สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝันแต่เป็นเรื่องจริง
เรื่องจริงที่ว่าจักรทัศน์แค่คนเดียวที่เห็นเธอ
“เดี๋ยว! ตาลไม่ใช่โจรนะคะ ทุกคนอย่าเข้าใจผิด...” อัยยาลิณณ์คุกเข่ายกมือเหนือ แต่ทุกคนวิ่งไปมาราวกับเธอเป็นอากาศธาตุ ก่อนลุกขึ้นยืนแข้งขาสั่นเทา หันซ้ายหันขวาท่ามกลางความอลหม่านรอบตัว
นี่เธอตายแล้วงั้นหรือ
จักรทัศน์ไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เห็นอย่างไรเลยได้แต่ยืนขาแข็งหน้าเหวอ ส่วนพี่สาวก็เอาแต่คาดคั้นไม่หยุด
“เฮ้! เจย์…เจคอป” น้องชายกระพริบตาถี่รัว ๆ หลังเจนีนดีดนิ้วเรียกสติ
“ห๊า…อะ อะไรนะ เมื่อกี้ยูว่าอะไรนะ”
“เห้อ! ยูโอเคมั้ยเนี่ย คนที่โรง’บาลบอกว่ายูขาดงานไปสองวันนะ นิติก็ไม่เห็นยูออกจากห้อง ไอมาเรียกยูตั้งนานก็เงียบแล้วนี่มาก็บอกมีคนบุกรุกอีก เกิดอะไรขึ้นกับยูวะเนี่ย” เพราะงั้นถึงได้ยกขโยงขึ้นมา
แล้วจักรทัศน์ควรตกใจอะไรก่อนระหว่างสลบไปสองวันกับผู้บุกรุกที่ไม่มีใครมองเห็น
“ยูมองอะไรตรงกลางห้องน่ะ มองตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ” เจนีนหันตามแต่ไม่มีอะไรนอกจากโซฟาโล่ง ๆ
“นี่…ทุก ทุก ทุกคนมองไม่เห็นจริง ๆ เหรอ” แพทย์หนุ่มเสียงสั่นขาดช่วง ชี้นิ้วย้ำ ๆ ไม่หยุด
“ฉิบหายล่ะหรือกูเห็นผีวะ!”
“เห้ย! ยูเพ้ออะไรน่ะเจย์ไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย ยูภาพหลอนแน่ ๆ” เจนีนออกคำสั่ง แต่จักรทัศน์ปฏิเสธเสียงแข็งเพราะคิดไปว่าตัวเองปกติดี
แต่แล้ว…
กร๊อบ!
“โอ๊ะ! โอ๊ย เจ็บคอ มันเสียงดังกรึ๊บเลย โอ๊ย! คอของไอ คอของไอหมุนกลับมาไม่ได้ อ๊ากกก” น่าจะเป็นอาการบาดเจ็บจากการตกบันไดแล้วพอหันเร็ว ๆ คอก็เคล็ดจนหันกลับมาไม่ได้
พ่อรูปหล่อคอเอียง
“เรียกรถพยาบาลให้ทีค่ะ ยูอย่าฝืนหันกลับมานะ เดี๋ยวไอจะพายูไปที่ลิฟต์” จักรทัศน์ทำตามแต่โดยดี ไม่นานเกินรอรถพยาบาลก็มาพาตัวหมอที่ผันตัวมาเป็นผู้ป่วยไป
ผลจากการเอ็กซ์เรย์และทำ CT สแกนสมองก็พบว่ากระดูกคอมีรอยร้าวเล็กน้อย แต่ร่างกายสามารถรักษาตัวได้เอง ส่วนกล้ามเนื้อและเอ็นอักเสบต้องพักรักษาตัวประมาณสัก 3 – 4 วัน นอกจากนี้ยังต้องให้แพทย์ด้านประสาทวิทยาวินิจฉัยอาการเห็นภาพหลอน
“ปกติมารับเวรกับตรวจคนไข้ งั้นถึงเสียว่ามาพักร้อนนะหมอเจย์ ขนาดใส่เฝือกคอยังหล่ออยู่เลยนะเนี่ย” อาจารย์หมอผู้เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้พูดติดตลก คนโดนชมยืดอกรับเต็มที่ ส่วนอีกคนก็เบะปากด้วยหมั่นไส้
“ไหนเล่าหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น” เจนีนถามหลังได้อยู่ตามลำพัง
“ก็อย่างที่ไอบอกไปไงก็แค่ตกบันไดแล้วเบลอ”
“เจย์จริงจังหน่อยสิ ถ้ายูเป็นอะไรไป ไอจะบอกแด๊ดกับมี้ยังไง แถมจะโดนลุงเอื้อมด่าด้วยสิว่าอยู่ใกล้กันแค่นี้ยังดูแลกันไม่ได้ ยูมันรั้นเหมือนใครวะเนี่ย”
คนเป็นพ่อเป็นแม่ยังไม่บ่นขนาดนี้
“มันไม่มีอะไรมากกว่านั้นไอสร่างเมาแล้วลื่นตกบันไดจริง ๆ จากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกเลยแล้วก็ตื่นมาเจอยูนั่นแหละ”
“แล้วยูกลับมาห้องได้ ใครมาส่ง พอจะจำอะไรได้มั้ย”
“นง!” จักรทัศน์ตอบปฏิเสธด้วยภาษาฝรั่งเศส
“งั้นเดี๋ยวไอไปดูวงจรปิดในห้อง เผื่อมีอะไรหายไปด้วย”
“นง นง นง ไอปิดระบบมันไว้น่ะ ไปดูก็ไม่เจออะไรหรอก” รู้เลยว่าไม่เปิดระบบเพราะอะไร!??
“เจคอป!!! งี้เกิดยูตายห่าไปก็จับตัวคนร้ายไม่ได้น่ะสิ ไอ้เปรตนิ!” เจนีนแค่นเสียงด่าตามสำเนียงท้องถิ่น
“ระบบรักษาความปลอดภัยของโครงการมันดี ไอเลยไม่ห่วงต่างหาก” ปากก็เถียงฉอด ๆ แต่สายตายังหลุกหลิกไปมุมนั้นทีมุมนี้ทีไม่หยุด แฝดพี่เหลือบมองข้ามไหล่แล้วพ่นลมหายใจแรง
“ยูยังเห็นภาพหลอนอยู่สินะ ไอจะให้ยูพักผ่อนนะเจย์ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเองแหละ เห้อ!” จักรทัศน์มองตามร่างบางผิวแทนบ่มแดดแบบนักเซิร์ฟที่พกพาความสูงถึง 1.76 ซม. เดินหายไปหลังประตู
ความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวกลับคืนมาอีกครั้ง แพทย์หนุ่มสูดลมหายใจลึกและผ่อนยาว ๆ หันไปทางหน้าต่างห้องพัก
ผี…หรือสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างกำลังยืนชมเมืองภูเก็ตจากชั้น 12 แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด ๆ เมื่อครู่ก็เดินไปตรงนั้นทีตรงนี้ทีจนน่าเวียนหัว
“ตามมาขนาดนี้ สิงกันเลยดีกว่ามั้ย”
“ฉันไม่ใช่ผีนะหรือว่าใช่ล่ะหว่า” อัยยาลิณณ์เถียงกลับแต่น้ำเสียงเจือความลังเลในช่วงท้าย
“อีกอย่างฉันไม่ได้นั่งรถหรือเดินตามคุณมานะ แต่ฉันโดนดึงให้ตามมาน่ะเหมือนมีพลังอะไรมาดึงดูด…”
“เพ้อเจ้อไปเรื่อยพลังแบบนั้นมีในโลกที่ไหน” จักรทัศน์พูดแทรกเพื่อตัดบทแล้วถามต่อ “แล้วทำไมทุกคนมองไม่เห็นคุณ นอกจากผมล่ะ”
เพราะอีกฝ่ายเคลื่อนไหวเหมือนคนปกติไม่ได้ลอยเหนือพื้นแบบผี
“เรื่องนี้คุณคงต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง เพราะฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน”
“เป็นผีแล้วยังจะกวนประสาทอีก”
“บอกว่าไม่ใช่ผีไงเล่า งั้นเอางี้เพื่อเป็นการพิสูจน์คุณลองโทร.ไปที่แผนกศูนย์วิจัยโรคทางประสาทที่เชียงรายดูสิ แล้วถามว่าฉันกำลังรักษาตัวอยู่หรือเปล่า”
“ทำไมผมต้องทำงั้นล่ะ” จักรทัศน์หรี่เปลือกมองอย่างไม่เชื่อใจ
“จะได้รู้ไงว่าฉันหรือคุณที่หลอนไปเอง” แขกไม่ได้รับเชิญกอดอก เชิดคางขึ้นด้วยความมั่นใจ
“หึ เดี๋ยวรู้กัน”
ถึงจะเคลือบแคลงใจแต่แพทย์หนุ่มก็ไม่รีรอรับคำท้า คำตอบที่ได้รับน่าจะเปลี่ยนมุมมองและความเชื่อที่ว่าไม่มีอะไรที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้
จักรทัศน์ค้างเติ่งไปหลายนาที อัยยาลิณณ์นอนไม่ได้สติบนเตียงผู้ป่วยที่เชียงรายจริง…แล้วที่นั่งกระดิกเท้ากวนประสาทอยู่นี่คือใคร
“ฉันไม่ได้เกิดอุบัติเหตุหรืออะไรนะ แต่เป็นโรคหลับลึกน่ะ อาการกำเริบทีจะหลับไปอย่างต่ำสามวันสามคืนเลย รอบนี้ก็ผ่านมาเกือบสามวันแล้ว” ไม่ผิดคาดพอได้ยินว่าเป็นโรคแปลก ๆ คนเป็นหมอย่อมเกิดความสนใจ
“แล้วถอดจิตย้ายร่างแบบนี้ประจำเหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย นี่เป็นครั้งแรกเลย ฉันก็นึกว่าตัวเองฝันไปน่ะ”
“แล้ว…คุณเอ่อ เริ่มมีภาวะหลับลึกตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฉันชื่อขนมตาลค่ะ ฉันเริ่มมีอาการแบบนี้ตอนขึ้นมัธยมต้น” เธอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“อย่างงั้นเองเหรอ ว่าแต่ชื่อเล่นยาวเกือบเท่าชื่อจริงเลยนะ” จักรทัศน์ยกนิ้วขึ้นมานับเทียบพยางค์ชื่อจริงกับชื่อเล่น “แต่หมอว่ามันก็เก๋ดีนะ ไม่เคยได้ยินคนชื่อขนมต้ม ยกเว้นนักมวยในตำนาน”
“ขนมตาลย่ะ! ฉันชื่อขนมตาล อะไรว้า! ไปไหนมีแต่คนล้อว่าขนมต้มตลอดเลย”
“ช่วยไม่ได้มันพ้องเสียงขนาดนี้ เรากลับเข้าเรื่องดีกว่าแล้วภาวะหลับลึกมันเป็นไงเล่าให้หมอฟังหน่อยซิ” ขนาดตัวเองเป็นคนป่วยพอเจอคนป่วยก็มันก็อดซักอาการไม่ได้อยู่ดี
……………..
‘แองจี้ที่รัก คุณคือภรรยา คุณคือนางฟ้าและคุณคือสตรีที่ผมรัก’ คำจารึกบนป้ายหลุมศพของอังศุมารินอดีตนักธุรกิจสาวข้ามเพศของเจมีไนน์
อังศุมารินจากไปได้สามปีแล้ว แต่เจมีไนน์ไม่เคยถอดแหวนแต่งงานจึงไม่ค่อยมีใครเฉียดเข้าใกล้แต่ถ้ามีมาก็ถูกปฏิเสธไป แม้อดีตภรรยาเคยสั่งเสียให้ตัดใจแล้วเดินหน้าใช้ชีวิตก็ตาม
คำสั่งเสียมีนัยยะว่าเจมีไนน์มีความรักครั้งใหม่ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด ทว่าความรักความผูกพันธ์ที่มีให้กันยาวนานทำให้หัวใจที่มีแต่รักแท้ยากที่จะก้าวต่อไป
กระทั่งเจอกับแพทย์หนุ่มหน้าตาหล่อเหลา
ผู้ที่จะทำให้เจมีไนน์รู้สึกถึงความหมายของชีวิตที่เหลือนับจากนี้
“นายแพทย์จักรทัศน์ ประทานชัยหรือ…เจคอป ประทานชัย…” เขาท่องชื่อนี้จนขึ้นใจ ขณะจัดดอกลิลลี่ใส่แจกันอย่างอารมณ์ดีและนำไปวางประดับหน้ารูปภาพขนาดใหญ่ของอังศุมาริน
ห่างไปกว่า 50 กิโลเมตรจากคฤหาสน์บนเนินเขาจนถึงคอนโดมิเนียมในย่านเศรษฐกิจที่ ๆ ตัวตนของเจมีไนน์กำลังถูกพูดถึงเพราะเหตุการณ์คืนนั้น
“ถ้าจำไม่ผิดเขาตัวสูงแล้วหุ่นดีมากเลยค่ะ แต่เราเห็นหน้าเขาไม่ชัดเพราะใส่หมวกปิดไปครึ่งหน้าเลย แต่เห็นแค่คาง จมูก ปากก็รู้ว่าหล่อมากแน่ ๆ ค่ะคุณเจนีน” นิติบุคคลเล่าไปก็เขินไป แต่ถ้าจะบอกแค่นี้กับเปิดภาพวงจรปิดดูคงไม่ต่างกัน
“อ๋อเหรอคะแล้วไงต่อคะ”
“เสียงเขาเซ็กซี่มากเลยค่ะ พวกหนูฟังแล้วเคลิ้มตามเลย แถมตัวก็หอมมากด้วย หนูล่ะอยากไปซุกซอกคอแล้วหอมฟอดใหญ่ ๆ หลาย ๆ ฟอดเลยค่ะ”
“อ๋อเหรอคะ…! แล้ว อายุประมาณเท่าไหร่ เป็นคนที่ไหน อะไรยังไงจำได้บ้างมั้ยคะ” ไม่มีใครสังเกตุว่าเจนีนกำลังท้าวเอวด้วยท่าทีที่ไม่พอใจอยู่
“อายุน่าจะ…เอ สามสิบห้าค่ะไม่น่าถึงสามสิบแปด” คนหนึ่งว่างี้
“ไม่น่าใช่นะคะ หนูว่าไม่ถึงสามห้าหรอก ยังดูหนุ่ม ๆ อยู่เลย” อีกคนว่างี้
“บ่แม่นเลยครับ ผมว่าน่าจะสามสิบปลาย ๆ แล้ว เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากเลยเด้อครับ” รปภ. ที่ช่วยหิ้วปีกจักรทัศน์ขึ้นห้องขอออกความคิดเห็นบ้าง
ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวสักเท่าไหร่เห็นทีต้องจริงจังแล้ว
“ทุกคนฟังนะคะ คอนโดโครงการนี้มีทั้งความเป็นส่วนตัวและมาตรฐานความปลอดภัยสูงกว่าที่อื่น ๆ แต่…การที่พวกคุณปล่อยให้คนแปลกหน้าขึ้นไปบนห้องได้ง่าย ๆ แล้วบอกว่าจำอะไรไม่ค่อยได้เลยก็น่าติติงแล้ว นี่ยังมากระดี๊กระด๊าเห็นเป็นเรื่องตลกอีกเหรอคะ นี่มันเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของลูกบ้านเลยนะ เจนีนจริงจังนะคะ”
ความเงียบงันเข้าปกคลุมวงสนทนาในบัดดลแปลว่าทุกคนบกพร่องในหน้าที่ไปเต็ม ๆ
“ยังไงพวกเราก็ขออภัยด้วยนะคะ ครั้งหน้าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีกแน่นอนค่ะ”
ก่อนแยกย้ายเจนีนได้ข้อมูลน่าสนใจจากนิติบุคคลที่เพิ่งเปลี่ยนกะมาเข้างาน เธออยู่ในเหตุการณ์และจำข้อมูลบนหนังสือเดินทางของชายคนนั้น
“ไม่แปลกหรอกค่ะที่น้อง ๆ จะจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ ผู้ชายคนนั้นพยายามเบนความสนใจและเหมือนไม่อยากให้เห็นหน้าด้วย เขาพูดภาษาอังกฤษสำเนียงบิชติสแบบเดียวกันในทีวีเลยค่ะ แล้วก็…ถือพาสปอร์ตออสเตรเลียแต่หน้าเป็นเอเชียชัดเจนฟังธงค่ะ ส่วนชื่อ เอ่อ…ราศีมิถุนในภาษาอังกฤษ”
“สรุปว่าเขาชื่อเจมีไนน์เป็นออสซี่ แต่อายุน่าจะประมาณสี่สิบต้น ๆ ใช่มั้ยคะ” เจนีนทบทวนอีกครั้ง
“แต่ถ้าเขาแค่มาส่งก็ไม่น่ามีอะไรนะคะหรือในห้องมีของหายคะ”
“อันนี้คงต้องรอถามเจย์ค่ะ แต่ไม่รู้ว่านายคนนั้นจะมีส่วนทำให้เจย์เห็นภาพหลอนหลังฟื้นด้วยหรือเปล่า ยังไงเจนีนขอไฟล์กล้องวงจรปิดไปก่อนนะคะ”
แต่พ่อหนุ่มออสซี่ผู้ถูกสงสัยกำลังเปลือยท่อนบนอวดหุ่นล่ำวิ่งออกกำลังกายอยู่ที่เนินเขาใกล้บ้านแบบสบายใจเฉิบ
ชีวิตชายโสดเริ่มมีความหมายอีกครั้ง