"คุณหนู ฮูหยินกำลังมาเจ้าคะ รีบตื่นเร็วเข้า"
เย่อิ๋งได้ยินเสียงเรียก นางก็สะดุ้งตื่นตัวโยน ดวงตาเบิกกว้างหายใจหอบแรง นางยกนิ้วมือขึ้นอังกับปลายจมูก เพื่อสำรวจลมหายใจของตัวเอง
"มะ มีลมจริงๆ ด้วย ข้ายังไม่ตาย"
"กู้เย่อิ๋ง! เจ้าหมูโง่จอมขี้เกียจ คัดตำราถึงไหนแล้ว" เสียงเข้มดุเอ็ดของสตรีคนคุ้น แต่นานมากแล้ว ที่นางไม่ได้ยินเสียงนี้
"ทะ ท่านแม่"
ไม่ว่าจะเป็นฝันหรือความจริง นางไม่รีรอที่จะฉวยโอกาสชิงกอดอุ่นจากมารดาผู้ยืนอยู่เบื้องหน้า
"ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่าน ข้าผิดไปแล้ว"
นางโผเข้าโอบกอดมารดานางทั้งน้ำตา ความรู้สึกสุดคะนึงทั้งละอายใจ ที่ที่ทำให้บุพการีที่รัก ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวจนต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ชนบทแร้นแค้น
"ข้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกพวกเราอีกแล้ว"
"จะมาไม้ไหนอีก ต่อให้ร้องไห้น้ำตาท่วมต้าฉวนแห่งนี้ เจ้าก็ต้องคัดคัมภีร์อ่านใจของพ่อเจ้าให้เสร็จ"
เมื่อพูดถึงคัมภีร์อ่านใจ ที่บิดานางได้เป็นผู้เก็บรวบรวมจากประสบการณ์ตนเองแล้วนั้น ทำให้สตินางถูกกระชากดึงกลับคืนมาเข้าร่าง เย่อิ๋งหันมองไปโดยรอบจึงรู้ว่าอยู่ในห้องของตน
"ซาซา ปีนี้ปีอะไร"
"รัชศกผิงฉาง ปีที่ 7 คุณหนูถามทำไมหรือเจ้าคะ"
‘หือ! ห้าปีก่อนเกิดกบฏ ก่อนที่ข้าจะตายอย่างอนาถและโดดเดี่ยว ข้า...ข้ากลับมาแล้ว!’
เย่อิ๋งเดินมาหยุดอยู่ที่คำภีร์อ่านใจเล่มหนา นางมองมันน้ำตาคลอด้วยรู้ว่า คัมภีร์เล่มนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น ที่จะเปลี่ยนเส้นชะตาชีวิตนาง มิให้กลับไปมีจุดจบเช่นเดิมอีก
"ท่านแม่วางใจ ข้าจะจัดการตำราทุกเล่ม คัมภีร์ทุกบท เขียนมันทุกตัวอักษร ด้วยมือของข้าเอง ซาซา เจ้าไปดูแลท่านแม่เถอะ ข้าต้องการสมาธิ"
ทั้งซาซา และกู้หน่วน ต่างแปลกใจในท่าทีจริงจังของเย่อิ๋ง แต่ก็เหมือนว่ามันจะเป็นไปในแนวทางที่ดี ทั้งหมดจึงปล่อยให้นางได้ใช้เวลากับตำรากองโตเหล่านี้เพียงลำพัง
ยามจื่อ(23.00-24.59) แสงไฟตะเกียงในห้องของกู้เย่อิ๋งยังคงส่องสว่าง นางคัดตำราแบบไม่กินไม่นอน ดังรีบร้อนจะเป็นปราชญ์ในวันพรุ่งเสียให้ได้
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะดังมาจากข้างนอกหน้าต่าง เย่อิ๋งหันมองแล้วย่องลุกเดินออกไป พร้อมแท่นฝนหมึก
"นั่นใคร?"
"คุณหนู ข้าเอง ซาซา"
เย่อิ๋งลดมือที่เฝ้าระวังลง ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะตำราดังเดิม
"เข้ามาทางประตู ข้าไม่ได้ถูกกักบริเวณ ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ เช่นนั้น" ซาซาเดินอ้อมกลับมาเข้าทางหน้าประตูดังคำบอก มันเป็นความจริงที่นางไม่จำเป็นหลบซ่อน
"ท่านไม่กินอะไรมาทั้งวัน กินขนมไห่ถังหน่อยเถอะเจ้าคะ ข้าซื้อมาจากตลาด"
ทันทีที่ได้เห็นขนมก้อนเล็กสีชมพูนั่นความเจ็บปวดอัดอั้นพลันวิ่งแล่นเข้ามาจุกที่กลางอก นางลุกขึ้นยืนปัดขนมนั้นหล่นตกกระจายตามพื้นห้อง ไม่เหลือชิ้นดี
"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ได้ยินข้าหรือไม่"
เย่อิ๋งหลุดจากภวังค์ความคิดเหม่อลอย มองหน้าสาวใช้ที่ดูไร้เล่ห์เหลี่ยมมารยา อะไรกันนะ ที่ทำให้เด็กสาวใสซื่ออย่างนาง เปลี่ยนเป็นนางมารร้ายไปได้ หากซาซาคงไว้ในความใสซื่อเช่นนี้ได้ตลอดไป ก็คงจะดี
"ขอบใจนะ ที่คิดถึงข้า ขนมนี้ของโปรดเจ้าเลยนี่ กินด้วยกันสิ"
เย่อิ๋งหยิบขนมขึ้นมาแล้วยื่นให้ซาซา แม้จะรู้ดีว่านี่คือความจริงใจ ความเจ็บช้ำในภพก่อน ทำให้นางรู้จักระวังตัวมากขึ้น
"คุณหนูกินเถอะเจ้าค่ะ ข้ากินข้าวมาอิ่มแล้ว"
"กินสิ"
ซาซายืนนิ่ง มองดูขนมที่จ่ออยู่ตรงหน้าอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเปิดเปลือกตามองผู้เป็นนายแล้วยิ้มบาง นางกินขนมนั้นด้วยความปีติ เพราะแต่ไหนแต่ไร สิ่งที่นางจะได้รับจากเย่อิ๋งผู้เป็นนาย ก็คือของเหลือหรือไม่ก็เป็นของที่ไม่ต้องการแล้ว แต่ครั้งนี้มันทำให้นางรู้สึกว่านางเองก็ได้รับการใส่ใจเช่นกัน
เมื่อรู้สึกว่าปลอดภัย เย่อิ๋งจึงยัดขนมเข้าปากให้หมดหายไปในคราวเดียว นางมิได้ใจดีขนาดนั้น แค่ยังไม่อยากไว้ใจ วันทั้งวันนางใช้
เวลาให้หมดไปกับการคัดตำราจนลืมกินดื่ม มารู้ตัวอีกทีก็หิวมากแล้ว
"คุณหนู วางมือก่อนเถอะเจ้าค่ะ หักโหมเกินไปจะเสียสุขภาพเอาได้นะเจ้าคะ ให้ข้าช่วยเถอะ"
"ไม่ต้อง จากนี้ไปเจ้าไม่ต้องคัดตำราช่วยข้าอีกแล้ว ส่วนที่เป็นหน้าที่ของข้า ข้าก็ควรต้องรับผิดชอบจัดการทำมันเอง" ซาซายิ้มบางภูมิใจที่คุณหนูของนางมีความคิดเป็นผู้ใหญ่จริงๆ นางมัวแต่จ้องมองใบหน้างามสะท้อนแสงเทียนจนลืมจุดประสงค์ที่เข้ามาหาเย่อิ๋งไปเลย
"อ้อ ข้าลืมไป คุณหนูดูนี่สิเจ้าคะ"
ซาซาเอ่ยกระซิบกระซาบเสียงเบา ก่อนจะหันมองซ้ายขวาแล้วหยิบดึงเอาแผ่นภาพออกมาจากสาบเสื้อ ภาพกระดาษแผ่นนั้นถูกพับซ่อนมาอย่างดี แม้ยังไม่ได้คลี่เปิดออกดู นางก็รู้ได้ว่านั่นคือภาพอะไร
"ภาพชายงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฉวน ข้าหาเจอแล้วเจ้าค่ะ"
เย่อิ๋งยังคงจดจำความรู้สึกครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี นางดีใจกระโดดโลดเต้นเมื่อได้ครอบครองภาพผืนนี้ ชายงามแห่งต้าฉวน บุตรชายคนเดียวของท่านโหว คุณชายหานจัวหย่ง นางเฝ้าใฝ่ฝันละเมอเพ้อหา ไม่เป็นอันกินอันนอน ในใจเฝ้าครุ่นคิดคะนึง อยากจะพบเจอแต่เพียงเขา
"คุณหนู ข้าได้มันมาด้วยราคาถึงสองตำลึงเชียวนะเจ้าคะ ไยท่านจึงดูไม่ดีใจเลย คนขายบอกว่า นี่เป็นภาพที่เหมือนคุณชายหานมากมี่สุดแล้ว ไม่ถูกใจหรือเจ้าคะ"
"ตอนนี้ข้าเพิ่งจะ 15 จะคิดเรื่องบุรุษไปทำไมกัน หันหน้าหาตำรายังจะมีประโยชน์เสียกว่า"
เย่อิ๋งตัดบท แต่ก็ทำให้ซาซาประหลาดใจได้ไม่น้อย ที่จู่ๆ เย่อิ๋งก็เลิกล้มความตั้งใจ ที่จะหาความท้าทายจากการพิชิตใจบุรุษ ไปง่ายๆ เสียอย่างนั้น ก่อนหน้านี้หากได้เอ่ยถึงชายงาม ดวงตานางนั้นจะทอประกาย และดูสดใสเริงร่าขึ้นมาในทันที
"แต่ท่านปักปิ่นแล้วนะเจ้าคะ ตามธรรมเนียมก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ สามารถออกเรือนได้แล้ว"
"ข้ายังเรียนรู้ไม่พอ ไม่พร้อมจะออกเรือนตอนนี้หรอก"
"เอ๋ ไหนคุณหนูเคยบอกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นอย่างไรเล่าเจ้าคะ เพราะถึงมีความรู้มากไป ยามแต่งงานก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี เมื่อออกเรือนก็ต้องทำตามคำสั่งสามี รอให้สามีอุ้มชูเลี้ยงดูเท่านั้นก็พอไม่ใช่หรือ"
"ฮึๆๆ" เย่อิ๋งหัวเราะเบาในลำคอ ปฏิเสธไม่ได้ ว่านี่เป็นความคิดของนางจริงๆ หากว่าไม่เจอสามีที่ดีมากๆ ความคิดเช่นนี้ จะนำพาชีวิตนางมุ่งสู่หายนะอย่างแน่นอน
"ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปนอนเถอะ จบบทนี้ข้าก็จะนอนเหมือนกัน"
"เจ้าค่ะ เช่นนั้นคุณหนูรีบนอนนะเจ้าคะ"
เย่อิ๋งพิจารณาบุรุษในภาพเพียงลำพัง ใบหน้างามประดุจหยก ดวงตาคมกล้าหวานหยาดเยิ้ม ช่างสะกดใจให้หลงใหลไม่อยากฟื้นตื่น ไม่แปลกที่นางจะหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ มองไม่เห็นพิษร้ายที่แทรกแฝงอยู่ เพียงเขาเอ่ยปากเช่นไร นางก็พร้อมใจจะเชื่อคำเขาในทันที ความหล่อเหลาเย้ายวนนี้ ช่างมีพิษร้ายรุนแรงยิ่งกว่ายาพิษขนานใดๆ ในโลกหล้า
"จะดีแค่ไหนนะ หากข้ามองหน้าท่านแล้วไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด 'หานจัวหย่ง' "
ในอารมณ์หดหู่ทดท้อนั้น ทำให้เย่อิ๋งพลันฉุกคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ นางรีบลุกเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า รื้อค้นหากล่องไม้ใบหนึ่ง ที่เก็บลืมเอาไว้นานแล้ว เมื่อหาเจอก็เร่งเปิดดูของข้างใน
"เฮ้อ! ยังอยู่ดี เจ้าแหวนไม้ ไม่นึกว่าเจ้าจะอยู่กับข้าได้นานถึงเพียงนี้"
แหวนไม้อย่างหยาบ ที่ถูกทำขึ้นดังฝีมือเด็กเล่น ด้านในแหวนนั้น มีสลักวันเดือนปีเกิดของใครบางคน ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเครื่องเตือนใจให้นางได้หวนระลึกถึงในคราครั้งที่ได้มันมาครอง นางลองหยิบมันขึ้นมาสวม แต่ก็ใส่ได้เพียงปลายข้อนิ้วนางเท่านั้น นางจึงได้แต่ยิ้มให้มันแล้วเก็บมันเอาไว้ดังเดิม.....