“เจ้าอย่าคิดว่าผู้อื่นไม่รู้ เหตุใดถึงได้ยอมเช่นนั้น แล้วพรุ่งนี้จะแก้ตัวกับท่านแม่อย่างไรเรื่องรอยบนใบหน้าของเจ้า” เซวียเหลียงเฟยกล่าวพลางจับคางของหลี่อี้เหยา นางเจ็บจนน้ำตารื้น พยายามดิ้นรนออกจากแขนของเขา แต่ก็เพราะนางตัวเล็กถึงเพียงนี้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปสู้เขาได้
“ปล่อยข้าเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ทราบ และไม่เห็นแน่นอน เพราะหลังเทศกาลซุนเจี๋ย ข้าเก็บตัวเสมอ” หลี่อี้เหยากล่าว แต่เซวียเหลียงเฟยกลับไม่ปล่อยนาง เพียงแต่พาลากนางกลับจวนเท่านั้น เขาพานางลัดสวนไปทางเรือนพักของนาง เซวียเหลียงเฟยไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ ห้องของหลี่อี้เหยาที่ควรจะประดับประดาด้วยของแพงมากมายกลับกลายเป็นเรือนที่สงบ นางอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่มีอะไรประดับประดาอย่างที่ควรจะเป็นนัก “มานั่งตรงนี้”
“ท่านจะทำอะไร”
“ข้าไม่ล่วงเกินเจ้าหรอก หน้าตาอย่างเจ้ามีตรงไหนกันที่น่ามอง” เซวียเหลียงเฟยกล่าว หลี่อี้เหยาตกใจจนต้องเผลออ้าปากค้าง นางไม่งดงามเฉิดฉันเลยสักนิดหรือ ตอนเรียนอยู่สำนักศึกษาก็มีบุรุษหลายคนแอบส่งจดหมายรักให้นางตั้งมากมาย เหตุใดถึงได้บอกหน้าตานางไม่น่ามอง
“หากไม่อยากมองก็กลับไปได้แล้วเจ้าค่ะ ดึกดื่นค่ำมืด ข้ากับท่านไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ เสียหน่อย” หลี่อี้เหยากล่าว แต่เซวียเหลียงเฟยกลับหยิบตลับยาออกจากอกของตนเอง เขาอยู่ในสนามรบมาโดยตลอด เนื้อตัวมีแต่บาดแผล แมลงกัดต่อย ไม่ก็บาดแผลจากอาวุธ ทำให้ต้องมียาสมานแผลทารักษาบำรุงอยู่ตลอด แน่นอนว่าย่อมเป็นของดี “มือของท่านสากนัก” หลี่อี้เหยาบ่นงึมงำเมื่อเซวียเหลียงเฟยเป็นผู้ทายาที่แก้มของนาง
“ข้าจับแต่กระบี่ มือจะอ่อนเยาว์นุ่มนิ่มแบบสตรีที่ไม่ทำอะไรเลยแบบเจ้าได้อย่างไร”
“ท่านกำลังตำหนิข้า”
“เจ้าไม่ทำอะไรเลย ถือเป็นการตำหนิหรือ” เซวียเหลียงเฟยแค่นยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเก็บตลับยา หลี่อี้เหยาอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาอยู่ด้วยกันภายในเรือนเช่นนี้ มีเพียงเซวียเหลียงเฟยที่มองเสี้ยวหน้าของนาง แล้วรู้สึกว่าตั้งแต่นางสงบเรียบร้อยขึ้น นางก็ดูงดงามมีเสน่ห์ยิ่งนัก
“พี่ชายมีธุระอะไรต่อหรือไม่เจ้าคะ ข้าง่วงมากแล้ว”
“เช่นนั้นข้ากลับก่อน” เซวียเหลียงเฟยกล่าวเพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ต่อในเรือนของสตรียามวิกาลได้ จึงลุกเดินออกไปทันที หลี่อี้เหยาที่เห็นเซวียเหลียงเฟยปิดประตูออกไปแล้ว นางก็ทำเพียงถอดชุดคลุมและปีนขึ้นเตียงของตัวเองนอนเท่านั้น สำหรับนางแล้ว แม้ยังหลงเหลือความต้องการภายในใจห้วงลึกอยู่บ้าง แต่นางก็สัญญากับตนเองแล้วว่านางจะไม่ทำผิดอีก จึงได้นอนหลับไป
ในอีกหลายวันนั้นหลี่อี้เหยาไม่ได้ไปเรือนใหญ่ เพราะไม่อยากถูกท่านแม่จับพิรุธที่ข้างแก้มของนางได้ แต่ทว่า… สิ่งที่นางไม่ทราบคือ เซวียเหลียงเฟยได้พูดเรื่องนี้กับท่านพ่อ ท่านแม่แล้ว เขาย่อมไม่ปล่อยให้หลี่อี้เหยาโดนรังแกเอาเปรียบอย่างแน่นอน ถึงนางจะยินยอม แต่คนตระกูลเซวียไม่มีทางยินยอมเด็ดขาด
“มีอะไรกับพ่อหรือ” ท่านแม่ทัพเซวียถามบุตรชาย ปกติแล้วยามนี้บุตรชายไม่ควรเข้ามารบกวนเวลาของบิดามารดานัก แต่เห็นท่าทางจริงจังของบุตรชายแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเกรงจะมีเรื่องใหญ่อีก
“เมื่อวานข้าติดตามอี้เหยากลับจวนของนางไปขอรับ”
“เจ้าตามน้องไปทำไมกัน”
“ข้าไม่มีอะไรทำขอรับ”
“เหลวไหล” ฮูหยินจิ่งกล่าว บุตรชายของนางย่อมมีเหตุผลที่ในการกระทำแต่ละอย่าง แต่จะมาทู่ซี้ตอบว่าว่าง เห็นทีจะเป็นไปไม่ได้ คงจะตามไปก่อกวน รังแกอี้เหยาของนางล่ะสิไม่ว่า พอน้องไม่ยุ่งด้วยก็ดันจะอยากไปยุ่งกับน้องเองเสียมากกว่า
“นางถูกลุงของนางตบตีขอรับ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“หลี่เฉียงไม่เพียงตบนาง สายตาของมันยังโลมเลียนาง ทั้งยังข่มขู่ให้นางหาวิธีเป็นฮูหยินของข้า ทั้งยังบีบบังคับให้นางใช้ยาบางอย่างกับข้า และข่มขู่นางอีกว่าหากไม่เป็นฮูหยินตระกูลเซวีย เขาจะจับนางไปขาย” เซวียเหลียงเฟยกล่าว ฮูหยินจิ่งมือไม้สั่นตั้งแต่ได้ยินว่ามันตบบุตรสาวของนาง ทั้งยังกล้าใช้ดวงตาชั้นต่ำโลมเลียบุตรสาวของนาง นางเลี้ยงของนางมาตั้งแต่ยังเล็ก ใครมันกล้ารังแกบุตรสาวของนางได้ นางไม่เคยแม้แต่จะตีอี้เหยา แล้วผู้อื่นมีสิทธิ์อะไรกัน
“นะ… นี่เป็นเรื่องจริงหรืออาเฟย”
“ขอรับท่านแม่ ท่านต้องการจัดการกับมันอย่างไร”
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ฟ่านเหอ เจ้าไปตามอาจูมาพบข้า อย่าให้อี้เหยารู้เด็ดขาด” ท่านแม่ทัพเซวียกล่าว เขาพอคาดเดาได้ลางๆ ว่าเพราะเหตุใดหลี่อี้เหยาจึงไม่ยอมปริปากพูด เกรงว่านางคงจะต้องมีความลำบากใจบางอย่างที่ไม่กล้าบอกกล่าวอย่างแน่นอน
“อาจูเจ้าบอกข้าเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนตระกูลหลี่เสีย” ฮูหยินจิ่งกล่าวกับอาจู ทั้งที่นางเพิ่งมาถึงโดยที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย พอเห็นคุณชายใหญ่จึงเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดทันที ในเมื่อฮูหยินอนุญาตให้พูด นางก็พูดเสียจนหมด พูดความทุกข์ยากของคุณหนูตั้งแต่เด็กที่ต้องพบเจอครอบครัวนี้
“ที่แท้แล้วเหยาเอ๋อร์มีเรื่องให้ทุกข์ใจไม่น้อยเลย เหตุใดกันที่นางไม่ยอมบอกความจริงแก่ข้า” ฮูหยินจิ่งถอนหายใจ ที่แท้นิสัยร้ายกาจล้วนมาจากการกดดันนางเช่นนี้ เงินทองที่คิดว่านางใช้มากมายจนเกินตัวกลับกลายเป็นนางแทบไม่ได้ใช้เงินอย่างที่คิด แต่ถูกครอบครัวนี้เอาเปรียบมาโดยตลอด นางเข้าใจบุตรสาวคนดีของนางผิดมาโดยตลอดเช่นนั้นสินะ
“อาชุ่นเจ้าไปนำป้ายวิญญาณบรรพบุรุษตระกูลหลี่ออกมา ให้นักพรต ไต้ซือเป็นผู้นำทาง อี้หลิวไปหยิบโฉนดจวนที่ข้าซื้อไว้ออกมา” ท่านแม่ทัพเซวียกล่าว อี้หลิวสาวใช้ของฮูหยินรีบไปนำโฉนดมาทันที
“โฉนดอะไรหรือขอรับท่านพ่อ”
“พ่อตั้งใจซื้อจวนให้น้อง กลัวว่าวันหน้านางแต่งงานไปแล้วเกิดอะไรขึ้น นางจะได้มีบ้านเดิมอาศัย”
“จวนตระกูลเซวียไม่ใช่บ้านเดิมของนางหรือ”
“ถ้าพ่อแม่ตาย เจ้าจะเอาน้องไหมล่ะ” ท่านแม่ทัพเซวียกล่าว หลี่อี้เหยาไม่ใช่น้องสาวโดยสายเลือด วันหน้าเซวียเหลียงเฟยแต่งภรรยา เกรงว่านางกับหลี่อี้เหยาอาจจะไม่ถูกคอกัน ถึงตอนนั้นถ้าต้องเลือกอย่างไรก็ต้องเลือกให้หลี่อี้เหยาออกไปอาศัยที่อื่น แล้วคนเป็นพ่อแม่จะทำใจได้เช่นไร มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เหมาะสม
“เหตุใดพวกท่านคิดว่าข้าเป็นคนโหดร้ายเช่นนั้น”
“เจ้าเป็นมาตลอดอาเฟย”
“อาชุ่นเจ้าไปหาคนนำป้ายวิญญาณออกมา เอาออกมาทั้งหมด และอี้หลิวไปทำความสะอาดจวนให้พร้อม ส่วนคนพวกนั้นข่มขู่พวกมันห้ามไม่ให้มายุ่งกับลูกสาวข้าอีก” ท่านแม่ทัพเซวียกล่าว ข้ารับใช้ทั้งสองจึงออกไปทำงานตามคำสั่งทันที แม้จะไม่อาจใช้เวลาได้ภายในวันเดียว แต่เพียงแค่สามวัน จวนใหม่ของตระกูลหลี่ที่แม้จะเป็นจวนหลังน้อย แต่ก็ยังอยู่ในกำแพงเมือง และมีข้ารับใช้ตระกูลเซวียผลัดเปลี่ยนกันไปดูแล โดยที่หลี่อี้เหยาก็ยังไม่ทราบเรื่อง
“เหยาเอ๋อร์อยู่จวน ดูแลจวนให้ดีนะลูก” ฮูหยินจิ่งกล่าว เพราะวันนี้นางและสามีจะเดินทางไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อที่จะต้องกลับไปงานศพของท่านอาจารย์ของแม่ทัพเซวีย ทำให้หลี่อี้เหยานั้นต้องอยู่เฝ้าจวน พร้อมกับพี่ชาย เซวียเหลียงเฟยไม่ได้ตอบอะไร นอกจากมองท่านพ่อ และท่านแม่อยู่บนรถม้าจนกระทั่งลับสายตาไป
“ท่านแม่ไปแล้ว เจ้าขอบคุณข้าหรือยัง” เซวียเหลียงเฟยกล่าวกับหลี่อี้เหยา นางมองหน้าเขาด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ขอบคุณพี่ชายเรื่องอะไรเจ้าคะ”
“เช่นนั้นตามข้ามาสิ” เซวียเหลียงเฟยกล่าว ฟ่านเหอนำรถม้ามาจอดอยู่ตรงหน้า หลี่อี้เหยาได้แต่มองอย่างไม่มีทางเลือก นางจึงได้เดินขึ้นรถม้าไปตามเซวียเหลียงเฟย
“พี่ชายจะพาข้าไปไหนเจ้าคะ”
“ไปจวนตระกูลหลี่ของเจ้า"
“ไปทำไมกันเจ้าคะ” หลี่อี้เหยาถามด้วยความไม่แน่ใจ แต่เซวียเหลียงเฟยไม่ตอบอะไรนางอีก นางจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่นั่งอย่างสงบเรียบร้อยอยู่ภายในรถม้าเท่านั้น เซวียเหลียงเฟยก็ได้แต่พิจารณาน้องสาวผู้นี้ หลี่อี้เหยามีความงามไม่เหมือนผู้อื่น ดวงตาของนางกลมโตเด่นชัด จมูกปากของนางรับกันราวกับเทพเจ้าบรรจงสรรค์สร้าง ผิวพรรณของนางขาวเนียนละเอียด การแต่งกายของนางเรียบง่าย แต่กลับดูโดดเด่นด้วยการเล่นสีเสื้อผ้าของนาง กิริยามารยาทนับว่างดงามสูงส่ง ไม่มีสิ่งใดด้อยเลยแม้แต่น้อย
“ที่นี่เป็นจวนของข้าอย่างไรเจ้าคะ” หลี่อี้เหยาถามด้วยความสงสัยหลังจากที่ลงจากรถม้า จวนตระกูลหลี่จะต้องออกนอกประตูเมืองไปอีก เหตุใดถึงอยู่ที่นี่ ป้ายด้านบนก็เป็นอักษรลายมือท่านพ่อ เหตุใดกัน
“ท่านพ่อซื้อจวนหลังนี้ไว้ให้เจ้า ทั้งยังย้ายบรรพบุรุษของเจ้ามาไว้ที่นี่หมดแล้ว” เซวียเหลียงเฟยกล่าวก่อนจะพานางเข้าไป ภายในจวนมีเรือนเจ้านาย ข้ารับใช้อย่างหลังเล็กเท่านั้น ไม่ได้มีพื้นที่มากมายอย่างตระกูลอื่น แต่หลี่อี้เหยากลับรู้สึกว่าเช่นนี้นั้นเพียงพอแล้วสำหรับนาง ท่านพ่อคงคิดไว้เผื่อนางในอนาคต อย่างไรการมีบ้านในเมืองย่อมดีกว่านอกเมือง ไม่เพียงปลอดภัย ยังสัญจรสะดวกสบาย
“แล้วท่านลุง ท่านป้า และพี่สาวของข้าเล่าเจ้าคะ”
“ให้ย้ายออกจากจวนเดิมเจ้า แต่ก็คงไม่ย้าย เช่นนั้นก็ปล่อยพวกมันไปเถอะ อย่างไรบรรพบุรุษเจ้าก็มาที่นี่หมดแล้ว ไม่ต้องนำเงินไปให้พวกเขาอีกแล้ว” เซวียเหลียงเฟยกล่าว หลี่อี้เหยาเดินตรงเข้าจวนไปทันทีก่อนจะเดินไปในทิศทางที่คิดว่าบรรพบุรุษตระกูลหลี่ของนางอยู่ ห้องในโถงนี้สะอาดบ่งบอกถึงการดูแลอย่างดี หลี่อี้เหยาน้ำตาคลอ เป็นท่านพ่อท่านแม่ที่ดีต่อนางเสมอ “เจ้ายังไม่ได้ยาซุ่ยเฉียนจากข้านี่ เอาไปสิ” เซวียเหลียงเฟยที่เดินตามมากล่าวก่อนจะมอบถุงเงินให้กับหลี่อี้เหยา ตัวเขามีเงินไม่น้อย และแต่ละปีก็คงไม่ได้ใช้อะไรมากมาย แต่นางไม่เหมือนกัน สตรีมักใช้สอยซื้อของเพื่อเข้าสังคมในบางครั้ง นางจำจะต้องมีเงินให้มากหน่อย หลี่อี้เหยามองถุงเงินสีแดง
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ชาย” หลี่อี้เหยายิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะโค้งคำนับตามมารยาท เซวียเหลียงเฟยไม่รู้จะปฏิบัติตัวอย่างไรกับนางดี ไม่รู้จะยินดีที่นางเรียกว่าพี่ชายดีหรือไม่ แต่เอาเถอะ ในเมื่อนางเป็นน้องก็คิดเสียว่าเป็นน้องสาวคนหนึ่งที่ไม่ต้องระแวดระวังเช่นในอดีตก็แล้วกัน
หลี่อี้เหยาใช้ชีวิตภายในจวนหลังจากที่ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่อยู่ได้อย่างดีเยี่ยม ท่านแม่มักสอนนางเกี่ยวกับการดูแลจวนอยู่แล้ว เรื่องเช่นนี้หลี่อี้เหยาทำได้อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง อีกอย่างภายในเรือนก็ไม่ได้มีคนมากมาย แต่ละคนต่างรู้หน้าที่กันทั้งนั้น เซวียเหลียงเฟยก็มักจะใช้เวลาออกไปข้างนอก เพื่อไปที่ค่ายทหารของเขาที่นอกเมืองในทุกวัน และก็กลับมาทานอาหารเย็นร่วมกับนาง เป็นความเรียบง่ายที่ไม่มีเรื่องไม่ดีอันใด
“คุณหนูขอรับ มีจดหมายจากตระกูลมู่มาขอรับ” ข้ารับใช้นำจดหมายมาให้หลี่อี้เหยา นางคลี่จดหมายดูก่อนจะถอนหายใจ จวนตระกูลมู่มีงานวันเกิดของขุนนางตระกูลมู่ แม้ตระกูลมู่จะไม่ได้มีตำแหน่งในราชการที่สูงนัก แต่ก็นับว่าทำงานมาค่อนชีวิต บ้านตระกูลมู่เองก็มีขุนนางในราชสำนักมากถึงสี่คน ตระกูลเซวียจะไม่ไปก็ไม่ได้ หลี่อี้เหยาก็เคยไปงานครั้งนี้ สร้างเรื่องสร้างราวเสียวุ่นวายจนตระกูลเซวียกับตระกูลมู่แทบจะมองหน้ากันไม่ติด
“เจ้าทำหน้าแปลกประหลาดเช่นนั้นมีอะไรหรือ” เซวียเหลียงเฟยกล่าว เขามาทานอาหารที่เรือนหลังน้อยของหลี่อี้เหยาในแทบทุกวัน แต่คราวนี้เขามา แต่กลับเห็นนางเหม่อลอยเอาแต่มองจดหมายจนไม่รู้ว่าเขานั้นได้มาถึงแล้ว หลี่อี้เหยาที่หลุดจากภวังค์ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
“พี่ชายมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ”
“เพิ่งมาถึง เจ้าเหม่อลอยอะไรกัน”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่ตระกูลมู่ส่งจดหมายเชิญมาให้ แต่คราวนี้ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ ข้าเลยไม่แน่ใจว่าควรปฏิเสธดีหรือไม่” หลี่อี้เหยากล่าว เพราะช่วงเวลาในตอนนั้นท่านพ่อ ท่านแม่ไม่ได้ไปงานเลี้ยงเพราะไปต่างเมือง หลี่อี้เหยาถึงกล้าสร้างความวุ่นวายในจวนตระกูลมู่เช่นนั้น คราวนี้นางไม่ไปก็เห็นจะไม่ได้ แม้จะรู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ยังกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก นางมักจดจำฝังใจกับเรื่องที่ผ่านมา สิ่งที่นางทำให้ท่านพ่อ ท่านแม่ต้องลำบากใจเสมอ
“แล้วเหตุใดถึงจะไม่ไป ข้าก็อยู่ที่นี่ด้วย ไปสิ” เซวียเหลียงเฟยกล่าว หลี่อี้เหยาคงกลัวจะถูกคนอื่นรังแก เหยียดหยาม นางคงไม่กล้าเป็นตัวแทนของตระกูลเซวียไปตระกูลมู่ แต่อย่างไรก็มีเขาอยู่ ใครจะกล้ารังแกนางได้กัน
“เจ้าค่ะ แล้วพี่ชายหิวแล้วหรือยังเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปเร่งคนครัวให้"
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเพียงแวะมาหาเจ้าก่อน เดี๋ยวจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาใหม่” เซวียเหลียงเฟยกล่าวก่อนจะเดินออกไป หลี่อี้เหยาได้แต่ฉงนใจว่าแล้วเหตุใดไม่ไปอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนค่อยมาหานาง แต่กลับมาหานางก่อน แม้จะสับสนเล็กน้อย
“อาจู ไปบอกคนครัวให้ทำอาหารให้เสร็จไวกว่านี้หน่อย คุณชายกลับมาแล้ว” หลี่อี้เหยาสั่งอาจูก่อนจะตอบรับจดหมายของจวนตระกูลมู่ ในอดีตนางสวมใส่สีม่วงราคาแพงงุ่มง่าม ตั้งใจจะใส่ไปเยาะเย้ยพี่สาวโดยเฉพาะ ในตอนนั้นนางและหลี่อีอีได้พบกันก่อนหน้าในงานวันซุนเจี๋ยแล้ว แต่ครั้งนี้ต่างกันเพราะนางไม่ได้พบหน้าหลี่อีอี ตั้งใจว่าเจอนางครั้งนี้ก็จะทำดีกับนางให้มากหน่อย วันหน้านางมีโอกาสวาสนาได้เป็นถึงพระสนมเอกของฮ่องเต้อย่างองค์ชายแปด อย่างไรนางก็นับว่าเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ชีวิตจะได้แอบอิงอาศัยบารมีพี่สาวอยู่อย่างสุขสบายเสียบ้าง