๑
สิบเจ็ดปีก่อน…
กาลเวลาหมุนวนก้าวผ่านวัสสานฤดูเข้าสู่ช่วงเหมันตฤดู ทำให้สภาพอากาศหนาวเย็นแลมีหมอกหนาในช่วงเช้า ปลายยอดหญ้ามีแม่คะนิ้งใสราวน้ำแข็งเกาะอยู่ตามยอดหญ้าแลกิ่งก้านต้นไม้น้อยใหญ่ ถิ่นภูมิภาคเหนือสุดแดนสยามดินแดนล้านนาติดแผ่นดินทองอย่างเมียนมาร์และลาว ทำให้การแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและเม็ดเงินแพร่สะบัดไม่ต่างจากเมืองหลวง เมืองแห่งการหล่อหลอมเลี้ยงดู เมืองปลายทางของชีวิตของใครบางคน
“ข้าชอบที่นี่มากกว่าหมู่บ้านจำปาทอง”
“สถานที่แห่งนี้เหมาะสมควรค่าแก่การเลี้ยงดูนาง” พญาคชสารสำรวจดินแดนทางตอนเหนือ บรรยากาศและทัศนียภาพคล้ายเทือกเขาหิมาลัยอยู่สามส่วน จึงวางแผนเข้าฝันหญิงสาวผู้หนึ่งในกลางดึกติดต่อกันเป็นเวลาห้าวันติด
จากเด็กทารกแรกเกิดในค่ำคืนอันสุดแสนเจ็บปวดเอื้อนจันทรอ์ถือกำเนิดออกมาจากครรภ์มารดา ณ บ้านไม้ซอมซ่อหมู่บ้านจำปาทอง เป็นหมู่บ้านปางช้างที่เลี้ยงช้างเป็นอาชีพกันทุกครัวเรือน ทารกหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มเพริศเพราเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและเธอก็ถือเป็นโชคลาภแก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีช้างพลายเพศผู้นิรนามที่คอยมาสลัดงาเคลือให้ทุกคราในยามที่สถานการณ์การเงินทางบ้านขัดสน ภายหลังความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นผู้เป็นพ่ออย่างนายดินจึงออกลาย ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน โดยการพาเมียน้อยเข้ามาอยู่ในบ้านให้แม่พิไลต้องปวดใจไม่ซ้ำหน้า
“ลูกเมียนั่งหน้าสะลอนแต่พี่ก็ยังใจกล้าเอามันเข้ามาอยู่ในบ้าน!” นางพิไลอุ้มลูกมือเดียวตวาดสามีเสเพลของตน
“ก็ช่วยกันทำมาหากินไง!” นายดินอ้าง
“มาช่วยผลาญล่ะสิไม่ว่า”
“เอ็งมันน่ารำคาญ!!!” นายดินสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของนางพิไล รั้งเมียเด็กขึ้นไปพลอดรักกันอย่างไม่เกรงใจอย่างดุเดือดบริเวณกลางบ้านต่อหน้านางพิไล
จนกระทั่งเมื่อวันที่ลูกสาวจวนวัยสามขวบเศษ วันที่สถานการณ์ในบ้านเริ่มตึงเครียด สามีที่เคยรักใคร่เอ็นดูเริ่มลงมือทำร้ายร่างกายจนเลือดตกยางออกอยู่หลายครั้ง แม่พิไลตัดสินใจหอบลูกน้อยวัยสามขวบเศษหนีออกจากบ้านกลางดึกคืนหนึ่ง เชื่อนิมิตความฝันของตนในคืนก่อนนางฝันเห็นชายร่างใหญ่ผิวสีเข้มเหลือบนิลบอกกล่าวเป็นนัยให้นางเดินทางขึ้นเหนือ หนีร้อนไปพึ่งเย็นเสียที่นั่น...
นางพิไลนำทรัพย์สินของมีค่าที่นางและสามีช่วยกันหามาจากน้ำพักน้ำแรงมาเพียงกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งยังวางทิ้งไว้ให้นายดินตามเดิมด้วยความเป็นห่วง แม้สถานะผัวเมียจะสิ้นสุดแต่นางก็ไม่อยากให้นายดินเดือดร้อน จึงนำไปเท่าที่นางและลูกจะพอใช้จ่ายระหว่างเดินทาง ใบหน้าอมทุกข์ของนางพิไลเหลียวมองบ้านไม้สองชั้นที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่ด้วยใจหม่นหมอง
“พี่ดิน…”
“จากกันคราวนี้ให้ถือว่าฉันกับลูกตายจากพี่ไปก็แล้วกันนะพี่ดิน ฉันขอให้พี่มีความสุขกับชีวิตใหม่กับทางที่พี่เลือก...” พิไลเอ่ยแผ่วเบา ในอ้อมแขนโอบอุ้มลูกน้อยที่กำลังนอนหลับซบอกแน่น หัวไหล่เล็กอีกข้างสะพายย่ามด้านในคือเสื้อผ้าของเธอและลูกเพียงสองสามชุด
เมื่อหันกลับมาอีกทางนางพิไลจำต้องผงะ เงาร่างมหึมาเหยียบย่างพื้นดินแดงออกมาจากถนนเส้นเล็กเชื่อมต่อกับพงไพร ช้างพลายตัวนี้เป็นช้างป่าศุภลักษณ์งดงามแลสง่าผ่าเผยดูแข็งแกร่งดุจหินผาที่เคยมาสลัดงาเคลือให้บ้านนางยามขัดสนอยู่บ่อยครั้ง นับตั้งแต่ลูกสาวตัวน้อยของนางลืมตาดูโลก นางจึงสังเกตุเห็นว่าช้างพลายตนนี้คอยมาเฝ้าอยู่ไม่ห่างคงจะเป็นพ่อเกิดตามมาดูแล เอื้อนจันทร์ บุตรสาวของนางกระมังนางคิด เป็นบุญของเอื้อนจันทร์นัก เจ้าของร่างมหึมางาเคลือสีนิลเสมอตัวย่อกายต่อหน้าราวกับรับรู้ว่านางจะหนีไปที่ใด
“ฉันกับลูกขอบใจพ่อเข้มมากนะ ขอบใจที่ดูแลพวกเรามาโดยตลอด” ฝ่ามือแตกระเเหงหยาบกร้านจากการทำงานหนักของนางพิไลแตะลงบนพวงแก้มสากเนื้อหยาบสีนิลของช้างตนนั้น นางกล่าวขอบคุณช้างป่าตนนี้จากใจจริง
“......” ช้างพลายหลุบสายตาเลื่อนลงต่ำคล้ายเข้าใจในสิ่งที่นางสื่อ นางพิไลเหยียบขาหน้าของช้างพลายขึ้นหลังคออย่างชำนาญการ จุดหมายปลายทางคือสถานีรถไฟที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโล หากเดินเท้าคงต้องใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง โชคดีที่พ่อเข้มเดินมาส่งสองแม่ลูก
‘ข้ามิได้จากเจ้าไปที่ใด ตัวข้ายังตามประกบดูแลเจ้าเช่นเดิม เพียงแต่จะไม่ปรากฏกายเนื้อสู่สายตาเจ้า จนกว่าจะถึงวันเวลาที่เหมาะสม วันที่เจ้าพรั่งพร้อมหวนมาเป็นเมียข้าอีกครา ข้าจักรอคอยวันนั้นช่อเอื้อง...” พญาคชสารพร่ำเอ่ยในใจทำราวกับนางจะรับรู้
ช้างพลายขนาดมหึมาเดินมาส่งสองแม่ลูกถึงสถานีรถไฟ แม่พิไลร่ำลาสุดแสนอาลัยด้วยสำนึกบุญคุณช้างพลายตนนี้ยิ่งนัก การเริ่มต้นใหม่ที่ิอาจจะดูทุลักทุเลในช่วงแรก แต่การเดินทางในครั้งนี้จะทำให้หญิงสาวที่เคยผิดหวังในความรักหวนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง แม้เจ้าตัวอาจจะยังไม่รู้ว่าปลายทางที่รอคอยอยู่ในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่ก็ดีกว่าอยู่จุดเดิมให้ชายที่หลงผิดด้อยค่าความเป็นเมีย
สถานีรถไฟรายล้อมด้วยผู้คนมากมายมากหน้าหลายตา ต่างคนต่างหอบหิ้วสัมภาระพะรุงพะรังเต็มสองแขนดูเหมือนนางพิไลที่มือข้างหนึ่งอุ้มกระเตงอกลูกน้อยจะทำให้เดินเหินไม่ค่อยสะดวกเท่าใด รถไฟขบวนยาวจอดเทียบท่าชานชาลาก่อนเจ้าหน้าที่จะประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นมาจับจองที่นั่งของตนเอง ที่นั่งรถไฟคันเก่ามีเพียงแผ่นไม้ขัดเงาวางทอดยาวสลับหน้าหลัง หันหน้าเข้าหากัน นางพิไลเลือกนั่งด้านในติดทางเดินเพราะเกรงว่าลมจากนอกหน้าต่างจะปะทะเข้าหาเจ้าเอื้อนจันทร์น้อยมากเกินไป
“หิวจังจะมีอะไรขายมั้ยหนอ”
“ขอโทษนะครับด้านในติดริมหน้าต่างมีใครนั่งหรือยังครับ” ชายหนุ่มวัยกลางคนผิวผ่องขาวนวลผ่องสวมเสื้อคอจีนกางเกงสะดอเอียงใบหน้าเอ่ยถามหญิงสาวแม่ลูกอ่อนอย่างสุภาพ
“ว่างจ๊ะ” นางพิไลเงยหน้าบอกอย่างใจดีตามประสา ก่อนจะเบี่ยงท่อนขาเปิดทางให้ชายหนุ่มวัยกลางคนเดินแทรกเข้ามานั่งข้างเธอริมหน้าต่าง กลิ่นเสื้อผ้าอบควันเทียนลอยโชยแตะจมูกพิไล ทำเอาเธอถึงกับคิ้วขมวดยุคนี้ยังมีคนสวมเสื้อผ้าอบควันเทียนอยู่อีกหรือ...
นางพิไลเลือกไม่สนใจชายหนุ่มแปลกหน้าข้างกาย นางจัดแจงท่านั่งในท่วงท่าที่คิดว่าสบายที่สุด สองแม่ลูกสลบไสลด้วยความเหนื่อยอ่อน ศรีษระผมเผ้ากระเซอะกระเซิงตามฉบับแม่ลูกอ่อนโอนเอียนเหมือนลูกข่าง เอียงไปด้านหน้าที ด้านข้างที ทำเอาพ่อเลี้ยงแม้นเมือง พ่อเลี้ยงปางช้างเมืองล้านนาต้องเบนหน้ากลับมามองสองแม่ลูกด้านข้าง
“เหนื่อยน่าดู...”
พ่อเลี้ยงประคองศรีษระของแม่ลูกอ่อนอิงซบบ่าแกร่งของตน ไม่ให้โอนเอียนหน้าทีข้างทีเหมือนอย่างเมื่อครู่ ลำพังเขาตัวคนเดียวเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ยังเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด นับประสาอะไรกับแม่ลูกอ่อนอย่างนาง ที่ต้องกระเตงบุตรสาวตลอดเวลา จะนั่ง จะนอน จะกินก็สุดแสนลำบาก
เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เขาไม่กล้ากระดิกตัวหรือขยับเปลี่ยนท่านั่ง แม้ว่าตอนนี้จะเริ่มปวดร้าวสะโพกลงมาถึงหน้าขา หญิงสาวแม่ลูกอ่อนพักผ่อนเพียงพอแล้วจึงลืมตามองเจ้าเอื้อนจันทร์น้อยในอ้อมอกที่ยังคงนอนหลับตาปี๋ทำปากจู๋น่ารัก นางพิไลสะดุ้งโหยงสุดตัว เมื่อรู้ว่าศรีษระของตนกำลังซบอิงบ่าแกร่งของชายหนุ่มแปลกหน้าด้านข้าง
“ขะ...ขอโทษจ๊ะ ฉันขอโทษนะจ๊ะฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกิน” นางพิไลรีบขอโทษชายวัยกลางคนเสียยกใหญ่ ก่อนจะรีบขยับออกห่างเขาผู้นี้ น่าอายนักไปนอนซบใครก็ไม่รู้ สาวแม่ลูกอ่อนพวงแก้มออกสีแดงระเรื่อ เขินอายแต่จำต้องเก็บอาการ
“ผมเอาหัวคุณมาซบเองกลัวคุณจะตกเก้าอี้น่ะ ผมแม้นเมือง คุณชื่ออะไร?” เขาเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“พิไลจ๊ะ” พิไลรีบจัดแจงผมเผ้าให้เข้าที่ก่อนจะตอบ
“จะไปไหนกันหรอครับทำไมเดินทางกันสองคนแม่ลูก ไม่เหนื่อยแย่หรอ” เขาเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของพิไลออกสีหน้าเหนื่อยอ่อนจึงอยากจะถามให้ลึกลงหน่อย
“ไปเชียงรายจ๊ะ ฉันพอมีวิชาความรู้การทำขนมหวาน ว่าจะไปเริ่มต้นใหม่ที่นั่นกันสองคนแม่ลูก ไปตายเอาดาบหน้ากันน่ะจ๊ะ” พิไลก้มมองเจ้าเอื้อนจันทร์พลางระบายยิ้มอ่อน
“แล้วพ่อของเจ้าตัวเล็กล่ะครับ? ขออภัยล่วงหน้าหากเป็นการถามล่วงเกินนะครับ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ ผู้ชายคนนั้นหยามน้ำใจเราสองแม่ลูกเอาเมียน้อยเข้าบ้านไม่ซ้ำหน้าแต่ละวัน หนักข้อก็ทุบตีจนฉันต้องหนีออกมาเริ่มต้นกันใหม่สองแม่ลูกนี่แหละจ๊ะ”
“เอางี้ดีมั้ย...คุณมาเปิดร้านขนมที่ปางช้างของผมจะได้ขายให้ชาวบ้านระแวกนั้น อนาคตผมจะทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวหากมีนักท่องเที่ยวคุณก็ขายได้หลายทาง” พ่อเลี้ยงปางช้างเสนอให้ความช่วยเหลือสองแม่ลูกด้วยความสงสาร อีกใจกลับถูกชะตาพิไลไม่อยากให้หล่อนต้องระหกระเหินเดินทางกันเพียงลำพังสองแม่ลูก ตัวเขาก็เป็นพ่อหม้ายเมียตายมีลูกชายอายุไล่เลี่ยกับเด็กน้อยในอ้อมอกพิไลเพียงไม่กี่ปี
“ฉันเกรงใจน่ะคุณ อีกอย่างฉันก็เป็นคนแปลกหน้า” พิไลทำท่าอึกอัก
“คนแปลกหน้าแล้วทำความรู้จักกันไม่ได้หรือแม่พิไล” พ่อเลี้ยงปางช้างยกยิ้มอ่อน
เขาใช้เวลาเกลี่ยกล่อมแม่พิไลอยู่นานกว่าเธอจะยอมตอบตกลง การเดินทางโดยรถไฟขบวนนี้ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป เมื่อพ่อเลี้ยงปางช้างผู้มีวาทศิลป์ในการพูดชวนคุยตลอดการเดินทาง จนพิไลที่คอยรับฟังและโต้ตอบในบางครั้งถึงกับสงสัยว่าเขาปิดวาจามาแรมปีหรืออย่างไร พอสบโอกาสจึงพูดจ้อไม่หยุด...
ชีวิตใหม่ของสองแม่ลูกเริ่มต้นขึ้นในปางช้างอำเภอแม่สรวย ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ร้านขนมของแม่พิไลมีขนมหลายชนิดทั้งขนมไทยและขนมพื้นเมืองที่คอยฝึกฝนร่ำเรียนจากชาวบ้านระแวกนั้น ระหว่างนี้พ่อเลี้ยงแม้นเมืองก็เทียวไปมาหาสู่ แถมยังนำ ทิศเหนือ ลูกชายวัยห้าขวบมาฝากเลี้ยงคู่กับเอื้อนจันทร์
ความสัมพันธ์ของแม่พิไลและพ่อเลี้ยงคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งพ่อเลี้ยงแม้นเมืองขอแม่พิไลแต่งงาน โดยให้เหตุผลว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ครองคู่กับแม่พิไล อีกทั้งลูกทั้งสองของเขาและเธอก็เข้ากันได้ดีเสมือนพี่น้องแท้ ๆ แม่พิไลที่เห็นความดีของพ่อเลี้ยงมาตั้งแต่แรกจึงยอมเข้าพิธีแต่งงานโดยจัดงานเล็ก ๆ เชิญชวนคนในหมู่บ้านมาร่วมพิธีเป็นสักขีพยาน ถือว่าชีวิตรักครั้งใหม่ของแม่พิไลเป็นความรักที่หลายคนอิจฉาเพราะพ่อเลี้ยงแม้นเมือง นอกจากจะรักใคร่เอ็นดูแม่พิไลแล้วยังรักเอื้อนจันทร์เสมือนลูกสาวตน ตัวนางพิไลเองก็รักทิศเหนือไม่ต่างอะไรกับลูกในอุทร
ข่าวคราวของนายดินแว่วมาประปราย ได้ข่าวว่าหลังนางพิไลหอบกระเตงลูกตัดขาดความสัมพันธ์ฉันผัวเมียในกลางดึกคืนนั้น วันต่อมานายดินก็รีบออกตามหาสองแม่ลูกตามสถานที่ต่าง ๆ ลำพังไปแต่ตัวไม่กังวลเท่านางพิไลหอบโชคลาภอย่างเอื้อนจันทร์ไปด้วย ทำให้นายดินว้าวุ่นจนลืมดูว่ามีเพลิงไหม้จากฟางข้าวลามเข้ามาเผาไม้บ้านไม้สองชั้น
กว่าจะรู้ตัวบ้านไม้ก็ถูกเพลิงเผาผลาญจนเหลือแต่ตอ ทรัพย์สินภายในบ้านเสียหายจนยากจะกู้คืนฐานะ ยิ่งในช่วงเวลานี้ไม่มีบุตรสาวคอยค้ำชู ช้างพลายตนนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ นายดินจึงโมโหหน้าดำหน้าแดงกลับไปทำอาชีพควาญช้างปะทังชีวิตตามเดิม บรรดาเมียน้อยทั้งหลายหลังเห็นว่านายดินสิ้นไร้ไม้ตอกอับจนหนทางเข้าแล้ว ก็พากันหนีหน้า ยามนี้ข้าวสารหนึ่งถ้วยก็ว่าลำบาก ได้กินเพียงข้าวเปลือกผสมข้าวสาร ยามลำบากจึงคิดถึงหน้าลูกเมีย
“กูให้ได้ กูก็ริบคืนได้”
จนกระทั่งเวลาผ่านไปสิบหกปี…
เรือนกาแลหลังใหญ่หนึ่งในสัญลักษณ์แห่งภูมิปัญญาล้านนา เรือนหลังนี้อยู่คู่ปางช้างแม่สรวยมาช้านานตั้งแต่รุ่นคุณทวดจนมรดกตกทอดมายังพ่อเลี้ยงแม้นเมือง เรือนนี้มีทั้งความสวยงาม คงทน แลกว้างขวางสูงสองชั้น มียอดจั่วเป็นกากบาทบ่งบอกถึงฐานะมีอันจะกินของครอบครัว อีกทั้งซ้ายขวาขนาบข้างด้วยเรือนแฝดที่สร้างขึ้นใหม่ให้ทิศเหนือและเอื้อนจันทร์อยู่อาศัยคนละหลัง จะได้มีความเป็นส่วนตัวกันมากขึ้น
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
“พี่เหนือเอื้อนขอยืมกุญแจรถเก๋งหน่อย” เสียงหวานใสของเอื้อนจันทร์เคาะประตูเรียกพี่ชายที่แก่กว่าสองปีด้วยความเร่งรีบ วันนี้มหาวิทยาลัยเปิดภาคเรียนวันแรก คนที่ออกหน้าจะไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยกลับนอนอุดคู้ในห้องนอนไม่ยอมตื่น
“พี่เหนือ!”
“ไม่ต้องไปเคาะให้เสียเวลาหรอกลูกเดี๋ยวพ่อไปส่งเอง มันพึ่งจะกลับบ้านเมื่อตอนตีห้านี้เอง คงเมาหัวราน้ำกลับมาเหมือนเดิม” เสียงพ่อเลี้ยงแม้นเมืองเอ่ยทักเอื้อนนจันทร์ที่เปรียบเสมือนลูกสาวคนหนึ่งเพราะเขาเลี้ยงเธอมาตั้งแต่สามขวบคู่ทิศเหนือ
“พ่อขา...พ่อไม่ต้องเข้าปางช้างหรอคะวันนี้ พ่อเอากุญแจรถสำรองให้เอื้อนก็ได้ค่ะเดี๋ยวเอื้อนขับรถไปเอง” เอื้อนจันทร์เรียกชายตรงหน้าว่าพ่อมาตั้งแต่เด็ก เพราะเธอเองก็จำหน้าคร่าตาพ่อที่แท้จริงไม่ได้มานานแล้ว
“ทางมันชันเราขับรถยังไม่แข็งมันอันตราย พ่อไปส่งก็ได้ไม่เป็นไรลูก ใส่ชุดนักศึกษาแล้วน่ารักขึ้นเป็นกองเลยลูกพ่อ” พ่อเลี้ยงกล่าวชมลูกสาว ในชุดนักศึกษาความยาวกระโปร่งเหนือเข่า ผมยาวสลวยดัดลอนใหญ่ให้เข้ากับรูปหน้า
วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียนที่หนึ่งของนักศึกษาปีที่สองอย่างเธอ คณะสาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยชื่อดังในตัวเมือง ทว่าเธออยากจะเช่าหออยู่ใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่าแต่พี่ทิศเหนือค้านหัวชนฝา ให้เธอไป-กลับโดยพี่เหนืออาสาจะไปรับส่งเอง เพราะผู้เป็นพี่ผ่านการเรียนมหาลัยมาก่อนจึงรู้ว่าเด็กสาวที่อยู่หอ มักจะชอบแอบพาผู้ชายมานอนค้างที่ห้อง และไม่ต้องสืบว่าพี่เหนือรู้ได้ยังไง รายนี้ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าคงกลัวบาปกรรมจะมาตกที่น้องสาว ทิศเหนือผู้ขึ้นชื่อว่าหวงน้องสาวมีหรือจะยอมให้เอื้อนจันทร์เช่าหออยู่คนเดียว ไม่มีทางซะหรอก แน่นอนว่าแม่พิไลก็เห็นดีเห็นงามด้วย
“ก็ลูกสาวพ่อนี่นา” เอื้อนจันทร์หมุนตัวโชว์บิดาหนหนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองต้นเสียงที่ดึงดูดความสนใจ
แอ๊ด...
เสียงประตูบานไม้ถูกเปิดออกเผยเจ้าของร่างสูงโปร่งในสภาพเหม็นเคล้ากลิ่นสุราตลบอบอวล สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวหลุดลุ่ย บริเวณคอปกมีรอยลิปสติกสีแดงฉานฝากฝังทิ้งรอยเอาไว้ทั่วคอเสื้อ กางเกงยีนส์ทันสมัย บ่งบอกว่าตั้งแต่กลับมายังไม่ได้อาบน้ำก็กระโจนขึ้นเตียงนอน ใบหน้าหล่อตี๋ปรือตามองน้องสาวก่อนจะเอ่ยบอกเสียงเรียบนิ่ง เขาสัญญาว่าจะไปส่งเอื้อนจันทร์แต่กลับตื่นสาย ไม่พ้นต้องโดนยัยตัวจี๊ดบ่นจนหูชา
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง ขอไปอาบน้ำแป๊บนึง”
“......” เอื้อนจันทร์เห็นสภาพพี่ชายจึงอดใจไม่ไหว ถลกกระโปรงนักศึกษาก่อนจะวิ่งยกขายันถีบพี่ชายเต็มแรง คนพึ่งตื่นหรือจะสู้แรงเธอ ทิศเหนือล้มหงายหลังเสียงดังตึ้ง ร้องโอดโอยอยู่กับพื้นบ้าน
โครม!!!
“พี่เจ็บนะยัยเอื้อน!”
ทิศเหนือผงกศรีษระขึ้นมามองน้องสาวตัวดีของเขา ก่อนจะยันกายลุกขึ้นมานั่งครึ่งท่อน เขายังแฮงก์จากฤทธิ์แอลกลอฮอล์ที่ดื่มไปหลายขวดไม่หาย
“เรียนจบแล้วยังทำตัวแบบนี้เอื้อนไม่บิดหูพี่เหนือก็บุญเท่าไหร่แล้ว เร็วเข้ารีบไปอาบน้ำแล้วรีบไปส่งเอื้อน จะสายแล้วเนี่ย...” คนน้องเร่งเร้าพี่ชาย ดวงตากลมเหลือบมองเข็มนาฬิกาอย่างเร่งรีบ
“บ่นเป็นยายแก่เลยนะเอื้อน เมื่อคืนวันเกิดไอ้นาทีพี่กะจะไปแค่แปบเดียวแต่พวกมันไม่ยอมให้กลับ” ทิศเหนือบ่นพึมพำ เขารีบเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะโดนเอื้อนจันทร์คาดโทษไปมากกว่านี้
พ่อเลี้ยงแม้นเมืองมองสองพี่น้องที่ทะเลาะเบาะแว้งแบบนี้มาตั้งแต่ยังเด็กพลันลอบยิ้ม เอื้อนจันทร์ที่อายุน้อยกว่ากลับมีความคิด คำพูดคำจาเหมือนผู้หลักผู้ใหญ่ไม่มีผิด ส่วนเจ้าทิศเหนือที่ดูจะยอมน้องฝ่ายเดียวตลอดมาก็เป็นเช่นนี้ตั้งแต่สองคนนี้เจอกันครั้งแรก โชคดีที่เขามีเอื้อนจันทร์คอยกำราบเจ้าทิศเหนือ มิเช่นนั้นเส้นเลือดในสมองเขาคงแตกตายเสียก่อน
สองพี่น้องรีบเข้าไปร่ำลาพ่อแม่พร้อมหอมแก้มซ้ายขวาอย่างเป็นประจำทุกวันที่ร้านขนม ก่อนจะขึ้นรถเก๋งสี่ประตูคันใหม่ที่พ่อพึ่งถอยให้ทิศเหนือเป็นของขวัญวันเรียนจบปริญญาตรี ทันทีที่เอื้อนจันทร์หย่อนสะโพกนั่งลงข้างคนขับ ทิศเหนือจึงเอ่ยทักท้วงทันที
“ยัยเอื้อนฉีดน้ำหอมหรอ?” ทิศเหนือเอียงใบหน้าสูดดมน้องสาวพลางทำจมูกฟึดฟัด คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสงสัยน้องสาวที่เข้าสู่วัยสาว
“เอื้อนไม่ได้ฉีด แต่เอื้อนเหม็นขี้ห่าเหล้าจากตัวพี่เหนือ อาบน้ำมาจริงปะเนี่ย...” เอื้อนจันทร์ยกฝ่ามือบีบจมูกรั้นของตนเอง แสร้งทำหน้าอยากจะอาเจียน กลบเกลื่อนความจริงว่าเธอนั้นแอบฉีดน้ำหอมไปเรียนจริง ๆ กะอีแค่น้ำหอมทำไมพี่เหนือต้องห้ามเธอไม่เข้าใจ
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องให้ยาก พี่รู้ทันเราหรอกยัยเอื้อนไปเรียนนะไม่ได้ไปหาผัว” ทิศเหนือส่ายหน้าเอือมระอา เป็นจังหวะเดียวกันที่รถเก๋งเคลื่อนตัวขับออกจากเรือนกาแล
“แค่ฉีดน้ำหอมคงไม่ทำให้เอื้อนมีผัวขึ้นมาในพริบตาเดียวซะหน่อยพี่เหนืออย่าเวอร์ เอื้อนยี่สิบแล้วนะคะเข้าคลับได้แล้วจะมีแฟนก็ไม่แปลก”
“ไหนแฟน…” ทิศเหนือถามจี้จุดน้อง
“มีเดี๋ยวก็เห็นเองนั่นแหละ ชิ!”
ดวงตากลมโตทอดมองทิวทัศน์ธรรมชาติสีเขียวขจีเต็มสองข้างทาง สองแขนเกาะขอบประตู ท้องฟ้ามืดครึ้มเริ่มปล่อยละอองฝนเม็ดเล็กโปรยปรายลงมาเป็นทางยาว เสียงที่ปัดน้ำฝนครูดครืดปัดเม็ดฝนที่เกาะกลุ่มบนแผงกระจกด้านหน้ารถ ผสานเสียงเครื่องยนต์ที่กำลังออกตัว คลอคลื่นวิทยุหมุนวงเปิดเพลงสบายหู
“เลิกเรียนพี่จะมารับตรงเวลาเข้าใจมั้ยยัยเอื้อน”
“โอเคค่าคุณพ่อ แต่ตอนเย็นพาเอื้อนไปเดินถนนคนเดินหน่อยได้มั้ยพี่เหนือ”
“ได้สิ”
สองมือแน่งน้อยที่เคยเกาะเกี่ยวริมประตูผละห่างออกมา ดวงตากลมโตเบนมองเบื้องหน้าแทนริมทาง ทางสามแพร่งที่เคยมีข่าวรถสิบล้อชนประสานงานกับรถกระบะเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้มีเครื่องเซ่นไหว้อาหารคาวหวานนำมาวางไหว้สัมพเวสี เงาตะคุ่มสีดำกลิ่นอับลอยโชยเล็ดลอดเข้ามาในตัวรถทำให้เอื้อนจันทร์ต้องเบนหน้าหนีภาพสัมพเวสีรุมกินของเซ่นไหว้ท่าทางตะกละมูมมาม
“เห็นอีกแล้วหรอ” ทิศเหนือถามน้องสาว
“อืม...ขากลับอย่าขับรถเร็วนะพี่เหนือ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะระวัง”
และใช่เธอเป็นคนที่มีสัมผัสที่หกมองเห็น รับรู้ และได้กลิ่นของดวงวิญญาณพวกนี้มาตั้งแต่เกิด ทุกคนในครอบครัวทราบดี อาการเริ่มชัดขึ้นตอนที่เธออายุแปดขวบ เธอเริ่มทักและพูดคุยกับดวงวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้น แม่พิไลสังเกตเห็นเอื้อนจันทร์ชอบยืนคุยคนเดียวนอกบ้านเวลาโพล้เพล้ ทุกครั้งที่เอื้อนจันทร์มีอาการแปลก ๆ กลางดึกเธอจะต้องจับไข้จนตัวสั่นตลอดเวลา
ครั้นพาไปหาหมอตรวจเช็คอาการก็ปกติดีทุกอย่าง พึ่งวิทยาศาสตร์ไม่ได้ คนเป็นแม่ก็เลยหันไปพึ่งหมอดูที่เขาว่าแม่นนักแม่นหนา ได้ความมาว่าเอื้อนัจนทร์เป็นเด็กมีสัมผัสที่หก ยามจิตเปิดวิญญาณเร่ร่อนสามารถสิงสู่ร่างได้ แต่เพราะมีกลิ่นอายพญาคชสารตนหนึ่งคอยปกปักษ์คุ้มภัย สัมพเวสีเร่ร่อนจึงทำได้เพียงพูดคุยขอความช่วยเหลือ หากจะเป็นการดีให้ปิดดวงตาที่สาม หาก
“คนเก่าเขาหวงนักเน้อ นี่คอยตามติดดูแลตั้งแต่เกิดเลยนี่แม่พิไล ชาตินี้ไม่ได้แต่งงานหรอกเขาไม่ยอม ที่แม่พิไลได้พบรักกับพ่อเลี้ยงก็เพราะเขาผู้นั้นแหละ ไม่ใช่พ่อเกิดเหมือนที่แม่พิไลเข้าใจ นี่คู่เก่าเขารักมากเลยด้วย ปกติไปดูหมอไหนเค้าก็ทำนายให้ไม่ได้เพราะท่านปิดตาไว้ คงได้เวลาแล้วกระมังท่านจึงยอมให้ฉันทำนายตรวจดวงชะตา...” แม่หมอญาณทิพย์ตรวจพื้นดวงชะตาของเด็กหญิงวัยแปดขวบ จึงได้ล่วงรู้ความลับอันน่าอัศจรรย์ของใครบางคน
“ช้างตัวนั้นน่ะหรอแม่หมอ”
แม่พิไลมีสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าความรู้สึกตีกันสับสนวุ่นวาย ทุกครั้งที่เกิดปัญหาหรือมีเรื่องขัดสน ช้างพลายตนนั้นมักจะปรากฎรอบตัวให้เธอเห็นตลอดหรือในความฝันของเธอจะเป็นชายผู้นั้น
“ท่านไม่ใช่ช้างธรรมดาหนาแม่พิไล”
“แล้วอะไรเล่าแม่หมอ”
“ท่านไม่ให้บอก... ท่านฝากมาบอกว่านางยี่สิบเมื่อใดเราจักได้พานพบกันอีกครา”
“ท่านจะมาพรากลูกไปจากฉันหรอแม่หมอ” แม่พิไลยกมือทาบอกตน คำว่าพานพบกันอีกคราของเขาผู้นั้นหมายความว่าอะไรแต่ฟังดูแล้วน่าเป็นกังวลไม่น้อย
“ไม่ได้มาพรากเพียงหวนกลับมาใช้ชีวิตเคียงคู่เอื้อนจันทร์จนกว่าเธอจะหมดอายุขัยแล้วกลับไปเกิดในที่ที่เธอจากมา” แม่หมอเงยหน้าสบดวงตาสีนิลเฉี่ยวคู่นั้นที่มาปรากฎกายด้านหลังแม่พิไล สื่อสารผ่านตัวกลางอย่างเธอ ชายร่างมหึมาพยักหน้าเพียงนิดขอบคุณแม่หมอก่อนจะสลายหายตัวลงต่อหน้าอีกครั้ง