ถ้าโลกนี้มีหน่วยวัดระดับความเกลียดชัง ‘ข้าวปั้น’ มั่นใจว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อโรงพยาบาลจะพุ่งทะลุสเกลไปไกลถึงดาวพลูโต
กลิ่นแอลกอฮอล์ที่คุ้นเคยทักทายโสตประสาททันทีที่เธอก้าวผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามา มันเป็นกลิ่นที่ปลุกสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเธอให้ทำงานในระดับสูงสุด หญิงสาวในชุดเดรสทำงานสีครีมอ่อนยืนตัวลีบอยู่กลางโถงรับรองผู้ป่วยนอกที่พลุกพล่าน มือบางกำสายกระเป๋าถือแน่นราวกับเป็นเครื่องรางชิ้นสุดท้ายในชีวิต
“บ้าจริง... บริษัทบ้าอะไรเนี่ย บังคับตรวจสุขภาพทุกเดือน!” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองเป็นรอบที่ร้อยแปด เสียงที่เล็ดลอดออกมาเบาหวิวจนแทบจะจมหายไปกับเสียงประกาศเรียกคิวและเสียงพูดคุยจอแจรอบตัว “คนจะสุขภาพดีอยู่แล้ว พอมาที่นี่แหละจะป่วยเอา! เป็นโรคหัวใจวายนี่แหละ!”
สายตากวาดไปเห็นโปสเตอร์รณรงค์เชิญชวนให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ที่มีรูปคุณหมอหน้าตาใจดียิ้มแฉ่งจนเห็นฟันครบทุกซี่ ข้าวปั้นเบ้ปากใส่ในใจ ‘ในรูปน่ะยิ้มหวานเชียว ตัวจริงน่ะสิ... ถามแต่ละคำเหมือนจะสอบสวนหาผู้ร้ายข้ามแดน ไหนจะสายตาที่มองเหมือนเราเป็นเชื้อโรคเดินได้อีก’
ความทรงจำอันเลวร้ายเมื่อหลายเดือนก่อนหวนกลับมาจู่โจมราวกับหนังที่ฉายซ้ำ ทั้งตอนที่เธอโวยวายลั่นห้องเพราะกลัวเข็มเจาะเลือด จนพี่พยาบาลสามสี่คนต้องเข้ามาช่วยกันจับเหมือนกำลังปราบจลาจลย่อมๆ หรือตอนที่เธอหน้ามืดเป็นลมล้มพับไปกองกับพื้นเพราะความดันขึ้นสูงปรี๊ดตอนเห็นปลายเข็มฉีดยา... ประวัติการรักษาของเธอมันช่างน่า ‘ภาคภูมิใจ’ ในความปอดแหกเสียจริง
สาเหตุมันก็มาจากบริษัทที่เธอทำงานนี่แหละ บริษัทโฆษณาสุดชิคที่ให้ความสำคัญกับ ‘Work-Life Balance’ และ ‘สุขภาพของพนักงาน’ จนเกินเบอร์ ด้วยการจัดสวัสดิการสุดพรีเมียม นั่นคือโปรแกรมตรวจสุขภาพและรับวิตามินเสริมทุกสิ้นเดือนกับโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งนี้ ซึ่งเพื่อนๆ ต่างอิจฉา... ถ้าเพียงแต่มันไม่ใช่โปรแกรม ภาคบังคับ ที่หากใครขาดก็จะถูกส่งอีเมลตามตัวจากฝ่ายบุคคล
มันคือสวรรค์ของคนอื่น แต่มันคือนรกขุมย่อมๆ ของข้าวปั้น
“คุณอัญชัญ อิงครัต เชิญที่ห้องตรวจหมายเลข 12 ค่ะ”
เสียงหวานใสของพยาบาลที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ดังขึ้นผ่านลำโพง แต่สำหรับข้าวปั้นแล้ว มันไม่ต่างอะไรจากเสียงเพชฌฆาตที่เรียกให้ไปขึ้นเขียงประหาร เธอสะดุ้งสุดตัวเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต กลืนน้ำลายเหนียวๆ ที่แห้งผากลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะค่อยๆ ผุดลุกขึ้นยืนด้วยเรียวขาที่สั่นเทาน้อยๆ
‘สู้โว้ยข้าวปั้น! แค่ตรวจร่างกาย ไม่ได้ไปออกรบที่ไหนซะหน่อย อีกสิบห้านาทีก็จบแล้ว!’ เธอปลุกปลอบตัวเองในใจ ก้าวเท้าที่หนักอึ้งราวกับมีโซ่ตรวนล่ามไว้ออกเดินไปตามทางเดินที่ดูยาวไกลราวกับไม่มีที่สิ้นสุด แอร์เย็นฉ่ำของโรงพยาบาลไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ป้ายหน้าห้องตรวจที่สลักชื่อว่า ‘พ.ญ. รามินทร์ วงศ์วริศ’ ทำให้เธอใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย
‘พ.ญ.’ ... แพทย์หญิง!
‘เฮ้อ... ค่อยยังชั่วหน่อย’ ข้าวปั้นถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยการเจอหมอผู้หญิงก็น่าจะทำให้เธอกล้าต่อรองเรื่องการฉีดยาได้ง่ายกว่าหมอผู้ชายล่ะนะ พวกหมอผู้ชายน่ะ ชอบทำหน้าดุแล้วก็พูดจาเผด็จการจะตายไป
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกเฮือก รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี เคาะประตูเบาๆ สองครั้งตามมารยาท
ก๊อก... ก๊อก...
“ขออนุญาตค่ะ”
เธอเอ่ยเสียงใสก่อนจะถือวิสาสะบิดลูกบิดแล้วผลักประตูเข้าไป แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้ร่างทั้งร่างของเธอแข็งทื่อค้างอยู่ตรงธรณีประตู...
ภายในห้องตรวจที่ขาวโพลนและเย็นเฉียบยิ่งกว่าห้องไหนๆ บนผนังด้านหนึ่งมีใบประกาศนียบัตรทางการแพทย์ใส่กรอบไว้อย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีร่างสูงของใครคนหนึ่งนั่งหันหลังให้เธออยู่บนเก้าอี้ทำงานบุหนังสีดำ แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดสะอ้านนั้นดูมั่นคงและน่าเกรงขามจนน่าอึดอัด เขากำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างบนแฟ้มประวัติคนไข้ เสียงปากกาหมึกซึมที่ขูดขีดกับกระดาษดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ตัดกับความเงียบงันในห้องได้อย่างน่าประหลาด
เดี๋ยวนะ... นั่นมันแผ่นหลังของผู้ชายชัดๆ!
แล้ว ‘พ.ญ.’ ที่แปลว่าแพทย์หญิงล่ะ?! หรือว่า...พยาบาลอ่านชื่อผิด?
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ประมวลผลความสับสนในหัวอย่างถี่ถ้วน ร่างสูงนั้นก็วางปากกาลงแล้วหมุนเก้าอี้กลับมา...
แล้วโลกของข้าวปั้นก็เหมือนจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ
ดวงตาคมกริบภายใต้กรอบแว่นทรงสี่เหลี่ยมเรียบหรูตวัดมองมาที่เธอ สายตาคู่นั้นนิ่งสนิทและไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เหมือนผืนน้ำในฤดูหนาว จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักได้รูปที่เม้มเป็นเส้นตรง ทุกองค์ประกอบบนใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักจากหินอ่อนนั้น... เย็นชาจนน่าใจหาย
“เชิญครับ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยออกมานั้นเรียบสนิท แต่กลับแฝงไปด้วยอำนาจบางอย่างที่ทำให้ข้าวปั้นต้องรีบก้าวเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงช้าๆ ตามสัญชาตญาณ
คลิก...
เสียงกลอนประตูที่ล็อกตัวเองเบาๆ แต่กลับดังก้องอยู่ในหัวใจของเธอราวกับเสียงระฆังเตือนภัยรอบสุดท้าย
‘เอาแล้วไง... เอาแล้วไงข้าวปั้น...’ หญิงสาวกรีดร้องในใจ ‘คนนี้แหละ... ที่พี่ๆ ที่ออฟฟิศลือกันว่า ‘หมอราม’ หมออายุรแพทย์คนใหม่ที่หล่อเหมือนเทพบุตร แต่ปากร้ายเหมือนซาตานมาเกิด!’
แล้วชื่อ ‘รามินทร์’ นี่มัน... ชื่อผู้ชายไม่ใช่เหรอ! แล้วทำไมบนป้าย...
สายตาของเธอเหลือบไปเห็นป้ายชื่อเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ‘นพ. รามินทร์ วงศ์วริศ’
นพ. ... นายแพทย์!
ตกลงว่าที่เธอเห็นเมื่อกี๊มันคือภาพลวงตา หรือเธอตาลายไปเองกันแน่!
ดูท่าการตรวจสุขภาพเดือนนี้ของเธอ... จะไม่ได้จบลงง่ายๆ เหมือนเสียงกรีดร้องในใจแล้วสิ