“เอาล่ะครับคุณอัญชัญ… มาถึงของจริงกันแล้วนะครับ”
ประโยคเรียบๆ ที่หลุดออกจากริมฝีปากหยักได้รูปของหมอรามนั้น มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงกว่าคำขู่ใดๆ ที่ข้าวปั้นเคยได้ยินมาทั้งชีวิต สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่วัตถุโลหะแวววาวในมือเขา... ไซริงค์ที่บรรจุของเหลวดูราวกับยาพิษร้ายแรงในสายตาเธอ สัญชาตญาณการเอาตัวรอดกรีดร้องสั่งให้เธอหนีไปให้ไกลที่สุด
ร่างเล็กๆ ขยับถอยหลังบนเตียงโดยอัตโนมัติ จนแผ่นหลังแทบจะชิดกับผนังห้องเย็นเฉียบ
“มะ...ไม่เอาค่ะ! วันนี้...วันนี้หนูรู้สึกไม่ค่อยสบาย เหมือนจะเป็นไข้ ฉีดยาไปก็ไม่ได้ผลหรอกค่ะ!” เธอร่ายยาวหาเหตุผลที่ฟังดูสมจริงที่สุดเท่าที่จะนึกออกในเวลานั้น “ไว้...ไว้เดือนหน้าก็ได้ค่ะ! นะคะคุณหมอ”
หมอรามมองปฏิกิริยาของเธอด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก เขาไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดหรือรำคาญใจแม้แต่น้อย เขาวางถาดสแตนเลสลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างใจเย็น ก่อนจะก้าวเข้ามาประชิดตัวเธอด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง แต่กลับแฝงไปด้วยแรงกดดันมหาศาล
“เมื่อกี๊วัดไข้แล้ว ไม่มีไข้ ความดันปกติ แค่ชีพจรเต้นเร็วไปหน่อย” เขาเอ่ยข้อเท็จจริงขึ้นมาทำลายคำโกหกของเธอจนไม่เหลือชิ้นดี “อาการแบบนี้ ผมวินิจฉัยว่า ‘โรคกลัวเข็ม’ แต่ยาที่ได้ผลที่สุด...ก็คือเข็มนี่แหละครับ”
“คุณหมอ!” ข้าวปั้นเสียงหลง เธอมองซ้ายมองขวาหาทางหนีทีไล่ แต่ก็พบว่าตัวเองจนมุมเสียแล้ว ร่างสูงของเขายืนคุมเชิงอยู่ตรงหน้า ขวางทางลงจากเตียงไว้ทุกทิศทาง
“หันหลัง แล้วนอนคว่ำลงครับ” เขาสั่งเสียงเรียบ
“ไม่!” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง กอดตัวเองแน่นขึ้น “ฉีดที่แขนก็ได้นี่คะ! ทำไมต้องฉีดที่สะโพกด้วย!”
“กล้ามเนื้อบริเวณสะโพกมีขนาดใหญ่และมีไขมันเยอะกว่า จะเจ็บน้อยกว่าการฉีดที่แขน และยาจะดูดซึมได้ดีกว่า” เขาอธิบายตามหลักการแพทย์อย่างใจเย็น “ผมพยายามเลือกวิธีที่เจ็บน้อยที่สุดให้คุณแล้วนะ...คุณอัญชัญ”
ประโยคสุดท้ายที่เขาจงใจลากเสียงชื่อเธอเบาๆ นั้นทำให้ข้าวปั้นรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาอย่างประหลาด มันไม่ใช่การประชดประชัน แต่มันเหมือน...การปลอบโยนที่แฝงไปด้วยความเผด็จการ
เมื่อเห็นว่าเธอยังคงดื้อดึงไม่ยอมขยับ เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ ผมคงต้องใช้พยาบาลมาช่วยจับ” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ “คุณคงไม่อยากสร้างประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนเมื่อสามเดือนก่อนใช่ไหมครับ?”
คำขู่นั้นได้ผลชะงัด! ภาพตัวเองดิ้นรนขัดขืนอยู่ในวงล้อมของพยาบาลสามสี่คนผุดขึ้นมาในหัวทันที มันเป็นภาพที่น่าอับอายเกินกว่าจะให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ต่อหน้าคุณหมอปากจัดคนนี้
ข้าวปั้นเม้มปากแน่น ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมแพ้แต่โดยดี เธอค่อยๆ ขยับตัวอย่างเชื่องช้า หันหลังให้เขาแล้วทิ้งตัวนอนคว่ำลงบนเตียงตามคำสั่ง ใบหน้าซุกลงกับหมอนเพื่อซ่อนความรู้สึกอับอายและหวาดกลัวที่กำลังประดังประเดเข้ามา
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินเข้ามาใกล้เตียง ตามด้วยเสียงเสื้อกาวน์ที่เสียดสีกันเบาๆ ข้าวปั้นหลับตาปี๋ หัวใจเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมานอกอก
แล้วเธอก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ชายกระโปรงเดรสของเธอ...
หมอรามกำลังร่นชายกระโปรงของเธอขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นผิวเนื้อบริเวณสะโพกและต้นขาอ่อนที่ซ่อนอยู่ภายใต้กางเกงชั้นในลูกไม้สีอ่อน ความเย็นของอากาศในห้องที่สัมผัสกับผิวเปลือยเปล่าทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย
“อย่าเกร็งครับ ยิ่งเกร็งจะยิ่งเจ็บ” เสียงทุ้มของเขาลอยมาจากทางด้านหลัง
อยากจะไม่เกร็งอยู่หรอก! แต่มันทำไม่ได้นี่!
แล้วสัมผัสที่สองก็ตามมา...
ฝ่ามือใหญ่และอุ่นจัดของเขาวางลงบนสะโพกด้านซ้ายของเธอพอดี มันเป็นสัมผัสที่หนักแน่นและมั่นคง มีจุดประสงค์เพื่อตรึงเธอไว้ไม่ให้ขยับหนี แต่ความอุ่นร้อนที่ส่งผ่านฝ่ามือนั้นกลับทำให้สติของข้าวปั้นกระเจิดกระเจิงไปหมด มันเป็นความอุ่นที่สวนทางกับฝ่ามือเย็นเฉียบที่เธอจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
ร่างกายของเธอตอบสนองก่อนสมองจะสั่งการ...หญิงสาวเผลอเกร็งสะโพกรับสัมผัสนั้นโดยไม่รู้ตัว
ทว่า...แทนที่จะฉีดยาทันที เขากลับทำในสิ่งที่เธอไม่คาดคิด
ปลายนิ้วเย็นเฉียบที่ชุบแอลกอฮอล์แตะลงบนผิวเนื้อของเธอ ความเย็นวาบทำให้ข้าวปั้นสะดุ้งอีกครั้ง แต่มันไม่ใช่การป้ายสำลีธรรมดาๆ...ปลายนิ้วของเขากลับลากไล้เป็นวงกลมอย่างเชื่องช้า บริเวณเหนือขอบกางเกงชั้นในของเธอ
มันเป็นการแตะต้องที่ก้ำกึ่ง...ระหว่างการหาตำแหน่งฉีดยาทางการแพทย์ กับการหยอกเย้าที่จงใจ
“อ๊ะ...” เสียงครางแผ่วเบาหลุดออกจากริมฝีปากของเธออย่างห้ามไม่อยู่
“เจ็บเหรอครับ?” เขาถามเสียงเรียบ แต่ปลายนิ้วยังคงไล่วนอยู่ที่เดิม ช้าลง...และหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย
“ปะ...เปล่าค่ะ มัน...เย็น” เธอตอบเสียงสั่น พยายามควบคุมลมหายใจที่เริ่มติดขัด
สมองของเธอขาวโพลน ความกลัวเข็มที่เคยมีอยู่เต็มหัวใจ บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกสับสนและวาบหวามอย่างรุนแรง สัมผัสจากฝ่ามืออุ่นๆ ที่ทาบทับอยู่บนสะโพก กับปลายนิ้วเย็นๆ ที่กำลังลากไล้บนผิวเนื้อของเธอ มันสร้างความรู้สึกปั่นป่วนจนเธอแทบคลั่ง
นี่เขากำลังตรวจร่างกาย หรือกำลังแกล้งเธออยู่กันแน่!
นิ้วหัวแม่มือของเขา...ที่วางอยู่บนฝ่ามือ กดลงบนบั้นท้ายของเธอเบาๆ เพียงชั่ววินาที แต่กลับส่งกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วทั้งร่าง ข้าวปั้นกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงน่าอายที่ทำท่าจะเล็ดลอดออกมาอีกระลอก
“เจอจุดที่เหมาะสมแล้ว” เขากระซิบเสียงพร่าอยู่ใกล้ๆ ก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงความเจ็บแปลบเพียงเสี้ยววินาทีที่ปลายเข็มแทงทะลุผิวเนื้อเข้ามา
มันเจ็บ...แต่น้อยกว่าที่คิดไว้มาก อาจเป็นเพราะสติสัมปชัญญะทั้งหมดของเธอกำลังจดจ่ออยู่กับสัมผัสลึกลับบนร่างกายมากกว่าความเจ็บปวดจากปลายเข็ม
ยาถูกฉีดเข้ามาจนหมดหลอดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เข็มจะถูกถอนออกไป
แต่ฝ่ามือของเขายังไม่ยอมละออกไป...
เขายังคงทาบมือไว้ที่เดิม ใช้สำลีกดลงบนรอยเข็มเพื่อห้ามเลือด แต่กลับใช้ปลายนิ้วที่เหลือลูบไล้ผิวเนื้อบริเวณนั้นเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลม
“เรียบร้อยแล้วครับ”
ข้าวปั้นแทบจะดีดตัวลุกขึ้นทันทีที่เขาพูดจบ เธอรีบดึงชายกระโปรงลงปิดบังร่องรอยหลักฐานอย่างลวกๆ ใบหน้าร้อนจัดจนแทบจะสุก เธอไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองหน้าเขาด้วยซ้ำ
“ขะ...ขอบคุณค่ะ” เธอพึมพำเสียงเบาหวิว รีบก้าวลงจากเตียงและตรงไปที่ประตูทันที
“เดี๋ยวครับ”
เสียงของเขาหยุดเธอไว้ ข้าวปั้นชะงัก หันกลับไปมองอย่างหวาดๆ
หมอรามยืนอยู่ที่เดิม แววตาหลังกรอบแว่นยังคงนิ่งสงบเหมือนเคย แต่ข้าวปั้นกลับสาบานได้ว่าเธอเห็นประกายขบขันซ่อนอยู่ในนั้น
“เดือนหน้า...เจอกันใหม่นะครับ” เขายิ้ม...เป็นรอยยิ้มแรกที่เธอเห็นชัดเจนเต็มสองตา มันเป็นรอยยิ้มมุมปากที่ดูร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมาในชีวิต
ข้าวปั้นไม่ได้ตอบอะไร เธอทำได้แค่พยักหน้ารับเบาๆ แล้วรีบเปิดประตูหนีออกจากห้องตรวจนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ปัง!
ทันทีที่ประตูปิดลง ขาของเธอก็อ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น หญิงสาวพิงหลังกับประตู พยายามควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจที่ยังคงระรัวไม่หยุด...
ความกลัวเข็มยังคงอยู่ แต่วันนี้...มันมีความรู้สึกใหม่เพิ่มเข้ามา
ความรู้สึกหวาดหวั่นต่อสัมผัสจาก ‘มือหมอ’ ที่ถึงจะเย็น...แต่กลับทำให้ใจของเธอร้อนรุ่มไปหมดทั้งดวง