม่ได้เลี้ยงหรอกค่ะ แมวของบ้านข้างๆ พอดีเจ้าของไม่ค่อยสนใจมันเท่าไร เห็นแล้วสงสารหนูก็เลยชอบให้ข้าวให้น้ำมันกิน บางทีมันก็มานอนกับหนู" เธอพูดพร้อมรอยยิ้ม "มันชื่อก้อนกลม"
แสดงว่ายัยเด็กคงจะเป็นทาสแมวสินะ
"สวยแล้วยังใจดีอีก" เยินยอเธอพร้อมกับยื่นมือไปลูบเจ้าแมวเบาๆ
เมี้ยว ~
ก้อนกลมมันส่งเสียงร้อง
"ฮึ.." เธอหัวเราะในลำคอ "ผู้ชายที่เข้าหาก็มักจะชมแบบนี้ทุกคน"
"อะไรนะ?!"
ใครเข้าหา มันเป็นใครกัน ผู้หญิงหรือผู้ชาย?!!!
"ทำไมพี่ถึงทำหน้าแบบนั้น"
"บอกพี่ได้ไหมว่าเธอหมายถึงอะไรและใครเข้าหา"
"อ๋อ ก็พวกผู้ชายแหละค่ะ หมู่นี้ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แล้วมักจะชอบพูดว่าสวยแล้วยังใจดีอีกอะไรประมาณนี้"
"..." พูดไม่ออกมันร้อนรุ่มอยู่ในอก
ไอ้บ้าหน้าไหนมันกล้ามาวอแวยัยเด็กของผมวะ!
"ขอตัวก่อนนะคะ"
"เดี๋ยว" รั้งแขนเธอไว้
"คะ?"
"ตอนนี้...มีแฟนยัง?" ถามไปก็รอลุ้นคำตอบจนตัวเกร็ง ใจก็ขอให้ตอบมาว่ายังไม่มี
"พี่ล่ะมีหรือยัง?" เธอไม่ตอบแต่ถามผมกลับ
"ไม่มี เก็บใจไว้ให้ใครบางคน" ตอบพลางกลอกตามองไปทางอื่น
ก็คนมันเขินนี่หวา เธอสวยขึ้นเยอะ
"เขินอะไรคะ?"
"เปล่า ไม่ได้เขินสักหน่อย" รีบเก็บอาการแล้วพยายามทำตัวปกติ "เธอยังไม่ตอบพี่เลยว่าโสดไม่โสด" ย้ำถามอีกครั้ง
"อายุแค่สิบแปดจะรีบมีทำไม หนูไม่หาเรื่องปวดหัวใส่ตัวหรอกค่ะ" เธอพูดพลางย่นหน้าพร้อมกับลูบขนปุยของก้อนกลมอย่างทะนุถนอม "ตอนนี้มีต้าวก้อนก็พอแล้ว" กดปลายจมูกหอมหัวแมวประหนึ่งมันเป็นลูกรัก
"..."
ให้ตาย!
ที่บอกว่าอิจฉาแมวนี่ผมไม่ได้พูดเล่นนะ บ้าฉิบ!!
"ขอตัวก่อนนะคะ" พูดจบก็หันหลังให้แล้วเดินจ้ำอ้าวไปโดยไม่สนใจใดๆ
อะไรวะ?
จำกันไม่ได้จริงๆ เหรอ
เซ็ง!
ในขณะที่ก้มหน้ามองพื้นอย่างน้อยใจก็มีเสียงใสตะโกนดังขึ้น "จะตามมาก็ไม่ว่าอะไรนะ...พี่คิง" ยัยเด็กยกยิ้มกว้างให้หนึ่งทีก่อนจะเดินไปต่อ
"จำกันได้อยู่นี่หว่า" ผมถึงกับหลุดยิ้มอย่างดีใจแล้ววิ่งตามเธอไปติดๆ
เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงบ้านที่แนทอาศัยอยู่ มันเป็นบ้านปูนชั้นเดียวสภาพเก่าแต่ไม่ถึงกับเก่ามาก ภายนอกทาสีครีมแล้วมีต้นไม้ในกระถางวางเรียงรายอยู่ภายในรั้วหน้าบ้าน ข้างๆ ก็มีบ้านสไตล์เดียวกันอยู่ประมาณสิบกว่าหลัง
"ย้ายมาอยู่ที่นี่นานหรือยัง" เอ่ยถามในขณะที่ยัยเด็กไขกุญแจบ้าน
"ก็หลังจากวันนั้นแหละค่ะ วันที่พี่มาช่วย พ่อรู้สึกไม่สบายใจและอึดอัดกลัวว่ามันจะวกกลับมาข่มขู่อีกเลยเลือกย้ายมาอยู่นี่ดีกว่า ผู้คนเป็นมิตรและไม่ค่อยคิดปองร้ายกัน" แนทหันมาตอบพร้อมประตูบ้านที่เปิดออก เธอเดินนำเข้าไปส่วนผมเดินตามก่อนจะนั่งลงที่พื้นเนื่องจากมันไม่มีโซฟา "ถ้ารู้สึกไม่โอเคจะกลับเลยก็ได้นะคะ"
"บ้าเหรอ พี่ยังไม่ได้พูดเลย อีกอย่างคนอย่างพี่ไม่ใช่ผู้ลากมากดีที่จะทำตัวติดดินไม่เป็น" ตอบด้วยใจจริงแล้วมองสำรวจรอบๆ ภายใน บ้านดูสะอาดเรียบร้อย ของตกแต่งน้อยแต่ดูสบายตา อาจจะแคบนิดหน่อยแต่ถ้าอยู่สองคนก็คงจะสบายๆ ไม่อึดอัด "ลุงไปทำงานเหรอ?" ถามออกไปเพราะว่าไม่เห็นลุงแกอยู่
"สองปีแล้วยังไม่กลับเลย" คนตัวเล็กเดินมาพร้อมกับน้ำเปล่าขวดหนึ่งแล้วยื่นให้ "จะกระดกหรือใส่แก้วดี"
"ได้หมด" รับขวดน้ำมาพร้อมกับคาใจในคำพูดเมื่อครู่ของยัยเด็ก "ทำงานที่ไหนทำไมสองปียังไม่กลับ"
"บนฟ้าค่ะ" รอยยิ้มที่ปะปนความเศร้าเผยออกมาพร้อมกันบนใบหน้าของแนท
"โอเคไหม" เลือกที่จะถามความรู้สึกแทนเหตุผลแล้วดึงมือเธอเบาเพื่อให้นั่งลงข้างๆ
"แนทโอเค อาจจะมีบ้างที่คิดถึงแล้วเศร้า แต่พอคิดว่าเลือดครึ่งหนึ่งในตัวเราก็มีของพ่ออยู่มันก็ดึงสติตัวเองกลับมาเข้มแข็งได้" ตอบพร้อมรอยยิ้ม
"เข้มแข็งและเก่งมากนะรู้ตัวไหม" เอ่ยชมพลางใช้มือลูบผมยาวไปมาอย่างอ่อนโยน
เธอเองก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือระแวงอะไรผมเลยแม้แต่น้อย แถมยังเอียงหัวให้ลูบด้วยซ้ำ "ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ"
"เหงาไหม?"
"เหงาบ้างเป็นบางเวลาค่ะ"
"ไปอยู่กับพี่ไหม ยายใจดีนะ" ออกปากชวนอย่างหน้าด้านๆ เป็นผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวน่าเป็นห่วงชะมัด