‘…ไม่อยากเรียนหมอแต่ยังสอบติดหมอได้ คนหรืออเวนเจอร์’
‘แต่สอบเข้ากับเรียนจริงมันไม่เหมือนกันนะ นี่ขนาดโกงแล้วยังสอบตกคิดดู…’
‘เรียนอย่างมีความสุข ได้เป็นเดือนคณะสื่อสารมวลชน แถมจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอีกต่างหาก…’ นี่คือสิ่งที่หลายคนรู้เกี่ยวกับของลูกชายคนสุดท้องผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนเก่ง
‘หลักฐานกล้องวงจรปิดชี้ชัดว่าคุณธาวินเจตนาทุจริตการสอบนะครับ แต่เห็นแก่อาจารย์เดชดำรงค์ ทางเราเลยขอแจ้งเป็นการส่วนตัวนะครับ อีกอย่างมีนิสิตที่เป็นพยานยืนยันได้ด้วยครับ” หนึ่งในคณะกรรมการคุมสอบแจ้งอย่างตรงไปตรงมา แต่ขอไม่กล่าวพยานบุคคล
นายแพทย์เดชดำรงค์เป็นทั้งชายชาติทหารและแพทย์ผู้ชำนาญการต้องมารับรู้เรื่องการโกงข้อสอบของลูกชาย จะโดนครหาได้ว่าสอนทุกคนได้ยกเว้นลูกตัวเอง
เขาเค้นความจริงจากธาวินจนรู้ว่าว่าพยานคนดังกล่าวคือนิสิตแพทย์ตัวท็อปของรุ่น เดชดำรงค์จึงเรียกจักรทัศน์มาพูดคุยเป็นการส่วนตัว ทีแรกเข้าใจว่าเห็นแก่หน้าอาจารย์จึงยอมปล่อยผ่าน
“อย่างที่เจย์เล่าเลยครับ แต่คณะกรรมการทราบได้ไง อันนี้ไม่ทราบจริง ๆ ครับ แต่เจย์ไม่ได้เป็นคนพูดแน่นอน”
“เพราะไบเบิ้ลตอบผิดด้วยหรือเปล่า ในทางกลับกันถ้าตอบถูกก็จะแจ้งกรรมการเลยใช่มั้ย”
“ไม่แจ้งอยู่ดีครับ เจย์กับเพื่อน ๆ เหนื่อยกับการทบทวนบทเรียนมาก เพื่อนคนหนึ่งลากเสาสายน้ำเกลือเข้ามาในห้องสอบเลย อีกคนก็เครียดลงกะเพราะยอมทนปวดท้องเป็นชั่วโมงระหว่างนั่งสอบ ทุกคนไม่ควรติดร่างแหไปกับเรื่องนี้ เจย์สงสารเพื่อนน่ะครับ ขอโทษที่เจย์ไม่ทำตามกฏนะครับอาจารย์”
ชัดเจนว่าไม่ได้เห็นแก่อาจารย์แต่อย่างใด เดชดำรงค์ใบหน้าถอดสี กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก กำปั้นหนาสั่นด้วยความเหลืออด เป็นอาจารย์หมอมานานยังไม่เคยถูกมองข้ามขนาดนี้มาก่อน
“แต่กฏมีไว้ควบคุมสังคม ไม่ได้มีไว้หาช่องโหว่นะ คุณจะแหกกฏโดยอ้างความเห็นอกเห็นใจไปตลอดไม่ได้หรอกนะ” เพราะไม่เห็นใจลูกชายตนหรืออย่างไร?
“ถ้าทุกคนเคารพระเบียบข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความเห็นอกเห็นใจหรอกครับ” สุดท้ายถึงได้รู้ว่าพยานที่ไปฟ้องคณะกรรมการคือเพื่อนสนิทของธาวินที่โกรธแค้นเพราะโพยผิดเถึงสอบไม่ผ่าน
หลายปีต่อมาการแหกกฏก็กันก็เกิดขึ้นอีกจนได้ รอบนี้โชคดีที่มีคนช่วยออกหน้าให้ ไม่งั้นก็ถูกทำทัณฑ์บนหรือไม่ก็พักงานไปตามระเบียบ
เดชดำรงค์รู้แก่ใจว่าคืนนั้นจักรทัศน์โกหก
จากนี้ไปคงต้องจับตาพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด แม้เพื่อนร่วมงานจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจักรทัศน์ตั้งใจทำงานมากก็ตาม
โรงพยาบาลคือพื้นที่สำหรับทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีเวลาไปโรงพยาบาล เรื่องนี้เป็นที่รู้กันในกลุ่มพนักงานประจำคอนโดมิเนียมว่า ‘ปวดหัว ตัวร้อนไม่มีเวลาออกให้บอกหมอเจย์’
“ลุงถือกระดาษใบนี้ไปที่ร้านขายยาที่เจย์บอกนะ บอกว่ามาหาลิลด๊อจ…” แพทย์หนุ่มเน้นย้ำตรงท้ายประโยคช้า ๆ ชัด ๆ อีกฝ่ายขมวดหัวคิ้วเป็นปมขณะพยายามออกเสียงตาม
“ลิล…! ด๊อจ…! ลิลด๊อจ ลิลด๊อจ ชื่อแปลกจังเลยคุณหมอ”
“มันชื่อด๊อจเฉย ๆ แหละลุง แต่มันคือรหัสลับที่รู้กันว่าเจย์เป็นคนสั่งยาให้จริง ๆ เดี๋ยวด๊อจมันจะจัดยาและแนะนำวิธีการทานให้” เขาส่งแผ่นเรียงเบอร์ตรวจหวยให้!?
หลังตรวจอาการให้หลายชาย รปภ. ที่นอนซมเพราะไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดในพื้นที่
“ขอบคุณครับหมอเจย์ ผมเกือบต้องหยุดงานแล้วแบกไอ้ต้นกล้าไปโรงบาล” รปภ.รุ่นลุงยกมือไหว้ท่วมหัวด้วยความซาบซึ้ง แกจำได้ขึ้นใจว่าเป็นไปได้อย่าซื้อยามากินเองเพราะเสี่ยงอาการหนักจะกว่าเดิม ครั้งหนึ่งมีช่างไฟฟ้าที่คอนโดฯ บ่นปวดหลัง
พอจักรทัศน์ซักถามไม่กี่ข้อแล้วแตะหลังนิดหน่อยก็สั่งให้ไปโรงพยาบาลเพื่อเอ็กซเรย์ทันที สรุปเป็นเนื้องอกกดทับเส้นประสาทเสี่ยงจะเป็นอัมพาตในอนาคต
เขาเชื่อมั่นว่าเจตนาที่ดีไม่ถือว่าขัดจรรยาบรรณแพทย์
“ลุงไม่ต้องไหว้เจย์หรอกครับ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว แต่ต้องไปร้านที่เจย์บอกเท่านั้นนะครับ เพราะไปร้านอื่นเจย์ไม่แน่ใจว่าเขาจัดยาให้หรือเปล่าเพราะมันต้องมีตราประทับโรง’บาลกำกับ” กระดาษใบนั้นคือใบสั่งยาแบบไม่เป็นทางการ ส่วนเภสัชกรที่ร้านยาก็ซี้ปึ๊กกันตั้งแต่สมัยออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชน
แต่ก็ไม่บ่อยนักที่จักรทัศน์สั่งจ่ายยาควบคุมเช่นนี้
ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาอะไร
เด็กน้อยหายเป็นปกติภายในไม่กี่วันแล้วเพื่อนสนิทก็ล้มป่วยด้วยโรคเดียวกัน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงนำกระดาษที่มีชื่อยาไปให้พร้อมพิกัดร้านยาแต่เภสัชกรคนเดิมกลับปฏิเสธ
เมื่อรอไม่ได้จึงไปร้านอื่นจนได้ยาที่ต้องการ
จากนั้นใบสั่งยามหัศจรรย์ก็ถูกส่งต่อเหมือนจดหมายลูกโซ่
ตัวยาควบคุมกับลายเซ็นเด่นหรากำลังจะกลายเป็นหลักฐานมัดตัวในไม่ช้า ทุกอย่างเริ่มต้นจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กชายคนหนึ่ง
…………….
“ดวงจันทร์โคจรรอบโลกทำให้เกิดกระแสน้ำขึ้นน้ำลง…” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กประถมที่กำลังทำการบ้านที่โถงทางเดินทำให้จักรทัศน์ฉุกคิดขึ้นได้ว่านี่ก็เกือบสามอาทิตย์ที่ไม่มีดาวจันทร์จากแดนไกลโคจรรอบตัว
‘เธออาจไม่มาอีกแล้วก็เป็นได้…หรือเราจะเห็นภาพหลอนจริง ๆ’ เมื่อวานซือก็เพิ่งไปประเมินอากการทางจิตเวชมาซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จักรทัศน์ผ่อนลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ ขณะก้มไปหยิบเอสเพรสโซ่จากตู้อัตโนมัติ
เวรบ่ายยังอีกยาวไกลคงต้องพึ่งพาคาเฟอีนสักหน่อย
“มันอ่านว่าอะไร หนูอ่านไม่ออกน่ะพ่อ” เด็กชายหันไปถามผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“มันเป็นภาษอังกฤษ พ่อก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน ถามพี่หมอสุดหล่อดูสิ!” ชายวัยกลางคนบุ้ยใบ้มาทางคนรูปหล่อที่ยืนอยู่ไม่ห่าง จักรทัศน์ก็ตอบรับคำร้องขอด้วยความเต็มใจ
เวลา 22.50 น. ณ ห้องตรวจหมายเลข 13
“หมอ…มองอะไร หมอเห็นใช่มั้ย หมอเห็นอย่างที่ใคร ๆ ก็เห็นใช่มั้ย” บุรุษพยาบาลร่างบึกบึนผิวเข้มตามแบบฉบับบ่าวปักษ์ใต้ เบิกตาโพล่งพลางกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ เหมือนเจอบางสิ่งที่น่าหวาดเกรงเข้า เมื่อจู่ ๆ แพทย์หนุ่มก็หรี่ตามองไปยังหน้าต่างที่อยู่หลังห้องตรวจ
“อ๋อ…คือ หมอเห็นแมวมันไล่กันกัดข้างนอกน่ะ” แมวตัวใหญ่มากแถมมาเมืองเหนืออันไกลโพ้น
“ก็แล้วไป นี่เขาว่ากันว่าใครมาอยู่เวรห้องตรวจนี้เจอดีทุกคน บางคนแทบจะไม่รับเวรกลางคืนเลยนะ” เขาพูดพลางยื่นแก้วกาแฟร้อนให้กับมือ
“ขอบคุณครับพี่ยศ แล้ว…เขาเจออะไรเหรอครับ”
“เจอผีครับ ผีห้อยหัวตรงหน้าต่าง” เป็นการเล่าเรื่องผีที่ต้องฟังไปกลั้นขำไป แต่คนเล่าท่าทางจริงจังกับตำนานห้องตรวจหมายเลข 13 เอามาก ๆ
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
“ไอยะ! พูดซะหมออยากเห็นเลย อยากเข้าไปดูใกล้ ๆ ว่าเป็นอะไรตายแล้วนึกไงมาห้อยต่องแต่งแบบนี้” อุตส่าห์จะพูดติดตลกเพื่อคลายเครียดกลายเป็นอีกฝ่ายจริงจังยิ่งกว่าเก่า
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
“ไม่ใช่เรื่องตลกนิ หมอจะไปจับหัวผีได้ไง เดี๋ยวโดนผีกระชากหนังหัวไม่รู้ด้วยนะ ฮาโรย…คนสมัยใหม่ไม่กลัวผีก็เงี้ย”
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
เสียงหัวเราะร่วนที่จักรทัศน์ได้ยินแค่คนเดียวดังต่อเนื่องตั้งแต่เล่าเรื่องผีห้อยหัวแล้ว อัยยาลิณณ์ขำจนเจ็บท้องนั่งคุดคู้อยู่หลังห้อง
“อะขำ ขำเข้าไป ขำให้ขาดใจตายไปเลย” เขาโผล่หน้ามาทักทายร่างเล็กใบหน้าแดงก่ำเพราะหัวเราะจนงอหาย
“หมอเจย์ก็ใช่ย่อยนะ กล้าดียังไงจะไปจับหัวผี! ผู้ชายไม่มีสักหน่อยจะจับได้ไง ฮ่า ๆ”
“งั้นขนมต้มปีนไปดูให้หน่อยสิว่ามีผีจริงหรือเปล่า”
“ไม่ไปตาลกลัวผี” เธอส่ายหน้าปฏิเสธ
“กลัวพวกเดียวกันได้ด้วยเหรอ” ทั้งสองลับฝีปากกันอย่างเมามันจนกระทั่งออกเวร
แน่นอนวันพรุ่งนี้ไม่เกินเที่ยงจะมีรถมารับตัวอัยยาลิณณ์ไปโรงพยาบาลเหมือนทุกที