ไม่รู้สึกหวั่นไหวบ้างเหรอ

1716 คำ
ผมตื่นก่อนวิปครีม น่าจะสักเจ็ดโมงกว่าๆ แต่ก็ยังไม่ได้ปลุกเธอ ผมชอบมองแก้มใสๆ ของเธอเวลาไม่แต่งหน้า ปกติวิปครีมแต่งหน้าตลอด แม้จะไม่แต่งจัดจ้านแต่เธอก็รองพื้นปิดผิวตัวเองได้เนียนกริบ ไม่รู้แต่งแบบไหนที่ทำให้ตัวเองน่ามองน้อยลงกว่าเวลาไม่แต่ง ทั้งๆ ที่แต่งหน้าให้คนอื่นเก่งออก...แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่มีใครมาอยากมองของผม ขนตายาวมากแต่ไม่งอนเท่าไรมันน่ามองมากสำหรับผม ในดวงตาเธอดูน่าค้นหา...ซึ่งอาจเพราะเธอน่าค้นหาจากภายในนั่นแหละ เปลือกตาเธอเปิดเล็กๆ เหมือนริมฝีปากที่เผยอหน่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะรู้ว่าผมแอบมองหรือเปล่าถึงยิ่งเหมือนเชิญชวนให้อยากก้มไปจูบหนักๆ สักที...อันหลังผมใส่ร้ายเธอ ชอบมองวิปครีมเวลาหลับอะ เธอไม่ห่างเหินเย็นชาเข้าถึงยากเหมือนตอนตื่น ตัวเธอก็เล็กๆ เด็กน้อยแค่นี้เอง “อืม” เธอเผยอปากครางเหมือนรำคาญ มาอึมมาอามยั่วอะไรกันอีกไม่รู้ ผมต้องขยับตัวออกห่างเล็กน้อยเมื่อเปลือกตาเธอขยับ แล้วก็ลืมตาขึ้นจริงๆ เธอมองผมอย่างงงๆ ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะดึงแขนตัวเองออกแต่ผมก็ยังกอดเธอไว้ วิปครีมมองผมนิ่งๆ เหมือนกดดันแต่ผมก็ลอยหน้าลอยตากอดต่อ...แต่สุดท้ายวิปครีมก็ไม่ได้ลุกนะ ยังอยากนอนต่อเหมือนกันแหละน่า “วันนี้แกไปไหนมั้ย” ผมถามเธอก่อน “ไม่อะ ขี้เกียจ” “งานเริ่มกี่โมงนะ” วันนี้มีงานอีเวนต์ตอนเย็นหนึ่งงาน “หนึ่งทุ่ม แต่งตัวแล้วไปงานเลย จริงสิฉันลืมบอกแกลองชุด” วิปครีมเหมือนเพิ่งนึกได้แล้วทำท่าจะลุกอีก ผมต้องกอดเอาไว้อีกครั้ง นานๆ ทีจะตื่นมาทันได้กอด “ฉันลองแล้ว สูทสีฟ้าแบรนด์K ที่แขวนอยู่ในตู้ใช่ไหม แกเคยบอกแล้วว่างานนี้ใส่แบรนด์นี้” “แกเข้าไปลองในห้อง” “อืม ก็จำได้ ถึงไม่ลองก็ใส่ได้อยู่แล้วน่า แกก็คงดูให้ฉันแล้ว” วิปครีมขมวดคิ้ว สีหน้าเธอดูไม่โอเค “นี่แกถึงกับต้องเดินไปเปิดตู้หาเสื้อมาลองเอง รู้สึกทำงานพลาดยังไงไม่รู้แฮะ” ปกติเธอเป๊ะตลอด วิปครีมน่าจะมีเรื่องให้คิดจริงๆ แหละช่วงนี้ แต่เรื่องแค่นี้สำหรับผมมันไม่ใช่ปัญหาเลย ปกติวิปครีมส่งกำหนดการต่างๆ ให้ผมดูล่วงหน้าอยู่แล้ว พอใกล้ถึงวันก็ค่อยเตือนอีกที “ให้ฉันหักเปอร์เซ็นต์แกเป็นอะไรดี” ผมหรี่ตามองคนที่ยังทำหน้าเครียดอยู่ แน่นอนว่าวิปครีมรู้ว่าผมถือโอกาสเต๊าะเธออีกแล้ว มันดูนิสัยเสียใช่ไหมล่ะ แต่ก็เหมือนรู้กันว่าวิปครีมไม่ได้อึดอัดหรือรู้สึกกลัวกับการที่ผมชอบพูดสองแง่สองง่ามแบบนี้กับเธอ ส่วนผมก็เต๊าะไปเรื่อยๆ เผื่อวันหนึ่งเธอรำคาญแล้วยอมผมจริงๆ แต่ก็ห้าหกปีแล้วนะ...ปีนี้แหละผมว่า ไม่ให้รอดไปนานกว่านี้แน่ๆ ไอ้พี่ต้นนั่นก็จบๆ กันไปแล้ว วิปครีมขยับตัวออกจากผมเล็กน้อย ผมไม่ได้ขัดขืนเธอเมื่อเห็นแล้วว่าเธอไม่ได้จะลุกไปไหน แค่ขยับให้สบายตัว “ขอหักตอนนี้เลยได้ไหม” ผมถามทั้งเอามือไล้ผมเธอเล่น เหน็บที่หูอย่างอ้อยอิ่ง ทั้งอ้อนทั้งยั่วสุดๆ แล้วนะ แต่วิปครีมก็ทำหน้าเบื่อๆ ใส่ผม ไม่คิดจะเคลิ้มบ้างเลย “เอาไว้ก่อน” คำตอบของเธอทำให้ผมตาโตขึ้น ดูมีความหวังขึ้นมา “หมายถึงให้หักวันหลังใช่ไหม” แต่รอยยิ้มขำๆ ของเธอก็ทำให้ผมรู้ว่าโดนเธอแกล้ง ผมพลิกตัวนอนหงาย ทำเป็นถอนหายใจแรงๆ เหมือนเด็กถูกขัดใจ “เฮ้อ วิป แกก็ปั้นฉันมากับมือให้น่ากินขนาดนี้ ไม่รู้สึกหวั่นไหวบ้างเหรอ” ผมชอบบรรยากาศเช้านี้จัง วิปครีมดูอารมณ์ดีผ่อนคลายกว่าหลายๆ วัน เจ้าตัวไม่ตอบอะไรกลับมาอีก เธอเงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง เป็นอันเข้าใจว่าให้ผมหยุดแทะโลมเธอได้แล้ว “ปลื้มเรื่องหนังที่คุยๆ อยู่ฉันอ่านบทแล้วนะ” “หืม ดีไหม” “ฉันว่าบทมันหนักไป ฉันกลัวแกไม่ไหว” ผมยังคิดไม่ออกว่าหนักในแง่ไหน แต่วิปครีมดูไม่อยากให้ผมเล่น “แต่ปีนี้ทำงานน้อยมากแล้วนะ รับเถอะ ค่าตัวเยอะนี่” ถึงจะไม่ใช่ค่ายดังมากแต่ทีมที่ทำหนังก็น่าร่วมงาน วิปครีมก็เคยทำงานเบื้องหลังด้วย คุยกับพี่ๆ ว่ามีหนังที่อยากให้ผมเล่น รู้คร่าวๆ ว่าเป็นแนวสยองขวัญ แต่บทยังไม่ลงตัว ให้ค่าตัวผมมาสูงด้วย “แกร้อนเงินเหรอ” ผมน่ะไม่ร้อนหรอก แต่วิปครีมน่ะบางทีก็มีเรื่องให้ต้องใช้เงิน พอจะเก็บเงินได้บ้างก็มีเรื่องให้ต้องเสียเงิน ไม่ว่าจะเป็นทางพ่อหรือแม่ของเธอ “อืม ร้อน รับเถอะอยากทำงาน คุยกันกับพี่กันต์ก็น่าสนใจดี ส่งบทมาเลยเดี๋ยวอ่าน” ยังไงก็ไม่มีอะไรทำแล้วตอนนี้ วิปครีมบอกขี้เกียจจะไปไหน ผมก็ไม่อยากไปเหมือนกัน “อืม เดี๋ยวไปเอาโทรศัพท์ แล้วข้าวเช้าออกไปกินข้างนอกไหมหรือให้ฉันทำอะไรให้กิน” “เดี๋ยวค่อยกินก็ได้” “แกควรกินมื้อเช้า” ผมก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ ปล่อยให้วิปครีมลุกจากเตียงสักทีเพราะรู้ว่ามันถึงเวลาที่เธอจะหาข้าวเช้าให้ผม ถ้าวิปครีมอยู่ด้วยเธอก็ดูให้หมดแหละเช้าเที่ยงเย็นกินอะไร ช่วงไหนที่ต้องคุมน้ำหนักก็จะดูแลแบบพิเศษ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น สักพักวิปครีมก็ส่งบทหนังมาให้ผม ผมเปิดอ่านทันทีคิดว่าอ่านคร่าวๆ ก่อนไปอาบน้ำก็น่าจะพอดี พอเริ่มอ่านไปได้นิดเดียวผมก็เริ่มจะเข้าใจว่าทำไมวิปครีมถึงไม่เชียร์ให้ผมรับงานนี้ ทั้งๆ ที่ค่าตอบแทนสูง ทีมทำงานก็น่าร่วมงาน มันไม่ใช่แค่บทหนักอย่างเดียว แต่เป็นบทที่ผมอ่านแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก อ่านแล้วเห็นชีวิตตัวเองในตอนเด็ก แต่ตัวเอกในเรื่องไม่ได้โชคดีแบบผมในตอนนั้น วิปครีมเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง น่าจะราวๆ หนึ่งชั่วโมง เธอคงทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็อาบน้ำใส่ชุดใหม่ เวลาอยู่ห้องวิปครีมยังชอบใส่เสื้อตัวใหญ่ กางเกงขาสั้นที่บางทีก็ซ่อนอยู่ในชายเสื้อตัวยาว แต่ถ้าออกไปข้างนอกเธอจะใส่กางเกงยีนส์แทน…ไม่มีใครมีโอกาสได้เห็นเรียวขาขาวๆ ของเธอเหมือนผมหรอก “อ่านบทแล้ว” เธอถาม “อ่านละ” “แล้วเป็นไง โอเค” “โอเคเลย บทดี วิป มากอดหน่อย” ผมอ้าแขนรอเธอเหมือนเมื่อคืน แต่ต่างกันแค่ครั้งนี้ผมเองที่อยากกอดเธอ วิปครีมเลิกคิ้วขึ้น เธอเดินมาหา ก้าวขึ้นเตียง “กอดอีกละ” เธอทำเป็นบ่น แต่ยอมทิ้งตัวให้ผมกอด “ให้ฉันกอดหน่อยน่า ตอนเด็กแม่ไม่กอด” ผมพูดติดตลกแต่มันก็มาจากความจริง ผมจำความรู้สึกดีๆ กับอ้อมกอดของแม่ไม่ได้ ส่วนกับพ่อ...คือพ่อกับแม่ผมเขาไม่ได้วางแผนที่จะใช้ชีวิตด้วยกันเป็นครอบครัวตั้งแต่แรก เป็นความสัมพันธ์แบบที่ถึงวันหนึ่งก็ต่างคนต่างไป เขาไม่ได้ตั้งใจให้ผมเกิด และมันเหมือนกับว่าการมีผมมันทำให้พ่อเลิกข้องเกี่ยวกับแม่ไปเลย ผมอยู่กับแม่ตั้งแต่เกิด แต่พ่อก็ดูแลผมไม่ได้ทิ้งขว้าง แต่แม่น่าจะรักพ่อมากและไม่สามารถที่จะยอมรับการทอดทิ้งนั้นได้ การอยู่กับแม่มันเลยค่อนข้างเลวร้าย พ่อเลยพาผมมาอยู่กับเขาตอนผมอายุสิบสอง...พ่อผมดูแลผมดีมาตลอดนะ แต่มันก็เหมือนมีระยะห่าง กับน้องๆ อีกสามคนก็เหมือนจะเข้ากันได้ดี แต่ก็ไม่สนิทใจ ผมเพิ่งมารู้สึกว่าการได้กอดและถูกกอดมันโคตรดีเลยก็เพราะกอดของวิปครีมนี่แหละ ตั้งแต่ที่เธอเริ่มมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว ผมเริ่มรู้สึกอยากกอดเธอทั้งในเวลาที่ดีมากๆ หรือเหนื่อยสุดๆ แล้วพออยู่กันมาเรื่อยๆ ก็กลายเป็นติดกอดเธอเลย จากแค่กอดให้กำลังใจ กอดปลอบใจ มันก็กลายเป็นนอนกอดได้ทั้งคืน...ไม่เคยรู้สึกอยากกอดใครแบบนี้จริงๆ นะ “ไม่รับก็ได้นะ” “หืม รับสิ บทดีออก เล่นดีๆ มีสิทธิ์เข้าชิงรางวัลเลยนะ” พอได้เข้าวงการจริงๆ ผมก็สนุกกับการทำงานนะ โดยเฉพาะงานแสดง มันก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในอาชีพที่นอกเหนือจากเรื่องเงิน “อืม ก็ตามใจ” สุดท้ายเธอก็ยอมรับการตัดสินใจของผมอยู่ดีนั่นแหละ “วิป ถ้าวันนั้นแกไม่เข้าไปช่วยฉันออกมา แกว่าจุดจบมันจะเป็นแบบหนังเรื่องนี้ไหม” “แกออกมาตั้งนานแล้วปลื้ม นี่มันแค่หนังเรื่องหนึ่ง” เราจะเป็นนักแสดงที่ดีได้ก็ต่อเมื่อเชื่อในตัวละคร เป็นหนึ่งเดียว นั่นคือสิ่งที่ผมถูกสอนมา ซึ่งบางครั้งบทละครมันก็ส่งผลกับชีวิตส่วนตัว ส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด จิตใจที่บางทีมันแยกไม่ออก ที่ผ่านๆ มามันก็มีปัญหาอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เรื่องนี้ผมก็คิดว่าคงไม่เป็นไร แม้จะรู้สึกเหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตั้งแต่อ่านบท
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม