ยัยเด็ก
1 มกราคม 2560
เป็นช่วงเช้าที่ออกมาซื้อของให้ยายในตลาดสด ต้องเดินลัดผ่านหมู่บ้านโทรมๆ แห่งหนึ่งซึ่งมันจะถึงไวกว่า สาวเท้าเดินมาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนกำลังมีปากเสียงกันอยู่ที่บ้านหลังซอมซ่อ ผมยืนแอบอยู่ที่สังกะสีเก่าๆ เพื่อดูเหตุการณ์
"จะจ่ายไม่จ่าย!"
"ให้เวลามานานมากแล้วนะฉิบหาย!!"
"ผมกำลังหาเงินมาจ่ายอยู่ ขอเวลาอีกสักหน่อยเถอะ"
พลั่ก!
เสียงคนกำลังโดนฝ่าเท้าหนักๆ อัดใส่ลำตัว
"เวลาเหี้ยอะไรอีก กูให้มาเยอะแล้ว"
"พี่...ฮึก...อย่าทำพ่อหนูเลยนะ ขอร้อง" เด็กสาวยกมือขึ้นไหว้อย่างสะอึกสะอื้นพร้อมตัวสั่นเทา ก่อนที่จะคลานเข้าไปกอดขาของชายคนหนึ่งซึ่งกำลังยกเท้าจะเตะพ่อของเธอต่อ "อย่าทำพ่อหนูเลยนะคะ ฮือ..."
"อีเด็กนี่!" อีกคนมันกำลังจะทำร้ายเธอ
"เดี๋ยวก่อนสิพี่" ผมที่ทนดูเฉยๆ ต่อไปไม่ไหวเลยออกมาแทรกหรือเสือกนั่นแหละ "รังแกเด็กมันดูไม่ค่อยแมนเลยนะ"
"มึงเป็นใครวะ?!"
"นั่นดิ มาเสือกเหี้ยไร?!!"
"หลานยายผิง" ผมตอบอย่างกวนตีนแล้วเดินผ่านสองคนนั้นไปอย่างเมินเฉยก่อนจะดึงตัวเด็กและพยุงพ่อของเธอให้ลุกขึ้น "ขอเวลาแป๊บนะ เดี๋ยวพาคนเจ็บกับเด็กไปหลบก่อน" ขยิบตาให้พวกมันหนึ่งทีจากนั้นก็พาลุงกับเด็กให้เข้าไปในบ้าน
เดินออกมาอย่างชิวๆ ไม่ได้มีหวาดกลัวหรือหวาดหวั่น ฝั่งนั้นมีสองส่วนผมตัวคนเดียวโดดๆ แต่ก็สบายๆ ไม่คณามือไอ้คิงหรอก
"เก๋าดีนะมึง!"
"หนีตอนนี้ยังทันนะไอ้นี่ ดูการแต่งตัวแล้วคงจะเรียนอยู่สินะมึงอะ"
"เรียนวิศวะปีสามครับ ว่างๆ พี่สองคนก็ไปเที่ยวเล่นที่มอ.ได้นะ"
ผัวะ!
ว่าจบผมก็ซัดหน้าไอ้เวรคนที่หนึ่งก่อนจะซ้ำไปอีกหลายหมัดจนมันสู้ไม่ได้ ส่วนอีกคนก็เข้ามารั้งคอทำให้ตอนนี้ผมสู้มันไม่ได้แต่อยู่ๆ ก็เหมือนเสียงอะไรดังขึ้นก่อนไอ้ห่านั่นจะร้องโอดโอยแล้วปล่อยมือออก หันไปดูก็เห็นยัยเด็กถือไม้แบบมือสั่นๆ
เดินไปลูบหัวเธอ "ขอบใจมาก" หยิบไม้มาจากมือน้อยๆ ก่อนจะจัดการเอาไปฟาดไอ้ห่าสองคนนั้นจนพวกมันนอนซมจมกองเลือด แต่ผมยังไม่สะใจง้างไม้เตรียมจะฟาดอีกแต่ก็โดนมือเล็กรั้งไว้
"พอเถอะนะพี่ เดี๋ยวจะถึงตายเอาค่ะ" ดวงตาแดงก่ำร้องขอแล้วดึงมือผมไว้แน่นเพื่อไม่ให้ทำอะไรพวกมันต่อ
ผมเองก็ละมือแล้วทิ้งไม้ลงพื้น "เท่าไร ลุงแกติดหนี้ไว้เท่าไร?!" ถามพวกมันเสียงดัง
"สะ...สามหมื่น" คนที่พอมีสติมันพูดขึ้น
หยิบเงินปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นจำนวนสามหมื่นบาทถ้วนเนื่องจากนั่นผมจะต้องเอาไปจ่ายค่าเทอมในวันนี้ "เอาไป แล้วก็อย่าเสนอหน้ามาอีกนะ!" ยื่นให้อย่างไม่ลังเล
"พี่..." ยัยเด็กรั้งแขนผมก่อนจะส่ายหน้า
"ไม่เป็นไร" ผมบอกกับเธอ
มันหยิบเงินจากผมไปนับดูแล้วพยุงอีกคนที่เลือดท่วมก่อนจะพากันเดินไปแบบทุลักทุเล
"ขอบใจนะพ่อหนุ่ม เอาไว้ลุงจะหาเงินมาคืนเอ็ง" ลุงแกตะโกนออกมา
ผมยิ้มรับแล้วตะโกนตอบ "ไม่เป็นไรหรอกลุง" ก่อนจะหันมาพูดคุยกับยัยเด็ก "เป็นหนี้ใครอีกไหม?"
"ไม่มีแล้วค่ะ"
ย่อตัวลงแล้วลูบผมยาวที่ยุ่งเหยิงอย่างเอ็นดู ก่อนจะหยิบเงินห้าพันบาทที่เหลืออยู่ยัดใส่มือเธอ "เอานี่ไปซื้อของอร่อยๆ กินกับพ่อนะ"
"มันเยอะไปนะพี่" เธอยื่นคืน
"อายุเท่าไร?" ผมยัดมือเข้ากระเป๋ากางเกงเพื่อเลี่ยงไม่เอาเงินคืนก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถาม
"สิบสองค่ะ พี่ล่ะ?"
ดวงตาคู่สวยไร้เดียงสา หน้าตาน่ารักดูใสซื่อ รอยยิ้มที่บริสุทธิ์
ถ้าพูดไปคนต้องหาว่าผมบ้าแน่ๆ แต่อยากจะบอกว่าโดนเด็กตกเข้าให้แล้ว
"พี่อายุยี่สิบสอง"
"หนูชื่อแนท"
"พี่ชื่อคิง"
เธอยิ้มกว้างก่อนจะวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วหยิบผ้าบางๆ ผืนเล็กมาเช็ดคราบเลือดที่มือทั้งสองข้างให้ผม "ขอบคุณอีกครั้งนะคะ สัญญาว่าถ้าโตไปหนูจะทำงานหาเงินมาคืนพี่คิงนะ"
"โตไปแล้วใช้ชีวิตให้ดีล่ะ หาเงินได้มาก็ให้พ่อเถอะไม่ต้องใช้คืนพี่" ยิ้มกลับแล้วเขย่าศีรษะเล็กเบาๆ "พี่ไปก่อน" พูดทิ้งท้ายแล้วก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าเปื้อนเลือดที่ยัยเด็กยัดใส่มือมาให้ด้วย
ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายายใช้ให้ซื้อของนี่หว่าไอ้ห่าคิง รีบวิ่งสี่คูณร้อยไปในทันที!
"ดีจริงๆ เลยพ่อหลานทูนหัว แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเทอมฮะ!"
นั่งนิ่งอย่างสงบเสงี่ยมแล้วยอมฟังยายบ่นหูชาที่ทำตัวเป็นฮีโรแบบไม่เข้าท่าเอาเงินสามหมื่นห้าที่ต้องจ่ายค่าเทอมไปใช้หนี้ให้คนอื่นแทน
ก็ตอนนั้นมันจวนตัวบวกกับเป็นคนที่เห็นใครเดือดร้อนและโดนรังแกไม่ได้
"โทร.ไปขอพ่อแกเอาเองแล้วกัน ยายไม่อยากเสนอหน้าคุยกับมันละ" ยายสั่งก่อนจะเดินหายเข้าไปทำกับข้าวในครัว
ยายกับพ่อผมไม่ค่อยถูกชะตากันตั้งแต่แม่เสียไป แกฝังใจมาตลอดว่าลูกเขยสารเลวเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกสาวคนเดียวของแกตาย
ย้อนไปตอนนั้นแม่เริ่มมีปากเสียงกับพ่อและระหองระแหงกันมาตลอดด้วยเรื่องธุรกิจด้านมืดที่พ่อทำ แม่อยากให้พ่อเลิกทำอาชีพสุ่มเสี่ยงแบบนั้นแล้วหันมาทำงานสุจริตสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ แต่คนอย่างพ่อมีหรือจะยอม และนั่นก็ทำให้แม่น้อยเนื้อต่ำใจจนคิดสั้นจบชีวิตตัวเองในช่วงอายุสิบแปดปีของผมพอดี
เสียใจไหม...ก็เสียใจแหละ แต่ชีวิตมันต้องดำเนินไปต่อ ผมอยู่ในความดูแลของยาย ส่วนพ่อก็ตั้งรกรากอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นไป เดือนหนึ่งจะส่งเงินมาให้ใช้แบบไม่เคยขัดสน ยายเหมือนจะไม่เต็มใจแต่ก็ต้องรับไว้ในที่สุด
เลือกที่จะคลี่ผ้าเปื้อนเลือดออกมาดูแทนการกดโทร.ออกไปหาผู้เป็นพ่อ ผมลูบเนื้อผ้าไปมาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะเจอคนที่ใช่แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเธอยังอายุแค่สิบสองปีอยู่เลย!
"คงจะต้องรอให้โตก่อนสินะยัยเด็ก"
1 มกราคม 2561
มหาวิทยาลัย...
"ไอ้เหี้ยวิ่งเร็วๆ!" ผมตะโกนบอกกับกลุ่มเพื่อนที่กรูมานับยี่สิบคนเนื่องจากมีเด็กต่างถิ่นมาหาเรื่องรุ่นน้องอยู่ตรงป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย
จากนั้นเสียงเท้ากระทบพื้นซีเมนต์ก็ดังระนาวขึ้นก่อนที่ทุกคนจะไปยืนหยุดอยู่ตรงข้างป้าย เห็นรุ่นน้องสองคนกำลังทรุดนั่งกับพื้นแล้วมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งใช้ทิชชูซับเลือดบนใบหน้าฟกช้ำให้
"มาไม่ทันว่ะ แม่งหนีไปละ!" เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างหัวเสียแล้วเหลียวมองซ้ายขวา
"จะตามหรือเอาไงวะคิง" เพื่อนอีกคนถามผม
"ถ้ามีใจก็ตามไปแค่นั้น" เป็นคำตอบที่ผมมักจะพูดเสมอเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ และเพื่อนๆ ก็รู้งาน พวกมันพากันกลับเข้าไปเอารถมอเตอร์ไซค์ ส่วนผมขอไปดูรุ่นน้องสองคนในระหว่างที่รอ
"เป็นไงวะพวกมึง" ถามด้วยความเป็นห่วงพลางย่อตัวนั่งยองๆ
"ไม่ตายพี่" รุ่นน้องคนหนึ่งพูดขึ้น
"มันเป็นเด็กมหาวิทยาลัย..." รุ่นน้องอีกคนบอก
"เออ เดี๋ยวไปตามเก็บให้ แล้วน้องนี่..."
"หนูลงรถเมล์มาพอดีน่ะ เจอพี่สองคนนั่งเลือดไหลก็เลยเข้ามาช่วยเช็ดให้" เธอหันมาตอบ
และนั่นก็ทำให้ผมค้างไปชั่วขณะเพราะว่าเธอคือแนทหรือยัยเด็กที่ผมเคยช่วยไว้เมื่อปีที่แล้ว ผ่านมาแค่ปีเดียวดูโตขึ้นมาเยอะเลยแถมผมยังยาวกว่าตอนนั้นอีกด้วย หน้าตาก็ดูสดใสน่ารักยิ่งกว่าเก่า
ไม่ใช่ที่ผ่านมาไม่แวะเวียนไปหานะ ไปมาแล้วไม่เจอ คนแถวนั้นบอกว่าลุงแกย้ายบ้านไปหาที่สงบๆ อยู่ และผมก็ไม่ได้เจอยัยเด็กอีกเลยจนมาวันนี้
"นางฟ้านางสวรรค์จริงๆ" ไอ้รุ่นน้องคนหนึ่งพูดพลางมองแนทตาหวาน
ไอ้ห่านี่น่ากระทืบซ้ำ!
"ถ้าอย่างนั้นหนูไปก่อนนะคะ" เธอลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมจะเดินไปโดยที่ไม่เอ่ยทักและทำเป็นเหมือนไม่รู้จักผม
"จำกันไม่ได้รึไง" ผมท้วงขึ้นแล้วลุกขึ้นยืน
"..." เธอส่ายหน้า
"จริงดิ"
"คนมีเป็นร้อยเป็นพัน บางคนเดินชนกันนับร้อยครั้งยังจำไม่ได้เลยค่ะ" พูดไปยิ้มไป
"เรียนอยู่แถวนี้เหรอ" ผมเปลี่ยนคำถาม
"..." เธอทำแค่เพียงพยักหน้า
"โอเค"
"ไปก่อนนะคะ"
"..." ผมยืนมองยัยเด็กตัวเล็กปุ๊กปิ๊กเดินห่างออกไปจนลับตา และจังหวะนั้นเพื่อนๆ มันก็มาพอดี
"ไปเพื่อน" โจเพื่อนสนิทพูดชักชวน
ผมไม่รอช้ารีบกระโดดซ้อนท้ายมันแล้วไปตามคิดบัญชีเด็กต่างถิ่น!
1 มกราคม 2562
ผมเจอกับยัยเด็กอีกครั้งแบบไม่ได้บังเอิญ เพราะตามสืบจนรู้ที่อยู่และความเป็นไปในชีวิตเธอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ก้าวก่ายอะไร เพียงแค่อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ และเฝ้ารอเด็กมันโต
1 มกราคา 2563
แนทเดินชนกับผมที่ตลาดสด เธอขอโทษขอโพยยกใหญ่แต่ก็ยังมีท่าทีที่จำกันไม่ได้อยู่ดี ยัยเด็กดูร่าเริ่งแจ่มใสและโตขึ้นมาก ปีนี้เธอเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่สาม ส่วนลุงก็ดูแก่ขึ้นและเหมือนจะสุขภาพไม่ค่อยดี
1 มกราคม 2564
วันนี้เราไม่ได้เจอกัน แต่เป็นวันที่ผมต้องบินไปญี่ปุ่นเพื่อช่วยพ่อทำงานเพราะเรียนจบมานานยังหางานที่ถูกใจไม่เจอ ยายเองก็ตามไปด้วยถึงจะไม่เต็มใจแต่ก็ทิ้งไว้ไม่ได้ ไม่รู้วันเวลาที่แน่ชัดว่าต้องไปกี่ปีกี่เดือนหรือกี่วัน รู้แค่ว่าผมกลับมายัยเด็กก็น่าจะโตแล้วและตอนนั้นคงจะไม่มีทางปล่อยเธอให้หลุดมือไปแน่นอน