หลี่อี้เหยาในขณะนี้กำลังเดินอยู่ท่ามกลางท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน ความงามของนางเป็นที่หมายตาของบุรุษมากมายนัก แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาชิดใกล้กับนางเลยแม้แต่น้อย เพราะด้านหลังของนางดั่งมียมทูตหน้าหยกหล่อเหลาของแม่ทัพน้อยตระกูลเซวียที่เดินตามหลังนาง โดยที่นางไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงอาจูที่หันมาเห็น แต่ถูกสั่งให้เงียบ นางจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
“คุณหนูคนงาม ท่านสนใจทำนายดวงชะตาของท่านหรือไม่" ชายผู้หนึ่งที่แต่งกายคล้ายนักพรตกล่าว หลี่อี้เหยาที่มองเข้าไปตรงโต๊ะทำนายดวงก็เกิดความสนใจเล็กน้อย เดิมทีในอดีตนางไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้นัก แต่ตอนนี้ได้พบปาฏิหาริย์เหตุการณ์แปลกประหลาด นางล้วนเชื่อว่าเรื่องพวกนี้มีอยู่จริง และคิดว่าลองดูก็คงไม่เสียหายอะไร
“เอาสิ”
“แล้วคุณชายท่านนี้” นักพรตกล่าวถามทำให้หลี่อี้เหยาหันกลับไปมองก็พบร่างสูงใหญ่ของเซวียเหลียงเฟยที่อยู่ในชุดสีดำทะมึนไม่ได้เข้ากับเทศกาลเลย เขาติดตามนางมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ข้ามาพร้อมนาง"
“เช่นนั้นเชิญขอรับ” ท่านนักพรตกล่าว หลี่อี้เหยาเองก็ไม่ได้ถามอะไรนอกจากลงไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ตรงหน้าของนักพรต เซวียเหลียงเฟยเองก็เช่นกัน เขานั่งอยู่ข้างนาง
“ไม่คิดว่าเจ้าจะเชื่ออะไรแบบนี้”
“เพียงแต่ลองดูเท่านั้นเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยากล่าวก่อนจะยิ้มเล็กน้อย รอยแดงที่แก้มของนางทำให้เซวียเหลียงเฟยอดทอดถอนหายใจไม่ได้ ที่แท้ตลอดมานางถูกบังคับให้ทำ ไม่ใช่ความต้องการของนางเลยแม้แต่น้อย เขาช่างคิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไปว่านางหลงใหลชื่นชมเขา ที่แท้นางก็เพียงแค่เด็กคนหนึ่ง คนพวกนั้นรังแกนางถึงขนาดนั้น กลับไม่ปริปากสักคำ ไม่รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานางต้องเจอกับอะไรมาบ้าง
“เชิญทั้งสองเขียนดวงชะตาวันเกิดลงในแผ่นกระดาษทั้งสองเลย” นักพรตกล่าว หลี่อี้เหยาก็เขียนออกมาทันที มีเพียงเซวียเหลียงเฟยเท่านั้นที่ไม่อยากเขียนเสียเท่าไหร่ แต่นางยื่นให้นักพรตไปแล้ว เขาจึงได้เขียนลงไป นักพรตอ่านดวงชะตาก่อนจะเงยหน้ามองทั้งสอง “พวกเจ้าเป็นคู่รักกันหรือ เหตุใดถึงได้ดูเย็นชาต่อกันเช่นนี้"
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ นี่พี่ชายของข้า”
“พี่ชายหรือ ข้าอ่านดวงชะตาแม่นยำที่สุดในสำนัก ดวงชะตาของพวกเจ้าเป็นดวงชะตาแห่งคู่รัก ฤกษ์ยามของแม่นางมีชะตาดอกท้อมากำกับทำให้ยากจะประสบผลสำเร็จในความรัก เหตุใดถึงเป็นพี่น้องกันได้นะ” ท่านนักพรตกล่าวพึมพำ มีเพียงทั้งสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าทั้งคู่ไม่ใช่พี่น้องกันอย่างแท้จริง หลี่อี้เหยาขบขันเล็กน้อยก็ตรงที่บอกว่านางมีชะตาดอกท้อ
“ท่านนักพรตกล่าวผิดแล้ว ข้าไม่มีดวงชะตาดอกท้ออย่างที่ท่านว่าหรอก”
“แม่นางน้อย ดวงชะตาของเจ้ามีชะตาดอกท้อหนุนนำ วันหน้าจะต้องพบพานเรื่องราวความรักยุ่งยากไม่น้อย เดิมทีดวงชะตาของเจ้าไม่ใช่แบบนี้ แต่เพราะมีบางอย่างทำให้เปลี่ยนจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น วันหน้าก็ต้องระวังให้มาก ยิ่งเจ้างดงามถึงเพียงนี้เกรงว่าจะวุ่นวายนัก” ท่านนักพรตถอนหายใจ เซวียเหลียงเฟยหรี่ตามองท่านนักพรตอย่างไม่ค่อยพอใจนัก พวกนักพรตจอมหลอกลวงปลิ้นปล้อน เชื่อถือได้ที่ไหนกัน
“เจ้าดูดวงไม่เป็น แล้วยังมาทำนายมั่วซั่วอีก”
“เจ้าเด็กนี่ บังอาจนัก ข้าทำนายดวงแม่นยำที่สุดแล้ว ดวงเจ้ามีชะตาต้องพลัดพรากจากสตรีที่รัก เจ้าจะรักนาง แต่นางจะไม่รักเจ้า คอยดูไปเถอะ” ท่านนักพรตกล่าว ก่อนจะถือแส้สะบัดเดินหนีไป หลี่อี้เหยาไม่รู้ว่าจะเชื่อดีหรือไม่ แต่ก็แค่การทำนายอนาคตเท่านั้น นางจะใส่ใจอะไรกับสิ่งที่ยังไม่เกิดกัน
“อาจูไปจ่ายเงินค่าทำนายให้ข้าด้วย”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าจะไปให้คนพวกนั้นทำไม พวกหลอกลวงทั้งนั้น” เซวียเหลียงเฟยกล่าว หลี่อี้เหยาถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้ามองพี่ชายของนาง
“เดิมทีข้าไม่ได้คาดหวังที่จะให้พวกเขาทำนายอนาคตอะไรอยู่แล้ว เพียงทำเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น นักพรตพวกนั้นจะหลอกลวงหรือไม่ ล้วนเป็นข้าที่เต็มใจให้พวกเขาทำนาย พี่ชายนี่เป็นเทศกาลวันซุนเจี๋ย ท่านก็ใจดีกับผู้อื่นหน่อยเถอะ” หลี่อี้เหยากล่าวก่อนจะเดินไปในถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
“คุณหนูขนมเซาปิ่งของท่านอยู่นั่นเจ้าค่ะ” อาจูกล่าว หลี่อี้เหยาผลิยิ้มออกมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปที่ร้านนั้นทันทีด้วยความร่าเริงใจ กลิ่นหอมของแป้งทอดคละคลุ้งไปหมด
“เอาไส้ถั่วกวนหนึ่งชิ้นเจ้าค่ะ อาจูเจ้าอยากกินอะไรสั่งเลย พี่ชายท่านอยากทานไหมเจ้าคะ ฟ่านเหอเล่าอยากกินไหม” หลี่อี้เหยาถามทุกคน เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว ความอึดอัดภายในใจของนางนั้นลดน้อยลงไปมาก อย่างไรก็ถือเป็นพี่เป็นน้องกัน
“ข้าไม่กะ”
“อันนี้ใส่ถั่วกวนอร่อยมากเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยานำขนมมาใส่ปากของเซวียเหลียงเฟย นางยิ้มให้เขาก่อนจะเดินจากไปในตลาด ดูท่าวันนี้เซวียเหลียงเฟยคงได้คำสั่งจากท่านแม่ให้มาคอยตามดูนาง เช่นนั้นก็ปฏิบัติกันอย่างเป็นกันเองเสียดีกว่า “การแสดงอู่ซือนี่นา” หลี่อี้เหยากล่าวพร้อมกับวิ่งไปทางที่มีการเชิดหัวสิงโต นางจ้องมองการแสดงด้วยความตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
“คุณหนูหลี่" เสียงเรียกทักทายของบุรุษคนหนึ่งกล่าว หลี่อี้เหยาหันไปตามเสียงก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอย่างยินดี เสียงอ่อนหวานของนางเรียกขานอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม
“พี่เยี่ย”
“เจ้ามาเดินตลาดด้วยหรือ ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจ้าอีก” ใต้เท้าเยี่ยกวนเอ่ยทักทายหลี่อี้เหยาด้วยความคะนึงถึงอย่างที่สุด เขาไม่ได้พบนางเลยตั้งแต่วันที่ต้องแต่งงานไปในปีก่อน ก่อนหน้านั้นเยี่ยกวนได้พบหลี่อี้เหยาเป็นประจำ เพราะเขาและนางต่างเป็นสหายเดินหมากร่วมกันบ่อยครั้ง น่าเสียดายนักที่นางยังเยาว์วัยเกินไป และตระกูลเยี่ยของเขาไม่สนับสนุน วาสนาของเขาและนางจึงต้องยุติลง แต่เมื่อได้พบนางอีกครั้ง นางเติบโตเป็นสตรีที่งดงาม รอยยิ้มของนางดุจดวงดาราพร่างพราวบนท้องฟ้า “แก้มเจ้าไปโดนอะไรมา” ใต้เท้าเยี่ยกวนถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง หลี่อี้เหยารีบใช้มือปิดแก้ม
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เป็นอุบัติเหตุที่ข้าไม่ทันระวังเท่านั้น” นางกล่าวละล่ำละลัก แม้จะรู้ว่าตนเองโกหกได้โง่เขลานัก ใต้เท้าเยี่ยกวนได้แต่มองนางด้วยความรู้สึกหลากหลาย การแต่งงานกับคุณหนูเฉัยน สำหรับเขาไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย นางเป็นสตรีที่เขาไม่ได้รัก ไม่ได้รู้สึกเสน่หาเลย แต่มันก็เป็นหน้าที่ที่เขาต้องยอมรับ ในเมื่อแต่งนางเข้ามาแล้ว แต่เพียงคิดกลับกัน หากสตรีที่นอนเคียงข้างเขา ส่งยิ้มอ่อนหวานให้แก่เขาเป็นคุณหนูหลี่ ร่วมเดินหมากกันในวันว่าง จะดีเช่นไรหนอ…
“ข้าค…”
“ท่านพี่เจ้าคะ” เสียงเรียกของเฉียนกุ้ยฮวา ผู้เป็นฮูหยินของเยี่ยกวนกล่าว นางเดินมายืนข้างกายสามีก่อนจะมองสตรีแน่งน้อยที่มีหน้าตางดงามของหลี่อี้เหยา เหตุไฉนนางจะไม่ทราบ ใต้เท้าเยี่ยกวนสามีของนางเคยสารภาพกับบิดาของตนเองว่าพึงใจในสตรีผู้นี้ นางที่ถูกกำหนดวางตัวมานานเหตุใดจะไม่ทราบ นางเกลียดชังความงามอันเยาว์วัยของคุณหนูผู้นี้นัก ไม่เพียงแต่งดงาม กริยายังสมบูรณ์แบบจนนางไม่อาจเทียบเทียมได้ ทั้งที่ชาติกำเนิดต่ำถึงเพียงนั้น แต่กลับเลื่องชื่อลือนามอยู่อันดับต้นของเมืองหลวง ทั้งยังกล้ามาทำให้บุรุษที่เป็นของนางหวั่นไหวอีก
“เยี่ยฮูหยิน” หลี่อี้เหยากล่าวทักทายทั้งที่อีกฝ่ายมองนางด้วยสายตาที่ไม่ค่อยดีนัก เยี่ยกวนเองก็ทราบดี เขาไม่อยากให้หลี่อี้เหยาลำบากใจไปมากกว่านี้ และไม่อยากที่จะอยู่มองนางจนใจบอบช้ำเช่นนี้จึงจำต้องลาจากนาง
“อี้เหยา ข้าต้องขอตัวก่อน”
“เจ้าค่ะ ใต้เท้าเยี่ย”
“ทำหน้าเศร้าขนาดนั้น เสียดายเช่นนั้นหรือ” เซวียเหลียงเฟยที่แฝงตัวอยู่ในความมืดเมื่อครู่กล่าว ในมือของเขายังมีเซาปิ่งที่หลี่อี้เหยาซื้อให้กินอยู่ ได้ข่าวว่านี่เป็นขนมที่นางชอบมากที่สุด พอเห็นสีหน้าเศร้าเล็กน้อยของนางแล้วกลับรู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อยเลย
“เสียดายอะไรหรือเจ้าคะ”
“เสียดายที่ใต้เท้าเยี่ยแต่งงานกับคนอื่นไม่ใช่เจ้า”
“ตอนข้าพบใต้เท้าเยี่ยครั้งแรกอายุสิบสอง เป็นเพื่อนเล่นสหายหมากรุกตอนข้าอายุสิบสาม พี่ชายคิดว่าตอนข้าอายุเท่านั้นคิดถึงเรื่องแต่งงานแล้วหรือเจ้าคะ” หลี่อี้เหยากล่าว
“ตอนแปดขวบเจ้าก็เคยบอกจะเป็นฮูหยินของข้า”
“เด็กที่โตแล้ว กับเด็กที่ยังไม่โตไม่เหมือนกันนะเจ้าคะ ตอนนั้นข้าแค่อยากใกล้ชิดสนิทกับท่านเท่านั้น เรื่องเป็นฮูหยินของท่าน ข้าไม่รู้อะไรมากนักหรอกว่าเป็นเช่นไร” หลี่อี้เหยากล่าวตามความจริง นางปักใจในตัวของเซวียเหลียงเฟยตั้งแต่เด็ก เริ่มต้นย่อมไม่ใช่ความรัก เวลาผ่านไปมากกว่าถึงจะเรียกว่าความรัก แต่ก็เป็นความรักที่มาพร้อมกับความปรารถนาอย่างรุนแรง
“แล้วเจ้าไม่เสียใจหรือที่บุรุษที่ดีเช่นเยี่ยกวนแต่งงานไปแล้ว”
“พี่ชาย ท่านห่วงตัวเองก่อนเถิดเจ้าค่ะ เรื่องของสามีในอนาคตข้าต้องมาหลังจากภรรยาของท่านอย่างแน่นอน” หลี่อี้เหยากล่าว ก่อนจะไม่สนใจเซวียเหลียงเฟยอีก นางยังคงเดินไปในถนนในที่ทอดยาวพร้อมกับความบันเทิงที่รายล้อมตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า การเล่นกล ปาลูกดอก การร่ายรำของสตรี
“คุณหนูด้านนั้นมีการละเล่นทายคำเจ้าค่ะ ไปดูกันดีหรือไม่เจ้าคะ” อาจูถาม หลี่อี้เหยาตรงไปทันที การละเล่นทายคำเป็นสิ่งที่สนุกสนานของพวกปราชญ์บัณฑิตที่มีความรู้ นางเองก็ชื่นชอบไม่น้อย ไม่เพียงแต่ใช้ไหวพริบ บางอย่างที่นอกเหนือจากตำราก็สามารถนำมาคิดได้เช่นกัน
“เขียว อ้วน แดง ผอม” เจ้าของร้านกล่าวออกมาพร้อมกับหยิบโคมไฟประณีตชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นของรางวัล หลี่อี้เหยาครุ่นคิดเล็กน้อย สิ่งใดคือเขียว อ้วน แดง และผอมกัน “สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับฤดูกาล” เจ้าของร้านยังกล่าวต่อเสริม ทำให้คำตอบนั้นคาดเดาง่ายยิ่งนัก
“ข้าขอตอบเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยากล่าว ทุกคนหันไปมองดรุณีแน่งน้อยที่งดงามในชุดสีขาว ใบหน้าของนางสะท้อนกับแสงพระจันทร์ทอประกายเรืองรองดูงดงามจับตาในยามค่ำคืน น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลของนางที่เต็มไปด้วยความซุกซนแฝงเร้นในน้ำเสียงเล็กน้อย บาดใจผู้ที่ได้ยินอยู่ไม่น้อยเลย
“คุณหนูน้อยท่านนี้ รู้คำตอบเช่นนั้นหรือ”
“ง่ายนักเจ้าค่ะ ตอบว่าวสันตฤดู”
“อธิบายได้หรือไม่”
“ปริศนาของท่าน เขียวอ้วนย่อมหมายถึงการเจริญเติบโตใหม่ของต้นไม้ในวสันตฤดู ในขณะที่แดงผอม อธิบายถึงการเหี่ยวเฉาของใบไม้ และดอกไม้จากฤดูกาลก่อนหน้า” หลี่อี้เหยาตอบอย่างฉะฉานและชัดเจน เจ้าของร้านยิ้มเก้อเล็กน้อยที่ปริศนาถูกเดาง่ายดาย ยังไม่ทันได้เงินจากผู้อื่นก็ต้องเสียโคมอันงดงามไปเสียแล้ว แต่หลี่อี้เหยาไม่ได้คิดเอาเปรียบเจ้าของร้าน นางมอบเงินค่าตอบคำถามในราคาที่พอสมควรก่อนจะถือโคมงดงามในมือ ทั้งยังยืนฟังปริศนาทายคำต่อด้วยความสนใจ
“สิ่งนี้เหมือนกันทั้งสี่ฤดู ไม่สิ… วสันตฤดู คิมหันต์ฤดู สารทฤดู เหมันตฤดู ถามว่าเป็นเช่นไร คำตอบนั้นอยู่ในใจ”
“คุณหนูทราบหรือไม่เจ้าคะ” อาจูสอบถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้สิ” หลี่อี้เหยาตอบ คำถามพวกนี้นางไม่ถนัดเสียเท่าไหร่ เพราะแม้สตรีจะมีสิทธิ์ได้เรียนหนังสือ แต่น้อยนักที่จะได้มาถกปรัชญากับบุรุษ ดั่งพวกบัณฑิตที่ตั้งกลุ่มพูดคุยกันแลกเปลี่ยนความรู้ ครั้นสตรีจะไปอยู่กลางดงพวกบุรุษก็ใช่ว่าจะเหมาะสม บัณฑิตและชาวบ้านมากมายต่างตอบคำถามกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าพ่อค้าร้านโคมจะมีการใบ้คำเพิ่ม แต่ก็ยังไม่มีใครตอบได้อยู่
“ข้าตอบ” เสียงของบุรุษคนหนึ่งกล่าว เขาสวมชุดธรรมดาเรียบง่าย แต่กลิ่นอายสูงศักดิ์ของเขาทำให้หลี่อี้เหยาตกใจกลัวไม่น้อย องค์ชายแปด …แล้วคิดพิเรนทร์อะไรกันถึงมาโผล่งานเทศกาลซุนเจี๋ยเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าภายในวังมีงานเลี้ยงหรอกหรือ
“คุณชายท่านนี้เชิญขอรับ”
“ความรัก”
“โอ้ ข้อนี้ยากนัก ไม่คิดว่าคุณชายจะตอบได้ เช่นนั้นช่วยอธิบายให้ผู้อื่นกระจ่างใจหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”
“สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทั้งสี่ฤดู แต่ไม่ใช่ฤดู ย่อมหมายถึงความรู้สึก แต่ความรู้สึกก็ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นข้าจึงตอบว่าความรัก” องค์ชายแปดตอบได้ฉะฉาน หลี่อี้เหยายิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาจากกิจกรรมทายคำเพื่อไม่ให้มีใครสังเกตนางได้ นางกลัวองค์ชายแปดนัก บุรุษคลั่งรักหลี่อีอีที่ทรมานนางจนแทบสิ้นสติ ไม่ยอมฆ่านางเสียที นางยังจดจำรอยยิ้มชั่วร้ายของเขาได้ไม่เคยจางหายไปจากใจ เขาน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเซวียเหลียงเฟยเสียอีก
“คุณหนูท่านจะกลับแล้วหรือเจ้าคะ”
“เจ้ายังอยากเดินเที่ยวอยู่หรือ”
“เจ้าค่ะ” อาจูบอกท่าทางอิดออด หลี่อี้เหยาเห็นว่าเส้นทางกลับจวนนั้นอีกไม่ไกล อีกทั้งค่ำคืนนี้ก็มีกิจกรรมยาวทั้งคืน ผู้คนสัญจรมากมาย จึงได้พยักหน้าอนุญาตให้อาจูนั้นไปเที่ยวต่อได้
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเที่ยวเล่นต่อเถอะ เงินก็เอาไว้ใช้ ส่วนข้าจะเดินกลับไปเอง ไม่ต้องห่วง” หลี่อี้เหยากล่าวก่อนจะเดินถือโคมกลับคนเดียว พอออกห่างจากตลาดแล้วนางก็รู้สึกเริ่มกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นางกระชับเสื้อคลุมกันลมสีแดงก่อนจะพยายามเดินให้เร็วขึ้นกว่านี้
“กรี๊ดดดด” หลี่อี้เหยากรีดร้องด้วยความตกใจกลัวเมื่อมีใครบางคนจับแขนของนางไว้ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไร ทั้งยังไม่ยอมตอบนางก็เลยจำต้องลืมตาขึ้นมามองก็พบว่าเป็นเซวียเหลียงเฟยที่ในมือกำลังถือห่อขนมสีขาว
“ทำไมเดินอยู่คนเดียว อาจูเล่า”
“นางอยากเที่ยวเล่นต่อ ข้าเลยอนุญาตเจ้าค่ะ”
“เหลวไหล เจ้านายกลับจวนคนเดียว แล้วนางไปเที่ยวเล่น เช่นนั้นจะมีข้ารับใช้ไว้เพื่ออะไร นางหรือเจ้ากันแน่ที่เป็นเจ้านาย” เซวียเหลียงเฟยดุหลี่อี้เหยาที่กล้าอนุญาตให้ข้ารับใช้ของตนเองเที่ยวเล่น แต่ตัวเองกลับมาเดินถือโคมกลับจวนคนเดียวทั้งที่มืดขนาดนี้
“ขะ ข้าเพียง”
“ไม่ต้องตอบข้า จะมีเมตตาอะไรต่อผู้อื่นก็ต้องเอาตัวเองเป็นหลัก เป็นสตรีจะมาเดินคนเดียวเช่นนี้ได้อย่างไร หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร เหตุใดถึงได้ไร้ความคิดเช่นนี้ ในหัวของเจ้ามีแต่เถ้าถ่านงั้นหรือ” เซวียเหลียงเฟยตะคอกใส่หลี่อี้เหยาจนนางน้ำตาคลอ นางเพียงแค่เห็นว่าอาจูยังเยาว์ ทั้งยังชอบความรื่นเริง จึงได้ปล่อยผ่าน อีกทั้งจวนก็อยู่ไม่ไกล ไม่คิดว่าเซวียเหลียงเฟยจะดุนางเช่นนี้ “เจ้าเป็นอะไรไปหลี่อี้เหยา สมองเจ้าหลุดหายไปที่ไหน วันนี้ก็ถูกลุงเจ้าตบตี เหตุใดถึงปล่อยให้มันทำเช่นนั้น”
“ทะ ท่าน”