2 หมอพูดน้อยปากร้าย มองตาให้เขิน

1629 คำ
ความเงียบที่โรยตัวลงมาในห้องตรวจนั้นหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าการโดนหัวหน้าแผนกเรียกไปพบเพื่อตำหนิเรื่องยอดขายเสียอีก ข้าวปั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ขาเหมือนถูกตอกหมุดติดไว้กับพื้น สมองน้อยๆ ของเธอกำลังประมวลผลอย่างหนักหน่วงระหว่างภาพป้าย ‘พ.ญ.’ ที่เธอสาบานได้ว่าเห็นแวบๆ กับใบหน้าหล่อเหลาแต่เย็นชาของ ‘นพ.’ ที่นั่งจ้องเธอเขม็งอยู่ตรงหน้า หรือว่า...นี่จะเป็นอาการภาพหลอนจากความเครียด? โรคใหม่ที่เกิดจากการกลัวโรงพยาบาลขึ้นสมอง? หมอรามไม่ได้เร่งรัด เขากลับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังอย่างสบายอารมณ์ ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะเบาๆ บนแฟ้มประวัติคนไข้เป็นจังหวะ สายตาคมกริบหลังกรอบแว่นยังคงจับจ้องอยู่ที่เธอไม่วางตา ราวกับกำลังศึกษาสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมที่หลุดเข้ามาในอาณาเขตของเขา “ถ้าจะยืนทำสมาธิอยู่ตรงนั้น ผมแนะนำให้ไปที่วัดจะดีกว่านะครับ ที่นี่ค่าบริการคิดเป็นนาที” น้ำเสียงทุ้มเรียบเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ แม้จะไม่มีแววเยาะเย้ย แต่ทุกพยางค์กลับคมกริบเหมือนมีดผ่าตัดที่กรีดลงมากลางหน้า ข้าวปั้นสะดุ้งเฮือก หลุดออกจากภวังค์ทันที “คะ...คะ? อ๋อ เปล่าค่ะ! คือ...ฉะ ฉัน เอ๊ย หนูแค่...แค่สงสัยว่า...” เธออึกอัก พยายามหาคำแก้ตัวที่ฟังดูดีที่สุด “...บนป้ายหน้าห้องมันเขียนว่า พ.ญ. ไม่ใช่เหรอคะ?” ใช่แล้ว! โยนความผิดให้ป้ายไปเลย! คุณหมอหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เป็นปฏิกิริยาเดียวที่บ่งบอกว่าเขาฟังที่เธอพูด “ตัว ‘น’ หางมันขาดไปหน่อยน่ะครับ แผนกซ่อมบำรุงรับเรื่องไปแล้วตั้งแต่สัปดาห์ก่อน” เขาตอบอย่างราบเรียบ ตัดบทสนทนาอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะก้มลงมองแฟ้มในมืออีกครั้ง “คุณอัญชัญ อิงครัต... ที่เคยเป็นลมตอนจะเจาะเลือดเมื่อสามเดือนก่อน?” คำถามนั้นเหมือนหมัดฮุกที่ส่งตรงเข้ากลางลิ้นปี่! ใบหน้าของข้าวปั้นร้อนผ่าวขึ้นมาทันที นี่เขาเปิดประวัติเธออ่านประจานกันซึ่งๆ หน้าเลยเหรอ! “มะ...ไม่ใช่เป็นลมนะคะ! แค่หน้ามืดนิดหน่อย!” เธอเถียงเสียงอ่อย พยายามรักษาเกียรติยศที่เหลืออยู่น้อยนิด “ครับ หน้ามืดจนล้มลงไปกองกับพื้น พยาบาลต้องช่วยกันหามขึ้นเตียง” เขาทวนข้อความในประวัติด้วยน้ำเสียงโทนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอตรงๆ “หวังว่าวันนี้คงเตรียมตัวมาดีกว่าเดิม” มันไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำสั่งที่แฝงมาในประโยคบอกเล่า ข้าวปั้นรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กนักเรียนที่โดนครูจับได้ว่าไม่ได้ทำการบ้าน “เตรียม...เตรียมมาดีค่ะ!” เธอตอบเสียงดังฟังชัดเพื่อกลบเกลื่อนความประหม่า “ดี” เขากล่าวสั้นๆ แล้วพยักพเยิดไปทางเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขา “นั่งครับ” ไม่ใช่น้ำเสียง แต่เป็นสายตาคู่นั้นที่กำลังสั่งเธอ ข้าวปั้นกลืนน้ำลายแล้วรีบเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นจำเลยในศาลไม่มีผิด เมื่อเธอนั่งลงแล้ว หมอรามก็ยังไม่พูดอะไรต่อ เขายังคงจ้องเธออยู่แบบนั้น...จ้องเหมือนกำลังจะวินิจฉัยโรคผ่านทางสายตา ดวงตาคมกริบคู่นั้นสำรวจเธอตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเล็บที่เคลือบสีชมพูอ่อน มันเป็นสายตาที่วิเคราะห์ ตรวจสอบ และตีค่า...จนเธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเปลือยเปล่าทั้งที่ยังสวมชุดเดรสอยู่ครบทุกชิ้น หัวใจที่เคยเต้นรัวเพราะความกลัว บัดนี้กลับเริ่มเปลี่ยนจังหวะไปเป็นความประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ข้าวปั้นเริ่มอยู่ไม่สุข เธอขยับตัวเล็กน้อย พยายามหลบสายตาคู่นั้นด้วยการมองไปรอบๆ ห้อง...มองเพดาน มองพื้น มองแจกันดอกไม้พลาสติกบนมุมโต๊ะ...มองทุกอย่างยกเว้นใบหน้าของเขา “ผมต้องตรวจร่างกายคุณ ไม่ใช่ตรวจเฟอร์นิเจอร์ในห้อง” เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง เรียกสติเธอกลับมา ข้าวปั้นสะดุ้ง ก้มหน้างุดทันที แก้มสองข้างร้อนผ่าวราวกับจะไหม้ “ขะ...ขอโทษค่ะ” “มานี่” เขาพยักพเยิดไปที่เตียงตรวจที่อยู่ด้านข้าง ข้าวปั้นใจหายวาบ แต่ก็ต้องลุกไปนั่งลงบนขอบเตียงแต่โดยดี คุณหมอหนุ่มลุกจากเก้าอี้ของเขา ความสูงที่มากกว่าเธออยู่มากทำให้ข้าวปั้นต้องแหงนหน้ามองเขาเล็กน้อย เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ใกล้...จนเธอได้กลิ่นโคโลญจน์สะอาดๆ ปนกับกลิ่นยาฆ่าเชื้อจางๆ ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขาไปแล้ว เขาโน้มตัวลงมาเล็กน้อยเพื่อสวมปลอกวัดความดันที่ต้นแขนซ้ายของเธอ ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ข้าวปั้นกลั้นหายใจไปโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจอุ่นร้อนของเขารินรดอยู่แถวขมับของเธอเบาๆ “หายใจด้วยคุณอัญชัญ” เสียงของเขา ดังอยู่ข้างหู “เดี๋ยวความดันจะพุ่งสูงจนเครื่องพังซะก่อน” “บ้า! ใครจะไปทำเครื่องพัง!” เธอเถียงเสียงสั่น รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับพันตัวบินว่อนอยู่ในท้อง หมอรามไม่สนใจคำประท้วงของเธอ เขากดปุ่มให้เครื่องทำงาน ปลอกที่แขนค่อยๆ บีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ข้าวปั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เกร็ง แต่สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นตัวเลขดิจิตอลที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว ‘โอ๊ยยัยปั้น! แกจะตื่นเต้นอะไรนักหนา! แค่วัดความดันเอง!’ เธอตวาดตัวเองในใจ เครื่องวัดความดันส่งเสียงร้องเตือนเบาๆ ก่อนที่ตัวเลขจะปรากฏขึ้นบนหน้าจอ หมอรามก้มลงมองตัวเลขนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่มุมปากหยักได้รูปกลับยกขึ้นเล็กน้อย...น้อยมากจนถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็น “ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ... 110 ครั้งต่อนาที” เขาพึมพำกับตัวเอง แต่ดังพอให้เธอได้ยิน “ตื่นเต้น?” “เปล่าซะหน่อย! ก็...อากาศในโรงพยาบาลมันน่าอึดอัดนี่คะ” เธอรีบแก้ตัว เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธออีกครั้ง แววตาคู่นั้นทอประกายบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก มันดูเหมือนขบขัน แต่ก็เหมือนกำลังท้าทาย “กลัวเข็ม...หรือว่ากลัวหมอครับ?” คำถามนั้นเหมือนระเบิดเวลาที่ถูกโยนมากลางวงสนทนา ข้าวปั้นเบิกตากว้าง อ้าปากค้างราวกับปลาขาดน้ำ หัวใจของเธอกระตุกวูบแล้วเต้นระรัวราวกับกลองชุดที่โดนรัวไม้ไม่ยั้ง “กะ...กลัวเข็มสิคะ! จะไปกลัวหมอทำไม!” เธอตอบเสียงสูงอย่างคนร้อนตัว “เหรอครับ” เขารับคำสั้นๆ คล้ายจะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ เขายกหูฟังทางการแพทย์ ขึ้นมาคล้องคอ แผ่นโลหะเย็นเฉียบที่ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงหน้าทำให้ข้าวปั้นเผลอกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “ต่อไปจะฟังเสียงหัวใจกับปอด” เขาแจ้งให้ทราบตามกระบวนการ มือหนาของเขาขยับเข้ามาใกล้บริเวณหน้าอกของเธอ ข้าวปั้นรีบยกมือขึ้นกอดอกโดยอัตโนมัติ เป็นการป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ หมอรามชะงักไปเล็กน้อย สายตาของเขามองการกระทำของเธออย่างพิจารณา ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “ผมจะตรวจคุณ ไม่ได้จะทำมิดีมิร้าย” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่แก้มของข้าวปั้นก็ยังร้อนอยู่ดี “ทะ...ทราบค่ะ” เขารออยู่อย่างอดทน จนในที่สุดเธอก็ค่อยๆ ลดแขนลงอย่างจำยอม คุณหมอหนุ่มจึงค่อยๆ สอดปลายหูฟังที่เย็นเฉียบเข้ามาใต้สาบเสื้อเดรสของเธอ สัมผัสเย็นเยียบของโลหะที่แตะลงบนผิวเนื้ออุ่นๆ บริเวณเหนือเนินอก ทำให้ข้าวปั้นสะดุ้งเฮือก ขนอ่อนทั่วทั้งตัวพร้อมใจกันลุกชัน “หายใจเข้าลึกๆ ครับ” เสียงทุ้มสั่งอยู่ข้างหู เธอพยายามทำตาม แต่ลมหายใจกลับติดขัดอย่างน่าประหลาด ได้แต่สูดหายใจเข้าไปสั้นๆ อย่างคนเป็นหอบ “หายใจเข้า...แล้วก็ออก” เขาสั่งย้ำช้าๆ ชัดๆ “ผมไม่ได้บอกให้คุณกลั้นหายใจตาย” “ก็มันหายใจไม่ถนัดนี่คะ!” เธอแหวกลับไปเสียงสั่นเครือ รู้สึกอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หมอรามไม่ตอบ เขาเพียงแค่ขยับตำแหน่งของหูฟังไปยังจุดต่างๆ อย่างเชี่ยวชาญ ทั่วทั้งบริเวณทรวงอกและแผ่นหลัง ทุกครั้งที่ปลายนิ้วเย็นๆ ของเขาเฉียดผ่านผิวเนื้อของเธอ ข้าวปั้นก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าสายเล็กๆ วิ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่...น่าหวาดหวั่น แต่ในขณะเดียวกันก็...วาบหวามอย่างน่าประหลาด กว่าการตรวจร่างกายเบื้องต้นจะสิ้นสุดลง ข้าวปั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งไปวิ่งมาราธอนมาหมาดๆ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมอยู่ตามไรผมและขมับ ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำจนน่าจะเอาไปใช้แทนสัญญาณไฟจราจรได้ หมอรามหันกลับไปจดข้อมูลบางอย่างลงในแฟ้มด้วยท่าทีสงบนิ่งเหมือนเดิม ไม่ได้รับรู้ถึงพายุอารมณ์ที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ในใจของคนไข้เลยแม้แต่น้อย เมื่อจดเสร็จ เขาก็วางปากกาลง...แล้วหันไปหยิบถาดสแตนเลสที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมา บนนั้น...มีไซริงค์บรรจุของเหลววางอยู่ คู่กับสำลีก้อนกลมและขวดแอลกอฮอล์ หัวใจของข้าวปั้นหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม คุณหมอหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเธอ มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นอีกครั้ง...เป็นรอยยิ้มที่แทบมองไม่เห็น แต่กลับส่งไปถึงดวงตาคมกริบคู่นั้น “เอาล่ะครับคุณอัญชัญ...” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าแฝงไปด้วยความนัยบางอย่าง “มาถึงของจริงกันแล้วนะครับ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม