บทที่ 6 ไม่คิดว่าจะเจอเธอ

2973 คำ
หลายวันต่อมา 'คะน้า' แม่ของแครอทและผักชีเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ ลูกสาวทั้งสองที่กำลังมองจ้องหน้าจอทีวีแบบตาไม่กะพริบ เพราะกำลังตั้งใจดูการ์ตูนชินจังที่กำลังฉายอยู่ รอยยิ้มบางๆ ระบายออกมาด้วยความเอ็นดูให้ลูกๆ ก่อนจะเอ่ยเรียกลูกสาวคนโตเมื่อมีเรื่องจะคุยด้วย "แครอท" "คะคุณแม่" แครอทขานรับผู้เป็นแม่ ทว่าสายตายังคงจดจ่ออยู่ที่หน้าจอทีวีแบบไม่วางตา "หนูคิดได้รึยังว่าซัมเมอร์นี้จะทำอะไร?" "ยังเลยค่ะ" แครอทยอมละสายตาจากหน้าจอทีวีมาตอบแม่ของเธอ เธอทำแก้มกลมๆ อมลมไว้แบบหงอยๆ ในใจกลัวว่าแม่ของเธอจะจับไปเรียนพิเศษหากไม่มีกิจกรรมที่อยากทำ เพราะไม่มีทางที่พ่อแม่ของเธอจะปล่อยให้เธอนอนทำตัวว่างเปล่าไม่ได้ประโยชน์อยู่ที่ห้องอย่างแน่นอน "คุณแม่มีอะไรให้ดู" ผู้เป็นแม่เอ่ยบอกพลางยิ้มกริ่มดูมีเลศนัย ก่อนจะยื่นไอแพดไปให้ลูกสาวดู "ค่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเยาวชน" เมื่อแครอทได้อ่านสิ่งที่โชว์ในหน้าจอไอแพดก็ดวงตาเป็นประกายวิบวับไปกับเนื้อหาน่าตื่นตาตื่นใจ "ใช่จ้ะ สนใจไหม?" "สนใจค่ะ เข้า 5 วัน 4 คืน ก็โอเคดีนะคะ งั้นหนูสมัครเลยนะ" สาวน้อยเอ่ยบอกผู้เป็นแม่ก่อนจะกดเข้าหน้ากรอกใบสมัครอย่างทันทีด้วยความตื่นเต้น เธอค่อยๆ บรรจงกรอกข้อมูลใส่ในใบสมัครอย่างตั้งใจจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย "เสร็จแล้ว" เอ่ยบอกแม่ของเธออย่างมีความสุข "ดีมากลูกสาว" ผู้เป็นแม่ยิ้มอย่างพอใจ เอามือลูบหัวลูกสาวเบาๆ ด้วยความรักและเอ็นดู "หวังว่าหนูจะได้นะคะ" "คุณแม่คิดว่าหนูต้องได้อยู่แล้วจ้ะ" การสมัครเข้าค่ายนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าได้ เพราะคนที่สมัครจะต้องเขียนเหตุผลในการอยากเข้าร่วมในค่ายนี้ หากกรรมการเห็นชอบว่าเหตุผลดีถึงจะผ่านการคัดเลือกและได้เข้าค่าย โดยจะมีเพียงแค่ 80 คนเท่านั้นที่ผ่าน "ผักชีขอเรียนวาดรูปนะคุณแม่" เมื่อเห็นพี่สาวได้กิจกรรมที่อยากทำในช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ ลูกสาวคนเล็กก็บอกคุณแม่บ้าง "ได้สิจ๊ะ" แน่นอนว่าผู้เป็นแม่สนับสนุนสิ่งที่ลูกอยากทำทุกอย่าง ทำเอาผักชีเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่ ร้องเฮออกมาด้วยความดีใจ "เย้~" "แต่..." คำว่า 'แต่' ของผู้เป็นแม่ ทำสาวน้อยหุบยิ้มทันที เธอทำหน้าเจื่อนเพราะรู้สึกหวั่นใจให้แม่ของเธอ "คะ?" "หนูต้องเรียนพิเศษคณิตเสริมด้วย" "หาา..นึกว่าจะรอดแล้วซะอีก" ผักชีพูดเสียงอ่อย แววตาฉายแววเศร้าสร้อยอย่างชัดเจน เพราะเธอไม่อยากเรียนพิเศษเป็นที่สุด โดยเฉพาะวิชาคณิตที่เธอไม่ชอบเข้าไส้ "เอาน่า จะได้เก่งๆ ไงตัวเล็ก" "งื้อ" เมื่อโดนพี่สาวปลอบอย่างเข้าใจหัวอกกันดี เพราะแครอทก็ไม่ชอบเรื่องพิเศษเช่นกัน "พี่แครอทจะได้ไม่ต้องเหนื่อยสอนการบ้านให้เรา" ผู้เป็นแม่พูดเสริม "ก็ได้ค่าาา" น้องสาวตัวเล็กเมื่อเลือกอะไรไม่ได้ก็ทำใบหน้ามุ่ยแบบอ้อนๆ เหมือนลูกแมวน้อย ทำเอาทั้งผู้เป็นแม่และพี่สาวต่างรู้สึกมันเขี้ยวและเอ็นดูให้ไม่น้อย . วันสอบไฟนอลนักเรียนชั้น Grade 10 (ม.4) "ไอน้ำ แกไปเข้าค่ายกับฉันไหม? แครอทเอ่ยถามเพื่อนสนิทขณะกำลังทบทวนหนังสืออยู่หน้าห้องสอบด้วยกัน ทำให้ไอน้ำวางหนังสือลงและเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ "ค่ายอะไรอ่ะ?" "ค่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำหรับเยาวชน" แครอทพูดพลางเกาะแขนเพื่อนสนิทอย่างอ้อนๆ ในใจหวังว่าเพื่อนจะไปกับเธอด้วย เพราะเธออยากมีเพื่อนไปด้วยเพื่อให้รู้สึกอุ่นใจ ทว่า... "ฉันก็อยากไปนะ แต่ป๊ากับม๊าบอกว่าจะพาไปทัวร์นิวซีแลนด์อ่ะ" "เสียดายจัง..ฉันไปคนเดียวก็ได้" ได้ยินดังนั้นแครอทก็ทำหน้าซึมด้วยความเสียดายที่ต้องไปเข้าค่ายคนเดียวโดยที่ไม่มีเพื่อนรักอย่างไอน้ำไปด้วย "เอาน่า ไว้ฉันกลับมา แล้วว่างๆ เราไปกินหนมกัน" "อืม" พยักหน้ารับแบบเศร้าๆ ก่อนจะหันไปมองทีชเชอร์ที่พูดบอก "ถึงเวลาเข้าห้องสอบแล้วค่ะนักเรียน" "ป่ะ เข้าห้องสอบกัน" ทั้งคู่พยักหน้าให้กัน เก็บหนังสือลงกระเป๋าแล้วเดินเข้าห้องสอบไปพร้อมกัน จากนั้นก็แยกกันไปนั่งตามโต๊ะสอบของตัวเอง เมื่อถึงเวลาเริ่มทำข้อสอบ ก็ตั้งใจทำตามความสามารถของตัวเอง หลังจากสอบเสร็จ นักเรียนก็พากันทยอยออกมาจากห้องสอบและแยกย้ายกันกลับบ้าน "เดี๋ยวฉันไปเอาของกับเพื่อนห้อง 3 แป๊บ แกไปรอฉันที่เดิมนะ" "ก็ได้" แครอทพยักหน้าเข้าใจ เป็นการรู้กันดีระหว่างเพื่อนซี้สองคนว่า 'ที่เดิม' ที่ไอน้ำหมายถึงคือที่ไหน "เดี๋ยวฉันมา" พูดเสร็จไอน้ำก็เดินตรงไปยังห้องสอบของเด็กห้อง 3 แครอทจึงเดินสะพายกระเป๋าลงมาจากตึกก่อน ในสมองเอาแต่คิดเรื่องข้อสอบที่พึ่งสอบเสร็จไป "ข้อนั้นตอบถูกรึเปล่านะ" เมื่อรู้สึกข้องใจไม่หายก็ตัดสินใจหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดกางดู ไล่มองหาคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ พลั่ก! แครอทที่เอาแต่ง่วนอยู่กับการเปิดหาคำตอบของข้อสอบในหนังสือ โดยที่เท้าของเธอยังคงก้าวเดินแบบช้าๆ โดยที่ไม่ได้มองทางข้างหน้าทำให้ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่แบบจังๆ จนหนังสือหล่นลงพื้น "อ้ะ!...ขอโทษค่ะ" ร่างบางรีบเอ่ยขอโทษเขาไปอย่างรู้สึกผิด ก้มลงเก็บหนังสือที่ตกพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทว่าพอเธอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เธอชน หัวใจเต้นระส่ำระสายคล้ายคนถูกน็อคกลางอากาศ "ขอโทษที่ไม่ระวังค่ะ" เธอพูดขอโทษไปอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคิมหันต์ยังคงมองจ้องเธออยู่ ไม่มีปฏิกิริยาต่อคำขอโทษก่อนหน้า แม้ใบหน้าของเขาจะเรียบนิ่งไม่ได้บ่งบอกถึงความโกรธหรือโมโหให้เธอก็ตาม "หล่อสาวชนเลยเว้ยเพื่อนกู" "ว้าวๆๆๆ" มาร์คและปุณณ์เอ่ยแซวอย่างสนุกปากเมื่อเห็นทั้งคู่เก้ๆ กังๆ ยืนมองหน้ากันไปมา และคิมหันต์ไม่พูดอะไรตอบแครอทไป คิมหันต์เมื่อเห็นสายตาและรอยยิ้มทะเล้นของสองเพื่อนที่พากันแซว ก็พยักหน้ารับคำขอโทษให้แครอทเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปเสวนากับเพื่อนๆ ต่อ เพื่อให้เพื่อนๆ เลิกสนใจแครอท "เล่นเกมบ้านใครนะ?" แครอทแม้จะไม่ได้มองหน้าสบตากับคนหล่อเหลาแล้ว แต่หัวใจเจ้ากรรมยังคงเต้นรัวไม่มีท่าหยุดด้วยความตื่นเต้น เธอเดินออกห่างมาจากกลุ่มแก๊งนั้น แล้วทำเป็นยืนอ่านหนังสือเงียบๆ คนเดียว "เล่นเกมบ้านกู" "เออๆ" "ป่ะๆ" ปุณณ์พูดบอกเพื่อนในกลุ่มแก๊ง เมื่อตกลงกันได้แล้ว ทั้ง 5 คนก็พากันโอบกอดคอแล้วเดินจากไป ฟู่ววววว~ เมื่อแก๊งหนุ่มหล่อ 5 คนเดินจากไป แครอทก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ สายตามองตามแผ่นหลังของหนุ่มๆ พวกนั้นไปอย่างเคลิบเคลิ้ม โดยเฉพาะคิมหันต์ ชายหนุ่มที่เธอเผลอไผลใจให้เขาไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ตัว "กรี๊ด!" "ว๊ายยย!" ร่างบางร้องอุทานและสะดุ้งตกใจแรงเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของเพื่อนสนิทข้างใบหูเธอ ไอน้ำวิ่งทำสีหน้าเหลอหลาเข้ามากรีดร้องใส่หูของแครอทปานตัวเองถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ท่าทางตื่นเต้นแบบเกินเบอร์ของไอน้ำทำแครอทเกาหัวแบบงงงวย "อะไร?" "แกได้คุยกับแก๊งนั้นด้วยเหรอ?" ไอน้ำที่เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้าพอดี รู้สึกตื่นเต้นจนกระโดดโลดเต้นแทนเพื่อนสนิทอย่างแครอท "ฉันเดินชน..คนชื่อคิมหันต์อ่ะ ก็แค่พูดขอโทษ เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มันเรียกว่าคุยกันได้ด้วยเหรอ?" "ได้พูดกับเขาก็ถือว่าคุยกันแล้ว..ทำไมแก๊งนั้นถึงได้หล่อกันทุกคนได้ขนาดนี้นะ" ไอน้ำพูดพลางเอามือประสานกันพลางทำหน้าเคลิบเคลิ้ม ท่าทางเหมือนคนตกอยู่ในความฝันของเพื่อนสนิท ทำเอาแครอทอดสงสัยไม่ได้ว่าไอน้ำที่ชอบกรี๊ดกร๊าดเวลาเจอคิมหันต์แอบชอบเขารึเปล่า "แก..ชอบคิมหันต์ป่ะ?" แครอทเอ่ยถามไปแบบประหม่า ในใจก็ลุ้นไปด้วย "ชอบแบบไหน?" ไอน้ำเลิกคิ้วถามกลับ "แบบอยากได้..เป็นแฟนอ่ะ" "ไม่นะ ฉันแค่กรี๊ดเพราะเขาหล่อดี เขาไม่ชายตามองฉันหรอก อีกอย่างฉันกรี๊ดทุกคนในแก๊ง" "อ้อ" แครอทพยักหน้าเข้าใจ พยายามเก็บกั้นความดีใจเอาไว้ไม่ให้ไอน้ำสงสัย ทั้งๆ ที่ในใจรู้สึกเบิกบานไม่น้อย และถึงแม้แครอทจะพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาเหยี่ยวของไอน้ำ "ว่าแต่แกถามทำไม อย่าบอกนะว่า..." ไอน้ำเอ่ยถาม พลางขยับใบหน้าเข้าไปใกล้หน้าแครอทเพื่อจับพิรุธ "เปล่า ไม่ใช่แบบที่แกคิดนะ!" แครอทรีบขยับหน้าหนีและปัดมือไปมาปฏิเสธแบบเลิ่กลั่กและลนลาน ยิ่งทำให้สิ่งที่ไอน้ำกำลังคิดอยู่มันชัดเจนขึ้น "ฮ่าๆๆๆ ชอบก็บอกว่าชอบสิ ไม่ต้องโกหกหรอก" ไอน้ำหัวเราะชอบใจ เอ็นดูให้เพื่อนที่ช่างไม่เนียนเอาซะเลย "เปล่าซะหน่อย" ปฏิเสธเสียงแข็ง "ฉันอ่านสีหน้ากับสายตาแกออกไอ้แครอท ไม่ต้องมาโกหก" "ฉันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?" แครอทเอ่ยถามกลับเสียงอ่อย ไม่คิดว่าเพื่อนจะรู้จักเธอดีขนาดนี้ "ทำไมฉันจะดูแกไม่ออก ฉันเป็นเพื่อนแกมาตั้งแต่อนุบาลนะ" "แฮะๆ ก็จริง" แครอทหัวเราะแห้งๆ ให้ไอน้ำ ก่อนทั้งคู่จะเดินควงแขนกันไปนั่งเล่นที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ที่ประจำ . หลายวันต่อมา นิ้วเรียวกดคลิกเมาส์ด้วยใจที่เต้นรัวเป็นจังหวะกลอง หันมองหน้าพ่อแม่เพิ่มกำลังใจ ก่อนจะกดคลิกอีกทีพลางหลับตาปี๋ไม่กล้าดูหน้าจอ Macbook "ผลออกแล้วแครอท" "ลืมตาขึ้นมาดูสิลูก" เสียงพูดของพ่อและแม่ทำแครอทต้องสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองหน้าจอแบบช้าๆ "กรี๊ดดดด! หนูผ่าน ได้ไปเข้าค่ายแล้วค่ะคุณแม่" เมื่อเห็นผลการประกาศผู้มีสิทธิ์เข้าค่าย เสียงกรี๊ดก็ดังลั่นบ้าน แครอทกระโดดโลดเต้นเข้าไปกอดทั้งพ่อและแม่ด้วยความดีอกดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ผักชีเองก็เข้ามาร่วมแจมแสดงความยินดีกับพี่สาวด้วย "เย้ๆๆ ดีใจด้วยพี่แครอท" "ยินดีด้วยจ้ะลูกรัก" "คุณพ่อหวังว่าหนูจะได้ประสบการณ์อย่างที่หนูต้องการนะคะ" ทั้งพ่อและแม่ต่างแสดงความยินดีและดีใจไปกับลูกสาวคนโตด้วย ยิ่งเห็นลูกสาวมีความสุข หัวอกคนเป็นพ่อแม่ก็ยิ่งพลอยมีความสุขไปด้วย "เดี๋ยววันนี้คุณพ่อเลี้ยงชาบูเอง ฉลองลูกๆ ปิดเทอมกับแครอทได้ไปเข้าค่าย" "เย้ๆๆๆ ~/เย้~" ทั้งพี่ทั้งน้องพากันร้องเฮด้วยความดีอกดีใจที่จะได้กินชาบูของโปรดที่กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ [CARROT TALK] หลายวันต่อมา (วันเข้าค่าย) คุณพ่อกับคุณแม่มาตื่นส่งฉันที่จุดนัดพบขึ้นรถบัสแต่เช้าตรู่ ส่วนฉันยังไม่ได้นอนเพราะตื่นเต้นและแอบกังวลเล็กน้อย กลัวว่าจะลำบากและไม่มีเพื่อน เมื่อร่ำลากับคุณพ่อคุณแม่เสร็จแล้ว ฉันก็เดินลากกระเป๋ามาหาพี่สตาฟค่ายที่รอเช็คชื่ออยู่ "น้องชื่ออะไรคะ?" พี่สตาฟที่มีป้ายคล้องคอเขียนชื่อว่า 'แพร' เอ่ยถามชื่อของฉันพร้อมยิ้มให้ "คารินา บริบูรณ์พิพัฒน์ ค่ะ" "ชื่อเล่นชื่ออะไรคะ?" "แครอทค่ะ" พี่อีกคนถามฉัน เมื่อฉันตอบไปก็ก้มหน้าลงเขียนชื่อเล่นให้ฉันที่ป้ายเอาไว้คล้องคอ "ชื่อน่ารักเชียว นี่ป้ายคล้องคอจ้ะ" "ขอบคุณค่ะ" ฉันยกมือไหว้ขอบคุณพี่สตาฟค่ายไป รับเอาป้ายมาคล้องใส่คอตัวเอง แล้วเดินมาเข้าแถวต่อกับเพื่อนๆ ที่มาถึงก่อน ฉันส่งข้อความบอกความคืบหน้าในไลน์ครอบครัว และไม่ลืมถ่ายเซลฟี่หน้าตัวเองยิ้มแป้นส่งไปด้วย และนอกจากส่งให้ครอบครัวแล้ว ฉันก็ส่งให้ไอน้ำด้วย ขณะอยู่ในแถวฉันก็กวาดสายตามองดูคนที่มาเข้าค่ายไปเรื่อยๆ อยากรู้ว่าจะมีคนที่ฉันรู้จักบ้างไหม แอบหวังในใจลึกๆ ว่าขอให้มีคนที่โรงเรียนสักคนมาด้วย แต่คนเยอะขนาดนี้ฉันก็ยิ่งมองยิ่งลายตา แล้วก็ไม่คุ้นใครสักคนเลย ฉันก็อยากชวนคนเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างหน้าคุยนะ แต่เขาเป็นผู้ชายอ่ะ ฉันยิ่งไม่กล้าชวนผู้ชายคุยด้วยสิ งั้นเอาไว้ก่อนแล้วกัน "คนมาครบแล้ว เดี๋ยวเราจะขึ้นรถกันเลยนะคะ..แถวนี้ตามพี่มาก่อนเลยค่ะ" ฉันเดินตามแถวมาเรื่อยๆ เอากระเป๋าฝากพี่สตาฟเก็บใต้ช่องเก็บสัมภาระ แล้วเดินมาขึ้นรถ เมื่อขึ้นมาบนรถบัส ฉันก็เลือกที่นั่งตรงส่วนกลางคันรถและนั่งติดกระจก สายตาออกนอกกระจกรถดูบรรยากาศภายนอกแบบเพลินๆ คงจะดีหากมีคนมานั่งข้างๆ ฉันจะได้ไม่รู้สึกว้าเหว่ "ขอนั่งด้วย" คิดในใจได้ไม่ถึงสิบวินาที เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น ฉันจึงหันไปมองเจ้าของเสียง อ้าปากเตรียมจะตอบ แต่ก็ต้องอ้าปากค้างและดวงตาจะเบิกกว้างโตด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง คิมหันต์! เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!!? อย่าบอกนะว่าเขาก็มาเข้าค่ายนี้ด้วยเหมือนกัน! "นะ..นั่งเลย" ฉันพูดตอบเขาไปแบบเงอะงะ ขยับตัวแนบติดกระจกและเบือนหน้ามองออกไปนอกกระจกเก็บสีหน้าที่อยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ ไม่ให้เขาเห็น ฟุ่บ ฉันรู้สึกเหมือนเขานั่งลงเบาะข้างๆ แต่ไม่ได้หันไปดูเพราะไม่กล้า ฉันไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงดี เข้าใจฟีลคนได้ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองแอบชอบไหม ตอนนี้มือฉันเหงื่อออก ต้องกำมือแน่นพยายามเก็บอาการตื่นเต้นไว้สุดขีด ไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่ แถมยังได้นั่งข้างกันอีก บังเอิญเกินไปแล้ววววว ไม่นานรถบัสก็ขับเคลื่อนออกมา และฉันก็นั่งเกร็งตลอดเวลา หายใจก็ติดขัด อ๊ากกกก! ว่าแต่เขามาเข้าค่ายแบบนี้จะมีเพื่อนมาด้วยไหมนะ แต่ถ้าเขามีเพื่อนมาด้วยก็คงไปนั่งกับเพื่อนแล้วล่ะ ไม่มาขอนั่งกับฉันหรอก นอกซะจากที่นั่งจะเต็ม ฉันคิดอะไรในหัวไปเรื่อย ก่อนจะรู้สึกเหมือนโดนจ้องมอง จึงค่อยๆ หันไปมองคิมหันต์ และเห็นว่าเป็นเขาจริงๆ ที่กำลังมองจ้องฉันอยู่ "มีอะไรเหรอ?" ฉันถามเขาไปอย่างสงสัยพลางเอามือลูบหน้าตัวเองไปด้วย เพราะคิดว่าที่เขามองหน้าฉันเพราะมีอะไรติดที่หน้า "เธอชอบกระจกเหรอ?" "หา? ..ไม่นะ" คำถามของเขาทำฉันงง ทำไมจู่ๆ เขาถึงถามอะไรแปลกๆ "เธอจะสิงกับกระจกแล้ว" ฉันรีบก้มมองตัวเองและเห็นว่าตัวติดกับกระจกจริงๆ ติดแบบแนบชิดจนแทบสิงเหมือนที่เขาพูดนั่นแหละ อีกนิดจะไหลรวมผสานร่างกับกระจกได้แล้ว "อ้อ..แฮะๆ" ฉันขำแห้งๆ พร้อมกับขยับออกห่างจากกระจกเล็กน้อย แบบเล็กน้อยจริงๆ ไม่กล้าขยับไปทางเขาเยอะไง กลัวว่าจะเผลอไปชนเขาเข้า ขนาดวันนั้นแค่มือโดนกันนิดหน่อย ฉันยังเก็บไปกรี๊ดแปดวันแปดคืนเลย "เบาะก็ใหญ่ ขยับมาอีกสิ" ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉันจึงขยับมานั่งสบายๆ แบบพอดีเบาะ แต่ยังคงเกร็งอยู่ คนที่ชอบนั่งข้างๆ แบบนี้ใครจะไปกล้าปล่อยตัวสบายๆ จนไม่ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองล่ะ ฉันเหล่ตามองเขาเล็กน้อย เพียงเห็นความหล่อของเขาก็ทำฉันเกือบหลุดอาการ รีบหันหน้าเข้ากระจกและแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อยกับตัวเองด้วยความเขิน ภายในใจก็ภาวนาว่าอย่าให้ตัวเราโดนกันเลย ฉันยังไม่อยากหัวใจวายตายเพราะทนต่อความบ้าผู้ชายของตัวเองไม่ไหว จะว่าไปเขาก็นิสัยดีเหมือนกันเนอะ ขนาดทำหน้านิ่งเฉยฉันยังรับรู้ถึงความห่วงใยของเขาเลย ฉันหันไปมองเขาอีกครั้งก็เห็นว่าเขากำลังใส่แอร์พอดฟังเพลงและเล่นเกมในมือถืออยู่ มุมข้างยังคงหล่อไร้ที่ติเหมือนเดิม ทั้งสันจมูกโด่งเอย ดวงตาคมกริบเอย ปากหยักได้รูปเอย สัดส่วนบนใบหน้าของเขาทำฉันใจสั่นไหวและหักห้ามใจไม่ให้ชอบเขาไม่ไหว ฉันลอบแอบมองเขาอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ ทั้งทำเป็นเนียนมองไปรอบๆ รถ ทั้งมองผ่านเงาสะท้อนตรงกระจก ไม่รู้ว่าเขาจะรู้ตัวรึเปล่าว่าฉันแอบมอง แต่ฉันว่าฉันก็เนียนพอตัวอยู่นะ หวังว่าเขาจะไม่หาว่าฉันเป็นพวกถ้ำมอง หาววว~* เมื่อไม่มีอะไรทำนอกจากส่องความหล่อของคนข้างๆ ฉันก็รู้สึกง่วงและหาวเป็นรอบที่สิบ ตาปรือค่อยๆ ปิดลงและหลับไปเพราะทนต่อความง่วงไม่ไหว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม