ตอนที่ 1 ถ่านไฟเก่ามันร้อน
ทันทีที่วางสายจากชายคนรัก หญิงสาวที่ยังคงอยู่ในอาการอื้ออึ้ง สับสน กับประโยคถ้อยคำคล้ายไม่ยี่หระ ใยดีต่อการแต่งงาน
ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นมันขึ้นมา...แต่ทำไมเขาทำเหมือนกับว่าเธอไปบังคับให้เขามาแต่งานด้วยเสียอย่างนั้น
ถ้อยคำรุนแรงที่เขาใช้ ด้วยแรงอารมณ์บางอย่าง เสมือนหมุดเล่มใหญ่ ตอกตรึงให้หล่อนยิ่งเจ็บปวด กับคำว่า ถ้ามันยุ่งยากมากนัก งั้นก็ไม่ต้องแต่ง ล้มเลิกไปเลยแล้วกัน ดังก้องอยู่ในหู ราวกับเปิดเทปกรอฟังใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทำไมเขาถึงได้พูดคำนั้นออกมาได้อย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่เธอเพียงแค่ถาม ไม่ได้คิดกวนใจ อะไรเขาเลยสักนิด
หล่อนคิดด้วยความสับสน หรือว่าที่ผ่านมา...เขาไม่เคยรักเธอเลย...แต่ไม่รัก ทำไมต้องมาขอเธอแต่งงานแบบนั้นด้วยเล่า หญิงสาวเฝ้าเอาแต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ ด้วยความคับข้องใจ
หล่อนเคยได้ยินมาว่า หากผู้ชายที่เราคบ ไม่จริงใจ และไม่จริงจังกับเรา จะไม่มีวันอยากสร้างอนาคต จนขอเธอแต่งงานด้วยแน่ ๆ เพราะที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าเธอ ไม่เคยสงสัยหรือข้องใจในความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ
เขาที่ไม่เคยบอกรัก ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่ ข้อความที่ส่งหาในแต่ละวันล้วนแล้วแต่เป็นเธอที่เริ่มมันก่อนทั้งสิ้น ไหนจะคำบอกรัก ที่เธอมักเป็นฝ่ายบอก และคาดหวังรอคอยที่จะได้ยินคำนั้นตอบกลับ แต่ก็ไม่รู้ว่าคงจะไม่มีวันได้ยินคำนั้น เพราะตั้งแต่ได้คบหา ดูใจกันมาตลอดหนึ่งปี เธอไม่เคยได้ยินคำบอกรัก คำหวาน ที่บอกคิดถึง หรือบอกให้เธอฝันดีก่อนนอนเลยสักครั้ง
แม้จะตั้งคำถามต่อความเย็นชา และไม่ใส่ใจของเขา แต่ในหลาย ๆ ครั้งที่เขาคอยดูแล ถามไถ่ ห่วงใย และยังมีความอาทรให้กัน ไม่เคยทำร้ายจิตใจหนักให้เธอต้องเก็บมาน้อยใจ ความเคลือบแคลง สงสัยในความรักของเขาเธอจึงค่อย ๆ มลายหายไป พร้อมกับความคิดที่ว่าเขาไม่ใช่คนหวาน ที่ต้องมาคอยดูแลเอาอกเอาใจเธอ
หญิงสาวพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ความน้อยใจนั่นไว้ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแต่งงานแล้ว เธอที่ต้องยุ่งตระเตรียมทุกอย่าง ทั้งไปพูดคุยกับออแกไนซ์จัดงาน ซักซ้อมพิธีการต่าง ไหนจะต้องไปรับแหวนด้วยกันอีก งานแต่งที่ถูกเนรมิตภายในเดือนครึ่ง ล้วนแล้วแต่เป็นเธอที่เป็นฝ่ายจัดการเองทั้งหมด
มันพาลให้เธอแอบคิดสงสัยว่า ทำไมเธอถึงรู้สึกว่า งานแต่งงานนี้เขาไม่ได้ยินดี ที่จะอยากแต่งงานเลยสักนิด….
หยดน้ำตาไหลรินอาบแก้ม พยายามปลอบตัวเองว่าเขาอาจจะยุ่ง ช่วงนี้ใกล้งานแต่งแล้ว เขาคงอยากรีบเคลียร์งาน
หล่อนพยายามคิดในแง่ดี ก่อนจะปาดน้ำตาทิ้งแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เดินกลับไปหาเพื่อนสนิททั้งสองที่ต่างหันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่คิดซักอะไร นอกจากชื่นชมในความงามของเพื่อนสนิทเท่านั้น
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าพี่ดูซีเรียสจัง” เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นสีหน้าเครียดขรึมของอีกฝ่าย
“งานมีปัญหาเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่จะสั่งอยากอื่นมาทานอีกไหม ที่นี่เค้กอร่อยมากเลยนะ” อธิษฐ์ตอบปัด พร้อมกับหันไปหยิบเมนูที่วางอยู่บนโต๊ะยื่นให้หญิงสาวไปรับมาดูด้วยความสนใจ
“ดีเหมือนกัน งั้นลองสั่งอะไรมาทานแล้วกันนะคะ ค่อยสั่งเค้กทีหลัง...แต่ว่า...”
“หึหึ อยากทานอย่างอื่นมากกว่าใช่ไหม เอาสิสั่งพวกยำวุ้นเส้นมาก็ได้ แล้วเดี๋ยวเราค่อยออกไปหาอะไรอย่างอื่นทานดีไหม”
“งื้อ แน่ใจนะคะว่าจะไปทานอย่างอื่นต่อ” หล่อนหรี่ตา มองอย่างรู้เท่าทัน เพราะสมัยที่คบหากันนั้น บางทีเธอก็โดนเขาหลอกล่อด้วยวิธีและคำพูดคล้ายแบบนี้ แต่ทานจนอิ่ม เช็คบิล ก็ไม่ได้ไปหาร้านอะไรทานเพิ่มอย่างที่คิด
“งื้อ...พี่อธิษฐ์ ทำไมต้องหัวเราะเป้ยแบบนี้ด้วยละคะ”
“เปล่าหรอก...พี่แค่รู้สึกว่าเรายังเหมือนเดิมเลยนะ”
“เป้ยก็ยังเป็นเป้ยคนเดิมนี่ล่ะค่ะ” เธอตอบรับเขาด้วยรอยยิ้ม สายตาสบประสานกันชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายหลบสายตาเธอ หันไปยกมือเรียกพนักงานให้มารับออเดอร์จากเขาแทน
บรรยากาศภายในร้านอาหารชื่อดังที่มีบรรยากาศและการตกแต่งให้อารมณ์คล้ายกับคาเฟ มีเมนูให้บริการหลากหลาย ทั้งเครื่องดื่ม เบเกอรี่ และอาหาร
อรรณ์ญาริญ และเมษ์ลาลินพาว่าที่เจ้าสาวมานั่งหาของอร่อยทาน เพื่อหวังบรรเทาความรู้สึกเสียใจ น้อยใจ ที่มีต่อว่าที่เจ้าบ่าวให้ดูเบาบางลงมาบ้าง
ทว่า ด้วยความนิสัยปากไว ช่างถามของอรรณ์ญาริญ กลับทำให้ นิษฐ์รัณดาที่กำลังเพลินอยู่กับรสชาติของขนมที่สั่งมาหลากหลาย ถึงกับชะงักไปทันที
“นี่ตั้งแต่บ่าย พี่กลางไม่โทร หรือส่งข้อความมาหาเธอเลยเหรอณิ?”
“อืม...เขาก็แบบนี้แหละ ปกติแล้วระหว่างวันพี่กลางเขาไม่ค่อยโทร หรือส่งข้อความอะไรมาหรอก”
“แปลกดีนะ ปกติแล้วเมื่อก่อนกับฉันที่เป็นน้องนี่ส่งข้อความมาบ่นว่าได้ทุกวัน คงโตขึ้นด้วยละมั่ง งานคงยุ่งด้วยแหละ”
“แต่ว่าแกเป็นน้อง ณิมันเป็นภรรยานะ จะเหมือนกันได้ไง” เมษ์ลาลินเถียงตามที่สงสัย ขณะที่นิษฐ์รัณดานั้นก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาเพื่อนสนิททั้งสอง
“ปกติแล้ว พี่กลางไม่ค่อยส่งข้อความหาฉันหรอก ตั้งแต่คบกันแล้วล่ะ เวลาฉันพิมพ์อะไรไป เขาก็จะแค่อ่านเฉย ๆ จนเราชินล่ะ” บอกเล่าด้วยสีหน้าและท่าทีเรียบง่าย ทว่า แววตากลับฉายร่องรอยบางอย่างที่ทำให้เพื่อนทั้งสองถึงกับเหลือบสายตามองหน้ากันเล็กน้อย
“งั้นเหรอ...”อรรณ์ญาริญผู้อยู่ในฐานะ น้องสาวสามีถึงกับวางสีหน้าตัวเองไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก รีบเอ่ยแก้ตัวแทนพี่ชายตนเองทันที
“พี่กลางก็แบบนี้แหละ เขางานเยอะเลยไม่ค่อยอะไรเท่าไหร่น่ะ แต่พี่กลางเขาก็คงรักแกมากนะณิ”
“อืม...แกคิดว่างั้นเหรอ”
“คิดว่างั้นสิ งั้นพี่กลางจะแต่งกับทำไม”อรรณ์ญาริญออกตัวแทนพี่ชายตนเอง แม้ลึก ๆ แล้วจะแอบหวั่นไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนเองรองรับแทนสักเท่าไหร่นัก
บรรยากาศในช่วงค่ำของร้านอาหาร กึ่งผับ ที่มีดนตรีสดยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูครื้นเครง สนุกสนาน กับกลุ่มคนที่ล้วนแต่เป็นคนในวัยทำงานนัดมาสังสรรค์ หาความผ่อนคลายหลังเลิกงาน แล้วยังเป็นสถานที่ประจำของเขา อธิษฐ์ อัศวพัฒน์ นายแพทย์หนุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านออร์โธปิดิกส์ แต่หันมาเปิดบริษัท จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับตัวยา และเครื่องมือทางการแพทย์ เดินตรงเข้ามานั่งในโต๊ะที่ค่อนข้างหลบมุม และไกลสายตากลุ่มคนพอควร ด้วยปกตินิสัยไม่ได้ชอบเสียงดัง และความวุ่นวายเท่าไหร่นัก แต่เพราะเพื่อนสนิทในกลุ่มที่คบหากันมานานตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม กลับเป็นหุ้นส่วนของร้านนี้ บ่อยครั้งจุดนัดหมายเพื่อสังสรรค์ พูดคุยกันในเรื่องทั่วไป จึงต้องมาลงเอยที่ร้านนี้
“ไอ้ขุนนี่แม่งสมกับเป็นหุ้นส่วนใหญ่ เดินทักทายแม่งทุกโต๊ะเลยว่ะ” ปกปกรณ์ นายแพทย์หนุ่มที่มีฐานะเป็นรุ่นพี่ของทั้งสองเอ่ยขึ้น ขณะสายตาเหลือบมองไปยังแผ่นหลังของเพื่อนรุ่นน้องคนสนิท ที่กำลังสาละวนอยู่กับการทักทายบรรดาแขกเหรื่อในร้าน ราวกับรู้จักสนิทสนมกันมานาน
“หึ แม่งทำตัวสาธารณะฉิบหาย ” ภีม หรือ ระพีทัศน์ ทายาทนักการเมืองชื่อดัง กระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย พลางชำเลืองสายตามองตามอีกฝ่ายที่มีอายุมากกว่าสองปีก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ จังหวะนั้นที่ใครบางคนเดินสีหน้าตึงเครียดเข้ามานั่งร่วมโต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่ก่อน
เรียกสายตาของคนทั้งคู่ให้หันกลับมามองด้วยความแปลกใจ ระคนสงสัยในเวลาเดียวกัน
“หึ ทำหน้าเป็นตีนมีเรื่องแน่นอน” ระพีทัศน์คาดเดาตามที่รู้จัก และสนิทสนมมานาน พลางกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“เป็นไรวะ หน้าเครียด ๆ” นายแพทย์รุ่นพี่ถามด้วยความสงสัย ขณะที่อธิษฐ์กลับถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“เครียดนิดหน่อย ว่าแต่มึงเถอะหายบ้าแล้วเหรอวะ” ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คิ้วหนายังขมวดมุ่นขณะยกแก้วเหล้าที่อีกฝ่ายยื่นให้ขึ้นดื่ม ค่อยหันมาหาลูกชายนักการเมืองคนดังที่เพิ่งมีข่าวคาวเลิกรากับนางเอกชื่อดังไปไม่นาน
“ดีก็ผีแล้วสิวะ หึ” ระพีทัศน์ที่ยังคงอยู่ในอาการเสียหลัก ยิ้มหยันให้กับชีวิตตนเอง ก่อนจะยกแก้ววิสกี้ราคาแพงกระดกรวดเดียวจนหมด
“แล้วมึงล่ะเซ็งเรื่องอะไร” นายแพทย์ปกปกรณ์ รุ่นพี่ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษา จนกระทั่งวิทยาลัยแพทย์ หันมาถามด้วยความสนใจอยากรู้ ขณะที่เขานั้นกลับไม่พูดอะไรได้แต่ส่ายหัวไปมา ก่อนจะหันไปหยิบแก้วเหล้าที่ใครอีกคนส่งให้มาดื่ม ดับอารมณ์ว้าวุ่นในใจที่กำลังพลุกพล่าน
จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งค่อนคืน ระพีทัศน์ซึ่งแยกตัวออกไปสังสรรค์กับเพื่อนอีกกลุ่ม ปกปกรณ์ ที่มีงานในช่วงเช้าจึงขอตัวกลับไปก่อนได้ครู่ใหญ่ ทั้งโต๊ะจึงเหลือ แค่เขากับ รวิชญ์ที่ตามมาสมทบคนสุดท้าย ยังคงนั่งดื่มอยู่ด้วยกัน ส่วนรชตะ หรือขุน ปลีกตัวไปนั่งกับคนรู้จักที่ไม่ได้พบกันมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว
“วันนี้มึงเป็นอะไรอีกวะ ไม่พูดไม่จา...หรือว่าเรื่องที่แม่มึงบอกให้แต่งงาน”
“อืม เรื่องนั้นนั่นแหละ” ตอบรับเสียงเครียด ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มจนอีกฝ่ายถึงกับมุ่นคิ้ว ถามด้วยความแปลกใจ
“ทำไมวะ กูเห็นก่อนหน้านี้มึงก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร แถมยังพาเขาไปจดทะเบียน กูก็ไม่เห็นว่ามึงจะมานั่งทำหน้าแบบนี้” ถามด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายเคยมาเล่าในเชิงปรับทุกข์ ว่ามารดาต้องการให้อธิษฐ์แต่งงานกับผู้หญิงที่โตมาด้วยกันแต่เด็ก แล้วยังเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิท โดยเพื่อนสนิททุกคน หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง ยังไม่เคยได้เจอหน้าภรรยาคนนี้ของเพื่อนเลยสักครั้ง แม้กระทั่งงานแต่งที่เห็นว่าใกล้จะเกิดขึ้นในไม่ช้า ก็ไม่คิดที่จะแจกการ์ด หรือเชิญไปร่วมงาน เพียงแต่เปรย และบอกเล่าให้ฟังเท่านั้น อธิษฐ์นิ่งเงียบไปพักใหญ่ สีหน้าครุ่นคิดหนัก ก่อนจะตอบประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับนิ่งงันไปทันที
“กูเจอเป้ยวันนี้ กูุอยากกลับไปคบกับเขาว่ะ!!”