เป็นฉันไม่ได้เหรอ

2313 คำ
ปลื้มพูดทีเล่นทีจริงไปตามเรื่องนั่นแหละ แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าถ้าฉันเพียงแค่เผลอพยักหน้าเขาจะรีบตะครุบและลากฉันขึ้นเตียงทันทีแบบลืมไปเลยว่าตัวเองแค่พูดเล่นน่ะ เขาไว้ใจได้เสมอ…แต่อย่าเผลอเชียว ฉันถอนหายใจ แล้วก็ไล่เขากลับห้องแบบจริงจังอีกครั้ง “ฉันเป็นเพื่อนเล่นแกเหรอปลื้ม กลับห้องแกไป ฉันจะทำงาน” ปลื้มทำหน้างอแบบที่คิดว่าทำแล้วจะน่ารักล่ะมั้ง “ไม่ใช่เพื่อนเล่นแต่ถ้าได้เล่นเพื่อนมันก็อาจจะดี” “ปลื้ม” ฉันเรียกเขาเสียงดัง เริ่มจะหงุดหงิดแล้วเหมือนกันเมื่อเขาดูเล่นไม่เลิก ปลื้มทำเป็นคอตก “ไม่ได้เจอแกตั้งสามวัน มาถึงแกก็หนีเข้าห้องเลย” มาทำงอแงใส่ฉันอีก แต่ฉันก็รู้นั่นแหละว่าปลื้มคงอยากคุยด้วย เขาคงรู้ว่าฉันน่าจะไปเจอปัญหาน่ารำคาญที่บ้านมา...แต่ฉันก็ไม่ได้อยากเล่าอะไรให้เขาฟัง เขามองเหมือนอยากให้ฉันพูดอะไร แต่พอฉันเงียบเจ้าตัวก็ยิ่งหน้างอ แล้วก็ลุกจากเก้าอี้เหมือนงอนฉันเสียอย่างนั้น “เออ ไม่กวนแกแล้ว แกทำงานเถอะ” สะบัดก้นเดินออกจากห้องไปเลย ฉันได้แต่ส่ายหน้าระอา ถอนหายใจ ฉันรู้ว่าปลื้มอยากคุยด้วยนั่นแหละ แต่ฉันไม่อยากคุยกับเขาจริงๆ ฉันเลิกสนใจเรื่องปลื้ม หันมาดูหน้าจอโน้ตบุ๊ก แล้วก็เปิดแชตคนที่ฉันอยากคุยด้วยในเวลานี้ แต่ทันทีที่เปิดกล่องข้อความขึ้นแล้วเห็นว่าเขาส่งข้อความทิ้งไว้ก็ลืมเรื่องที่อยากคุยกับพี่ต้นไปเลย พี่ต้น : ครีม พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย ถ้าว่างแล้วทักหาพี่ด้วยนะ หัวใจฉันวูบโหวง มันดูจริงจัง ซึ่งมันไม่น่ามีเรื่องอะไรที่จริงจังสำหรับฉันกับเขาถ้าไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราสองคน วิปครีม : ค่ะ พี่มีอะไรอยากคุย ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้คนที่อยู่ญี่ปุ่นจะว่างมาตอบฉันหรือไม่ แต่ก็รอการเคลื่อนไหวจากเขา ราวๆ สามนาทีพี่ต้นก็ตอบกลับ พี่ต้น : ครับ พี่ขอโทษนะครีมที่ต้องคุยกับครีมเรื่องนี้ พี่ต้น : พี่เจอผู้หญิงคนหนึ่งที่พี่อยากหยุดที่เขาแล้ว แล้วเราไม่ควรคุยกันต่อไป วิปครีม : ค่ะ สมองฉันว่างเปล่าแต่ก็หนักอึ้ง และมือก็ไวมาก ฉันพิมพ์ตอบกลับเขาไปทันที พร้อมกับบล็อคการสื่อสารระหว่างเราสองคน ฉันรู้สึกเคว้งเหมือนกัน วันนี้ฉันมีเรื่องมากมายอยากเล่าให้เขาฟัง แต่...ไม่มีเขาอีกแล้ว ฉันลุกจากโต๊ะทำงานตัวเอง เปิดประตูห้องออกไปแล้วไปเปิดประตูอีกบานที่ไม่ได้ล็อก ปลื้มหันมามองฉัน ไม่รู้ฉันทำสีหน้าแบบไหนเขาถึงคิ้วขมวดขนาดนั้น ไม่ได้รอให้เขาถาม ฉันบอกจุดประสงค์ที่เข้ามาหาเขาเอง “นอนด้วยนะ” ไม่ใช่แค่ปลื้มหรอกที่ชอบมาขอนอนด้วยเวลาที่เขานอนไม่หลับ ฉันเองก็ด้วย ถึงจะไม่บ่อยเท่าเขาก็ตาม “มาสิ” ไม่ใช่แค่เรียกด้วยคำพูด คนที่นอนบนเตียงยังอ้าแขนรับให้ฉันทิ้งตัวลงกับเขา ปลื้มโอบไหล่ฉัน เราเงียบกันไปชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะเป็นคนถามก่อน “ที่บ้านมีปัญหาอะไรหรือเปล่าวิป ฉันช่วยอะไรได้ไหม” “ฉันเหนื่อยมากอะปลื้ม ฉันแค่อยากบอกใครสักคนว่าฉันเหนื่อยมาก แต่ไม่มีใครให้ฉันบอกได้เลย” “วิป...เกิดอะไรขึ้น” “เขาบอกเลิกฉันแล้วนะปลื้ม...เรียกว่าบอกเลิกได้ไหม ไม่ได้เป็นอะไรกัน” “พี่ต้น” “อืม เขาบอกว่าเขาเจอผู้หญิงที่เขาอยากหยุดแล้วน่ะปลื้ม เขาเลยขอให้เราเลิกคุยกัน” ฉันรู้สึกว่าปลื้มดูไม่พอใจ เขาเงียบแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะบอกกับฉัน “แกไม่ควรอยู่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้ววิป คนที่นอกใจแก มีคนอื่นไปทั่วน่ะ” ปลื้มพูดในมุมที่เขารู้ แต่ระหว่างฉันกับพี่ต้นมันมีอะไรมากกว่านั้น “มันไม่ใช่แบบนั้น เขาไม่ผิดอะไร” “แกก็เข้าข้างเขาตลอด” น้ำเสียงนั้นแน่นอนว่าไม่พอใจ แล้วก็ติดงอนฉันอยู่หน่อยๆ ฉันถอนหายใจก่อนจะเล่าสิ่งที่ไม่เคยบอกเขา “ฉันคุยกับพี่ปลื้มก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นไม่นาน ยังไม่ได้ตกลงคบกันจริงจังเลยปลื้ม พอเขาไปที่นู่นเราก็ยังคุยกัน เหมือนจะจีบกันต่อ จนตกลงกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์” ฉันเงยหน้ามองปลื้มแบบที่รู้ว่าเขาคงมองฉันอยู่ก่อนแล้ว คิ้วเข้มขมวด สายตาเต็มไปด้วยคำถาม “เราไม่ได้ตกลงที่จะเป็นแฟนกัน พี่ต้นบอกว่าเขาจะต้องอยู่ที่ญี่ปุ่นอีกอย่างน้อยห้าปี เขาอาจจะมีคนอื่น และฉันก็อาจจะมีคนอื่น ถ้าวันหนึ่งเขากลับมาแล้วเรายังไม่มีใคร เราก็ค่อยคุยมาคุยกันอีกทีว่ายังอยากเป็นแฟนกันไหม” “แต่แกก็รอเขา” “ฉันไม่ได้รอ” “แกไม่เคยมีคนอื่น” “ฉันแค่ไม่อยากมี” “แกรักเขามากขนาดนั้นเลย” “ไม่ได้รัก” ไม่รู้ว่าทำไมเราสองคนถึงมาทะเลาะกันกับอะไรแบบนี้ ปลื้มชะงักไป สายตาเขาดูมีประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง ชั่วอึดใจปลื้มถึงปรับสีหน้าแล้วถามฉันต่อ “แล้วทำไมแกเสียใจที่เขาบอกเลิก” “ก็คุยกันมาตั้งห้าหกปีมันก็ผูกพัน ใจหาย เคว้ง ฉันไม่เคยคุยกับใครได้เหมือนที่คุยกับเขา” “ฉันล่ะวิป ฉันก็อยู่กับแกตรงนี้ ทำไมแกคุยกับฉันไม่ได้” ปลื้มเหมือนตัดพ้อ ฉันรู้ว่าปลื้มก็คงอยากให้ฉันคุยกับเขามากกว่าที่จะไปคุยกับคนอื่น แต่มันไม่เหมือนกัน มันเหมือนมีช่องว่างบางอย่างระหว่างเราสองคน เราอยู่ใกล้กันแค่นี้ ฉันรู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัยกับการมีเขาอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่เคยรู้สึกอยากคุยอะไรหลายๆ อย่างกับเขาเหมือนที่คุยกับพี่ต้น กับพี่ต้นยิ่งอยู่ไกลก็ยิ่งสบายใจที่จะคุยมากกว่า บางทีถ้าเขายังอยู่ไทยฉันอาจเลิกกับเขาตั้งแต่ปีแรก “คุยกับฉันก็ได้นี่วิป” ปลื้มพูดเสียงอ่อนลง เหมือนขอร้องให้ฉันคุยกับเขาได้แบบที่คุยกับพี่ต้น “ฉันไม่อยากเอาปัญหามาให้แกปวดหัวด้วย” มันก็แค่เหตุผลหนึ่ง แต่ที่เหลือมันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่มีเส้นบางๆ ที่กั้นอยู่ระหว่างเราสองคน “ที่ผ่านมาแกก็ช่วยฉันมาเยอะแล้ว” ฉันรู้ว่าที่ปลื้มอยากทำงานในวงการเต็มตัวก็เพราะอยากช่วยเหลือฉัน และเขาก็ทำงานหนักมากๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ไม่ลองดูล่ะวิป จะได้รู้ว่าฉันรับได้แค่ไหน” ปลื้มไม่เคยเซ้าซี้ให้ฉันพูด ตอนนี้เขาจริงจังกว่าทุกครั้ง แต่ไม่ได้ทำให้ฉันอึดอัด และกำลังคิดว่าหรือฉันสามารถคุยกับเขาได้ “ฉันไม่มั่นใจว่ามันจะทำให้แกรู้สึกแย่ด้วยไปด้วย” “ไม่เป็นไรวิป แกก็เห็นว่าทุกวันนี้ฉันไร้สาระแค่ไหน” ผมเข้าใจว่าวิปอาจจะกลัวว่าเรื่องของเธอมันจะสะกิดความรู้สึกแย่ๆ ของผมในอดีต เพราะเธอรู้เห็นทุกอย่างมาตั้งแต่แรก มันไม่ยุติธรรมเลยใช่ไหมล่ะที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรของเธอเลย ได้รู้เพราะคนอื่นพูดถึงหรือเมาธ์กัน “พ่อกับแม่ฉันเลิกกันตอนฉันยี่สิบ ฉันแก่พอที่จะเข้าใจสถานการณ์พวกนั้นแล้วใช่ไหมปลื้ม” “แกไม่ต้องรู้สึกผิดที่จะไม่เข้าใจนะวิป” วิปครีมดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ตอนที่เกิดเรื่องวิปครีมเล่าให้ฟังแค่ปัญหาเรื่องภาระทางการเงินที่เธอต้องหาเงินเรียนเอง แล้วต้องช่วยครอบครัว มันอาจจะโตเกินกว่าจะมานั่งระบายความในใจที่พ่อแม่เลิกกันให้คนอื่นฟังแล้วนั่นแหละ...แต่จริงๆ แล้วมันไม่มีใครไม่รู้สึกหรอก ผมที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เกิด...เพราะเขาไม่ได้ต้องการจะมีผมตั้งแต่แรก แม้จะเติบโตและผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาแต่มันก็ยังจำได้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้น “แกเคยได้ยินไหมปลื้มที่เขาบอกว่าถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็แค่เลิกกัน เป็นแค่พ่อแม่ของลูก และคนเป็นลูกอย่างเราก็ต้องเข้าใจในเหตุผลของพ่อแม่ แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ได้เข้าใจได้ง่ายๆ ขนาดนั้น มันเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตหายไป ฉันไม่อยากเข้าใจแต่ก็ต้องเข้าใจให้ได้ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อแม่มีปัญหากัน จนถึงวันที่ชีวิตพ่อเริ่มมีปัญหาและพังครืนลงมา และแม่เลือกที่จะทิ้งพ่อ” เสียงเธอสั่นๆ แล้วสะดุดไป ผมกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย วิปครีมเงียบไปเหมือนต้องการปรับอารมณ์ตัวเอง “แม่บอกว่าพ่อไม่ได้มีสิ่งที่เขาต้องการแล้ว ไม่สามารถซัปพอร์ตชีวิตแม่ได้เหมือนที่เคยสัญญากันไว้ ฉันผิดหวังในตัวแม่น่ะปลื้ม ผิดหวังที่แม่ทิ้งพ่อ เหมือนความรักที่ฉันเห็นมาตลอดมันเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ฉันก็รู้สึกผิดที่โกรธแม่ เพราะเขาไม่เคยบกพร่องในการเป็นแม่ของฉันเลย” ผมรู้ว่าวิปครีมได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากพ่อแม่ของเธอมาตลอด เหมือนกับผมที่แม้พ่อจะไม่ได้สร้างครอบครัวกับแม่ และเขาก็มีครอบครัวของตนเองแต่ก็ไม่เคยทิ้งผม เราเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่อนุบาลที่ค่าเทอมแพงลิ่ว อยากเรียนพิเศษด้านไหนก็ให้เรียนหมด ในการดูแลลูกเขาไม่ได้บกพร่องเลยสักครั้ง “ฉันกลับไปหาพ่อ เพื่อไปเจอสภาพพ่อที่ย่ำแย่ คนที่คิดว่าชีวิตตัวเองล้มเหลว ไม่เหลือความภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่สามารถลุกมาใช้ชีวิต เขาหมกตัวเองในบ้าน อยู่กับเหล้าและสิ่งของเก่าๆ นั่งคุยกับกล้องสิบๆ ตัวของเขา กองนิตยสารที่ได้กลิ่นแล้วฉันรู้สึกหายใจไม่ออก พ่อยังพูดถึงแม่ตลอดแบบที่ฉันรู้ว่าพ่อรักแม่มาก จนถึงวันนี้เขาก็ไม่เคยพูดถึงแม่ในแง่ร้ายเลย แต่พอฉันไปหาแม่ ฉันเจอภาพครอบครัวของแม่ที่มีความสุขแต่ไม่มีพ่ออยู่ในนั้น” ผมกอดเธอแน่นขึ้น มันสะเทือนความรู้สึกข้างใน เหมือนจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ภาพแม่ในอดีตลอยเข้ามาในหัว คนที่จมอยู่กับความผิดหวังในความรักจนไม่เป็นอันทำอะไร ขณะที่พ่อก็มีครอบครัวที่อบอุ่นของเขา “ฉันไม่อยากกลับบ้านเลยปลื้ม ไม่อยากไปหาพ่อ ไม่อยากไปบ้านแม่ ฉันไม่ควรรู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า” “แกทำดีที่สุดแล้ววิป” ลำพังแค่ต้องแบกรับภาระทางการเงินมันก็หนักมากแล้ว ยังต้องทนกับเรื่องที่สะเทือนใจ อยากหนีก็หนีไม่ได้ ผมเพิ่งเข้าใจวิปครีมตอนนี้แหละว่าทำไมเธอถึงไม่อยากอยู่บ้าน ผมเองตอนย้ายมาอยู่กับพ่อแทนอยู่กับแม่ชีวิตมันดีขึ้นมากก็จริง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อยากอยู่ตรงนั้น ครอบครัวพ่อ แม่เลี้ยงและน้องๆ ดีกับผมมากๆ ดีกว่าแม่แท้ๆ ของผมเสียอีก แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา แต่อยู่คนเดียวก็เหงาอีกนั่นแหละ มันสงบแต่ก็อึดอัด ต้องออกไปหาเพื่อนบ้าง และการมีวิปครีมมาอยู่ด้วยมันก็แทนสมการตรงนั้นได้ลงตัว...อยากให้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ เลย “แกเข้าข้างฉันเก่งเกินไปแล้วนะปลื้ม” ผมหัวเราะ ปกติผมก็ไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับวิปครีมอยู่แล้ว ถ้าไม่นับเวลาอยากหาเรื่องกวนเธอเล่นน่ะนะ ถ้าเธอมีปัญหาไม่ว่าจะกับอะไรหรือกับใครก็ตามผมก็ต้องทีมเธออยู่แล้ว ผมก้มหน้ามองคนที่นอนพิงอกผม วิปครีมก็เงยหน้ามองผมเหมือนกัน เราสองคนยิ้มจางๆ ให้กัน วิปครีมดูผ่อนคลายขึ้น ผมใช้มือปัดผมเธอออก เป็นความรู้สึกที่ยังอยากปลอบ อยากคลอเคลีย แล้วก็...วิปครีมใช้นิ้วแตะปากผมไว้ ส่งสายตาปราม นั่นแหละผมถึงรู้สึกตัวว่าอยากจูบจมูกรั้นๆ นั่นสักที “แกนี่มันไว้ใจไม่ได้” เธอบ่น ผมหัวเราะ วิปครีมเองก็มีรอยยิ้มผ่อนคลายแบบคนที่ไม่ค่อยจะยิ้มบ่อยๆ “ฉันกลับห้องละ” “ไม่ให้กลับ” ผมโอบกอดเธอไว้ กดศีรษะเธอแนบอก เหมือน วิปครีมเองก็ซุกหน้าลงกับอกผมด้วย นอนนิ่งๆ ไม่ได้ยืนยันจะกลับห้อง ผมกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย ผมไม่อยากปล่อยเธอออกจากอ้อมกอดนี้เลย เกิดความรู้สึกฮึกเหิมขึ้นในใจแต่ก็ลังเล สิ่งที่ผมทำพลาดไปในอดีตผมจะเปลี่ยนมันได้จริงๆ ใช่ไหม ผมจะกล้าได้แค่ไหน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม