หลังจากส่งขนมเสร็จ น้ำตาลแวะซื้อของก่อนกลับบ้านเพราะว่าวันนี้ของขาดเยอะ พวกวัตถุดิบทำขนม หรือแม้กระทั่งนมผงสำหรับลูกเธอก็ต้องซื้อไปตุนไว้ ลูกชายของเธอดื่มนมจากเต้าจนถึงเก้าเดือน ก่อนที่น้ำตาลจะเปลี่ยนให้ดื่มนมผงสำหรับเด็ก เพราะว่าเขาเริ่มโตแล้ว แล้วอีกอย่างมันก็สะดวกต่อการทำงาน
"แม่มาแล้ว คุณแม่มาแล้วครับ" เสียงคุณยายวารุณีบอกหลานรักที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขน
"แอ้ แอ้" เสียงข้าวตังเรียกหาแม่ และปีนป่ายออกจากอ้อมแขนคุณยายทันที ที่มองเห็นน้ำตาล คงคิดถึงแม่แหละ เพราะเธอออกไปส่งขนมตั้งครึ่งวัน
"แอ้ แอ้" เด็กชายข้าวตัง ตัวอ้วนจ้ำม่ำ ที่พูดยังไม่ชัดส่งเสียงเรียกแม่เมื่อเห็นน้ำตาลเดินเข้าบ้านมา ทำให้คนเป็นแม่ดีอกดีใจ รีบวางของที่หิ้วอยู่ในมือและเดินไปหาลูกชายทันที
"คิดถึงแม่หรือครับคนเก่ง วันนี้ดื้อกับคุณยายไหมครับ" หอมฟอดใหญ่เข้าที่แก้มอวบ ๆ และเอ่ยถามลูกชายที่ยังไม่รู้ประสา แต่น่ารักและน่าฟัดขึ้นทุกวัน
"คิดถึงแม่แหละ ชะเง้อหาทั้งวัน" คุณยายวารุณีบอกลูกสาวก่อนจะเดินไปดูว่าน้ำตาลซื้ออะไรมาบ้าง
"ซื้อของมาเยอะเลย" คุณยายมองข้าวของที่กองเต็มอยู่เต็มโต๊ะ นอกจากจะเป็นพวกนมผงสำหรับเด็ก ยังมีพวกผักผลไม้ และอาหารสดอีกมากมาย แสดงว่าได้มาหลายตังค์
"ตาลได้ค่าขนมมาเยอะค่ะ เลยซื้อของมาตุนไว้" รายได้ขายขนมเธอดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าขายได้เยอะต้องซื้อของมาตุนไว้ ก่อนที่มันจะขึ้นราคา
"ข้าวตังดื่มนมยังครับคนเก่ง" หันมาหาลูกชายและถามคนตัวเล็กที่ยังไม่รู้ประสา แต่คุณยายตอบแทนว่า
"แม่กำลังจะไปชง แต่เห็นตาลมาพอดี"
"อ้อเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวตาลจัดการเองค่ะ" บอกพลางอุ้มลูกชายเข้าห้องครัวไปชงนม ไม่นานก็พามานั่งหน้าทีวี ให้เจ้าตัวเล็กนอนตัก และดูข่าวไปด้วย
"งานที่บ้านหนูอรคนเยอะไหมล่ะตาล" คุณแม่ถามเธอ
"ก็เยอะนะคะ เด็ก ๆ เต็มเลย" น้ำเสียงติดเศร้านิด ๆ เพราะเธอเห็นผู้ชายคนนั้นที่นั่นวันนี้
"เสียดายนะ น่าจะพาข้าวตังไปด้วย จริง ๆ แม่น่าจะปิดร้าน แล้วให้น้ำตาลพาไปทิ้งไว้ที่นั่นเลย"
คุณยายวารุณีสงสารหลาน วัน ๆ พวกเธอทำแต่งาน ข้าวตังไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวเหมือนเด็กคนอื่น ๆ น้ำตาลก็สงสารลูกเหมือนกัน แต่เงินมันก็จำเป็นต้องหาอยู่ทุกวัน
"เดี๋ยวตาลพาลูกไปเล่นบ้านบอลในห้างก็ได้ค่ะ" เธอบอกกับคุณแม่พร้อมมองเจ้าตัวอ้วนอย่างสงสาร ถึงแม้ว่าข้าวตังจะเกิดจากความผิดพลาดในครั้งนั้น แต่เด็กคนนี้ไม่มีความผิดที่เกิดมา
แม่ลูกคุยกันดูทีวีด้วยกันจนถึงสองทุ่ม ก่อนที่น้ำตาลจะอุ้มลูกเข้าห้องนอน เธออาบน้ำให้ตัวเล็กและพาเข้านอน แต่พอหัวถึงหมอนเจ้าตัวเล็กกลับไม่ยอมหลับ
จะเล่นของเล่นบ้างหละ จะให้แม่เล่านิทานให้ฟังบ้างหละ มันเป็นกิจกรรมที่แม่ลูก ต้องทำด้วยกันทุกคืนจนเขาจำได้ ถ้าวันไหนไม่ได้ฟัง เจ้าตัวร้ายแก้มยุ้ย ๆ จะโยเยทันที ถึงแม้ว่าจะยังพูดไม่ได้ แต่เด็กชายวัยอายุสิบสี่เดือนอย่างข้าวตัง ก็รู้ความไปเสียหมด รู้เยอะรู้มากจนคุณแม่เริ่มปวดหัว เพราะยิ่งโตยิ่งรู้เยอะ เริ่มงอแงเวลาที่ไม่ได้ดั่งใจ
บางทีลูกชายของเธอก็ตื่นขึ้นมาเล่นตอนกลางคืน ทำให้คุณแม่ไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว พอตอนเช้าเธอก็ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อทำขนม ชีวิตช่วงนี้ของน้ำตาลถือว่าเปลี่ยนแปลงแบบสุด ๆ เธอจึงดูโทรมอย่างที่เห็น
"แอ้ แอ้" เด็กชายข้าวตังชี้ไปที่หนังสือนิทานเล่มโปรด ที่ต้องได้ฟังทุกคืน น้ำตาลหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาแล้วถามว่า
"จะฟังเล่มนี้ใช่ไหมครับ" คนตัวเล็กยิ้มร่าจนตาหยี เหมือนใครกันนะ เห็นลูกชายยิ้มทีไร เธอคิดถึงผู้ชายคนนั้นทุกที อย่าไปคิดถึงมัน น้ำตาลพยายามบอกตัวเอง และหันมาพูดกับลูกชายว่า
"เดี๋ยวแม่อ่านนิทานให้ฟังนะครับ" น้ำตาลบอกลูกชาย ก่อนจะนอนเคียงข้างกัน ยกศีรษะเล็กให้หนุนแขนของเธอ และค่อย ๆ เปิดหนังสือนิทานไปทีละหน้า เพราะมีรูปการ์ตูนที่คนตัวเล็ก จำได้ทุกตัว
"รุ่งอรุณ ณ ทุ่งสาละวัน เหล่าสัตว์ทั้งหลายต่างมาชุมนุม..."
น้ำตาลเริ่มอ่านนิทานให้ลูกฟังไปเรื่อย ๆ และไม่ลืมที่จะทำเสียงแอคโค่เพื่อความสมจริง ทำให้เจ้าตัวเล็กนอนฟังนิทานอย่างตื่นเต้น เพราะการทำเสียงแอคโค่มันช่วยเสริมจินตนาการให้ลูกน้อยเวลารับฟัง คุณแม่คนสวยเล่านิทานให้ลูกฟังต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหันมาอีกทีลูกน้อยของเธอก็นอนหลับไปเสียแล้ว ..
"หลับไวจัง หมดฤทธิ์ซะแล้ว" น้ำตาลพูดกับลูกน้อยที่กำลังหลับอย่างเอ็นดู ก่อนจะเอามือลูบศีรษะ ที่มีผมหยักศกขึ้นบาง ๆ อย่างแสนรัก ลูกชายของเธอถอดผู้ชายคนนั้นมาเสียหมด ตอนนั้นเธอคงจะรักเขามาก แต่ช่างมันเถอะ มันผ่านไปแล้ว น้ำตาลบอกตัวเองทุกครั้ง ที่คิดถึงเรื่องผิดพลาดของตัวเอง
04.00 นาฬิกา
"น้ำตาลตื่นได้แล้วลูก "เสียงของคุณยายวารุณีเดินมาเรียกเธอ ทำให้หญิงสาวตื่นงัวเงียไปล้างหน้า แต่ยังไม่ลืมที่จะก้มลงหอมแก้มลูกชาย ใบหน้าไร้เดียงสา ที่มีเค้าหล่อแม้กระทั่งตอนหลับ
น้ำตาลเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน มัดผมอย่างลวก ๆ ลงมาช่วยคุณแม่ทำขนม วันนี้เธอจะทำขนมเอแคลร์และชิฟฟ่อน เพราะว่ามีคนมาสั่งไปขายที่โรงเรียนมัธยม และต่อด้วยพวกขนมปังหมูหยอง ขนมปังไส้กรอก พิชซ่าถาดเล็ก ๆ เอาไว้วางขายที่หน้าร้าน เวลาคนเดินผ่านไปมาก็แวะซื้อ น้ำตาลทำไว้ไม่เยอะหรอก ทำแค่พอขายวันต่อวัน ในแต่ละวันถ้าไม่ได้ออกไปส่งของ วางขายหน้าบ้านถึงตอนบ่าย ๆ ก็ขายหมดพอดี
หลังจากอบขนมจนถึงเจ็ดโมงเช้าก็ปลุกเจ้าตัวเล็กมาป้อนข้าว ซึ่งมันเป็นเวลาตื่นของลูกน้อยพอดี ทุกวันถ้าหากว่าต้องลงมาทำขนม น้ำตาลจะดึงที่กั้นเตียงเด็กไว้ กลัวว่าลูกจะตื่นก่อนเวลา ถ้าหากเขาซนจนปีนลงเตียงคงบาดเจ็บ น้ำตาลจึงติดตั้ง baby monitor เอาไว้จับเสียงลูกเวลาร้องไห้ หรือว่ามีอะไรผิดปกติ ซึ่งเสียงนั้นจะแจ้งเตือนมาที่มือถือของเธอทันที
หลังจากทำขนมเสร็จ น้ำตาลเดินขึ้นไปข้างบน ก็เห็นเจ้าตัวเล็กนอนเล่นกับพี่สิงโตตัวโปรดอยู่ในเตียงเด็ก วันนี้ตื่นเร็วแฮะ แต่ไม่ร้องไห้ ไม่งอแงเลย รู้ความจริง ๆ ลูกชายของเธอ
"ตื่นแล้วเหรอครับ มา ๆ แม่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นะครับ" อุ้มลูกน้อยออกจากเตียงเด็ก ก่อนจะเปลี่ยนผ้าอ้อมและแต่งตัวให้ลูกใหม่
วันนี้ต้องใส่ชุดหล่อ ๆ เพราะว่าสาว ๆ เด็กนักเรียนมัธยม จะเข้ามาซื้อขนมเยอะ และชอบมาจับแก้มข้าวตังเพราะหนูน้อยรูปหล่อตั้งแต่เล็กแถมยังมีผมหยักศกออกไปทางลูกฝรั่ง ซึ่งมันเป็นที่สงสัยอย่างมาก ว่าพ่อของเด็กเป็นใคร..
เมื่อก่อนนี้จะมีป้าข้างบ้านเทียวมาถามเพราะอยากรู้อยากเห็น แต่น้ำตาลไม่ยอมคุยด้วย พอเทียวมาหลาย ๆ ครั้งแต่ว่าหาข่าวใหม่ไม่ได้ คุณป้าคนนั้นเลยเลิกราไปเอง
แต่ตอนนั้นยอมรับว่าสุขภาพจิตเธอเสียมาก เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านเกิดของเธอ พออุ้มท้องโดยที่ไม่ได้แต่งงานก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเข้าหูอยู่เรื่อย ๆ แต่เธอโชคดี โชคดีที่คุณแม่เข้าใจ เพราะว่าตอนนั้นน้ำตาลก็อายุ 26 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าบรรลุนิติภาวะ มีงานมีการทำแแล้ว ไม่ใช่เด็กใจแตกแต่อย่างใด เรื่องความรักคนเรามันผิดพลาดกันได้ ในเมื่อคุณแม่ยอมรับ น้ำตาลก็สู้ต่อไป
"อ้ำ ๆ" เสียงคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวกำลังป้อนข้าวเจ้าตัวเล็กอยู่ในครัว วันนี้เธอทำซุปน่องไก่ใส่แครอทกับหัวไชเท้าให้ลูก เพราะมันจะได้ทั้งวิตามินและโปรตีน แล้วยังมีผัดฟักทองใส่ไข่อาหารโปรดของเจ้าตัวเล็กอีกด้วย
"อ้ำ ๆ อีกคำนึง อีกคำนึงครับลูก ลูกแม่เก่งที่สุดเลย" พอกินหมดจานเด็กชายข้าวตังก็ปรบมือแปะ ๆ ให้กับตัวเอง ซึ่งมันเป็นภาพที่น่ารักมากเลย ลูกชายของเธอเลี้ยงง่าย แถมยังเป็นเด็กอารมณ์ดี นี่แหละคือกำลังใจของน้ำตาล