ใบหน้าแหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยท่าทางอิดโรย หลีเหว่ยพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ซับซ้อนว่าตนเองนั้นทำไมถึงถูกส่งมาที่นี่กันแน่ นิ้วเรียวยาวกำมือไว้แน่นพลางถอนหายใจอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก
"...ฉันถูกส่งมาที่นี่เพราะอะไร ทำไมถึง.. ไม่สิ ทำไมฉันในชาติก่อนถึงเป็นแม่ทัพมารที่โหดร้าย เพราะอะไรถึง.. อ้า คำถามเยอะแยะเต็มหัวไปหมด" ใบหน้าฉงนจ้องมองฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองแล้วกำมือ
"ถ้าฉันเป็นถึงแม่ทัพมาร แสดงว่าฉันต้องมี.. พลัง? เวทมนตร์คาถา ศาสตร์มืดหรืออะไรสักอย่างสิ" สายตาขวักไขว่เหมือนกำลังประเดิมหาเรื่องอะไรใหม่ๆ เข้าใส่ตัวเอง ร่างพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียงมองหาอะไรที่พอจะมาเป็นหนูทดลองได้บ้าง
"อ่ะ.. กาน้ำชานั่น ฉันเป็นถึงแม่ทัพมารเชียวนะ ของแค่นี้ต้องขี้ปะติ๋ว" สีหน้าสนอกสนใจรีบเดินตรงไปยังโต๊ะเล็กที่มีกาน้ำชาตั้งไว้ มือทั้งสองประคองอากาศขึ้นแล้วจ้องมองไปยังกาน้ำชาที่มีไอร้อนจากชาข้างใน "จงลอย"
'.....'
"ลอยสิ ลอย"
'......' ทุกอย่างเงียบกริบ ไม่มีอะไรบ่งบอกได้เลยว่ามันจะเกิดความเหนือธรรมชาตินั่นขึ้นจริง หลีเหว่ยในร่างจือหานเบ้ปากด้วยความไม่เข้าใจถึงความสมเหตุสมผลนั่น
"หรือบางที แม่ทัพมารอาจไม่ใช่ผู้มีพลังความสามารถปลุกวิญญาณภูตผีปีศาจอย่างที่หนังสือเล่าไว้ก็ได้ แต่.. แล้วทำไมถึงถูกเรียกแบบนั้น"
ใบหน้ามองวนกลับมาที่ตำหนักใหญ่ บรรยากาศของห้องเต็มไปด้วยความเงียบและวังเวงอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกถึงบรรยากาศหนาวเย็นที่อบอวลไปทั่วบริเวณยากที่จะคาดเดา
"บรรยากาศห้องชวนขนลุกตลอดเวลาเลย เพราะสไตร์แบบนี้หรือเปล่าถึงโดนประณามน่ะ แค่ฉันเห็นยังขนลุกเองเลย อ..อะไรเนี่ย? .."
ร่างกายที่กำลังเดินสำรวจไปรอบๆ จนกระทั่งมาสะดุดตากับชั้นวางที่มีกระบี่เล่มหนาวางเก็บรักษาไว้อย่างดี
"ว้าว.. พึ่งเคยเห็นของจริงเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย"
ใบหน้าสนใจใคร่รู้จ้องมองมันอย่างไม่วางตา ตั้งแต่หัวฝักจนถึงปลายด้ามของมัน ลายสลักฉลุไม้เป็นลวดลายของหมาป่าที่เป็นสัตว์วิเศษประจำตระกูล แต่แทนที่มันจะให้บรรยากาศของกระบี่ที่ควรจะงามสง่า มันกลับให้บรรยากาศสุขุมและน่าเกรงขามยิ่ง
"กระบี่จักรพรรดิมารของแม่ทัพมาร ของจริงด้วย.. ฉันกำลังเห็นกระบี่สุดแสนหายากที่ในพิพิธภัณฑ์ต่างตีตั้งราคาไว้สูงจนประเมินค่าไม่ได้ แถมมีตำนานเรื่องเล่าบอกว่ามันมีจิตวิญาณของนักรบที่ถูกสาป ม..ไม่อยากเชื่อว่าจะได้เห็นเป็นบุญตาแถมยังใหม่เอี่ยมกว่าในพิพิธภัณฑ์ที่เอาของปลอมมาตั้งโชว์กันขโมยนั่นอีกน่ะ"
หลีเหว่ยยืนมองกระบี่นั่นอย่างชื่นชมและตื้นตัน ขณะมือนั่นค่อยๆ เอื้อมเพื่อที่จะไปสัมผัสมันให้เป็นขวัญกับตนเอง
"ขอจับให้เป็นขวัญมือหน่อยเถอะ... เอ๊ะ? "
ไม่ทันได้สัมผัสมัน แต่กระบี่กลับลอยเข้าหามือของเขาอย่างง่ายดายเหมือนมีแรงดึงดูด ใบหน้าฉงนจ้องมองกระบี่เล่มยาวสีดำที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกประหลาด แต่ในตอนนั้นเองที่จู่ๆ มันกลับแผ่รังสีอันน่าหวาดกลัวเข้าสู่ร่างกายของหลีเหว่ยจนร่างนั่นกระเด็นกระแทกออกมา
"อั๊ก! โอ๊ย! ..."
'ท่านแม่ทัพ..... ข้าเฝ้ารอที่จะได้พบท่านที่สมบูรณ์แบบมานับร้อยนับพันปี...บัดนี้ ทุกอย่างกำลังใกล้เข้ามา'
"อึก.. " เสียงเรียกดังก้องระงมหู มือเล็กยกขึ้นปิดกั้นมันทั้งสองข้างแล้วกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
'นายท่าน... นายท่าน... ท่านแม่ทัพเฉินจือหาน.. ท่านกลับมาแล้ว.. กลับมา.. กลับมา..'
"อ...! อ๊า! ค..ใคร ออกไปจากหัวฉันนะ!"
'พลังของท่านกำลังฟื้นฟู...เพียงแค่ได้เติมเต็มเลือด หรือดื่มด่ำรสชาติของวิญญาณที่กำลังหวาดกลัว พลังของท่านก็จะกลับมา ต่อให้ท่านผลักไส แต่ชะตาของท่านไม่อาจต้าน....'
เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยกล่าวค่อยๆ แผ่วเบาลงจนกระทั่งหายไป แต่ความเจ็บปวดนั้นยังคงเดิม หลีเหว่ยจ้องมองพื้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวขบริมฝีปากอย่างกล้ำกลืน แววตาจืดชืดเหมือนกับความสนุกสนานที่เคยมีในความทรงจำนั้นหายไปจนหมดสิ้น
".. เจ็บ.. แสบคอไปหมด.. น้ำ... หิวน้ำ.. ไม่.. ไม่ใช่.."
ร่างกายสั่นเทาเหมือนกำลังตกอยู่ในอำนาจอะไรบางอย่าง รูม่านตาที่เริ่มหดตัวลง หลีเหว่ยยกมือขึ้นสำผัสร่างกายที่อยู่ไม่สุข เขากวาดตามองหาพื้นที่ที่ทำให้รู้สึกสงบ แต่มันกลับกลายเป็นว่าบรรยากาศรอบๆ นั้นมืดเหมือนเขากำลังอยู่ในความมืดที่หาทางออกไม่ได้ ส่งเสียงร้องออกไป ก็คงไม่มีใครได้ยิน
'เกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงมองไม่เห็นอะไรเหมือนคนตาบอดเลย แถมยัง... แสบคอกระหายบางอย่างตลอดเวลา เกิดอะไรขึ้น..กับร่างกายนี้..'
"นายท่าน! เกิดอะไรขึ้น? นายท่าน? "
เสียงข้ารับใช้จากด้านนอกที่เหมือนจะได้ยินเสียงที่ไม่ค่อยดีออกมาจากในห้อง ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาใกล้อย่างร้อนรนกังวลนัก
"ท่านเฉินจือหาน?"
"อึก... เลือด.." หลีเหว่ยส่งเสียงแหบแห้งราวกับคนขาดน้ำในร่างกาย
"ข... ขอรับ?"
ใบหน้าซีดเซียวเงยหน้ามองเจ้าของน้ำเสียงที่กำลังกล่าวอย่างเป็นห่วง แต่ตอนนี้สายตาของเขากลับมองเป็นเพียงบรรยากาศรอบๆ ตัวของคนผู้นั้นที่อบอวลไปด้วยออร่าสีแดงและกลิ่นชวนกระหายที่กำลังรบเร้าให้กลืนกิน
"เลือด... เลือด.."
"ท่านเฉินจือหาน ท่านต้องพัก อั๊ก! "
มือคว้าเข้าที่คอของข้ารับใช้ตรงหน้าอย่างไร้สติควบคุม บีบไว้แน่นเท่าสุดแรง สีหน้าหลุดลอยไร้สติจ้องมองเหยื่ออย่างกระหายก่อนจะใช้ริมฝีปากฝังกัดลงบนต้นคอของข้ารับใช้จนอีกฝ่ายดิ้นกรีดร้องขอความช่วยเหลือ
"อ้า! อั๊ก นายท่าน อ๊ากก!!" เสียงกรีดร้องแผ่วเบาลงช้าๆ ตอนนี้ เหยื่อที่ถูกสังเวยชีวิตอย่างน่าเวทนาได้หมดลมหายใจลงแล้วในทันทีทันใด มือปล่อยร่างนั่นล้มลงนอนจมกองเลือดจนกระทั่งเขาเริ่มได้สติ
"อึก.. ฮึก.. ฉ..ฉัน.. มันเกิด..อะไรขึ้น..."
ร่างกายทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง สายตาจ้องมองศพในห้องอย่างกระวนกระวายพลั้งน้ำตาเริ่มไหลอาบลงมา
"เกิดอะไรกันแน่.. ฉันเป็นตัวอะไรกันแน่..." สายตาจ้องมองกระบี่เล่มหนาเจ้าของสาเหตุนั้นอย่างหวาดกลัว ก่อนที่จะมีฝีเท้าวิ่งเข้ามาในห้องเพิ่มขึ้นอีก
"ท..ท่านพี่? เกิด... อึก.." หญิงสาวจ้องมองร่างชายผู้เคราะห์ร้ายด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนละสายตาวิ่งมาหาพี่ชายของตัวเองที่กำลังตื่นกลัว "ท่านพี่?"
"...ฉัน..ฉันทำอะไรลงไป.. ฉัน..ฉันมันตัวอะไรกันแน่"
ท่าทางสับสนวุ่นวายใจ ฝ่ามือเล็กประคบลงบนแก้มอย่างอ่อนโยนแล้วลูบมันอย่างแผ่วเบา
"ท่านมิใช่ปีศาจ.. มันมิได้ผิดที่ท่านเป็นแบบนี้ ท่านพี่..ท่านพี่ต้องฟังข้า ท่านแค่สูญเสียความทรงจำ ท่านจะมิใช่สัตว์ร้ายอย่างที่พวกเขาว่าไว้ ได้โปรดท่านพี่โปรดฟังข้านะเจ้าคะ"
ใช่แล้ว หลังจากการกลับมาของหลีเหว่ยที่มาอยู่ในร่างของเฉินจือหาน ทุกคนต่างพากันตกใจและสับสน ต่างคิดกันไป ว่าเฉินจือหานที่แสนโหดร้ายได้รับผลกระทบจากการบำเพ็ญญาณของตนเองจนความทรงจำแตกหัก
นิ้วสัมผัสมือเล็กของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบาพร้อมจ้องมองไปยังในดวงตาที่กำลังอมทุกข์
"ฉันยังเรียบเรียงอะไรไม่ได้ แถมยัง.. เอ่อ ความจำเสื่อม แม้แต่ชื่อของเธอ ฉันก็นึกไม่ออก"
"ข้าชื่อหมิงเยี่ยน เฉินหมิงเยี่ยน เป็นน้องสาวของท่าน ท่านคือเฉินจือหาน เป็นบุตรชายคนโตของสกุลเฉิน"
"เฉิน...หมิงเยี่ยน หมิงเยี่ยน... อ่ะ.."
แววตาเบิกกว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ หลีเหว่ยจ้องมองไปยังหญิงสาวด้วยสีหน้าตกใจ เพราะหากในบัจจุบันนั้น เธอคือบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในสงครามครั้งนี้
"ท..ท่านเฉินหมิงเยี่ยน!" ร่างรีบฟุบตัวลงคำนับแทบเท้าของเธอ ขณะหมิงเยี่ยนได้แต่กรีดร้องอย่างตกอกตกใจแล้วรีบพยุงพี่ชายของเธอให้ลุกขึ้น
"ว๊าย! ท..ท่านพี่ อย่าเจ้าค่ะ ท่านทำแบบนี้จะทำให้ข้าลำบาก"
"ข..ขอโทษนะ แค่.. กำลังคิดว่าต้องปรับตัวอีกเยอะสำหรับการมาอยู่ อ่ะ..ม..ไม่สิ หมายถึงการฟื้นความทรงจำ"
"..มิจำเป็นหรอก ข้าดีใจเสียมากกว่า" หมิงเยี่ยนส่งยิ้มเล็กน้อยให้ "ทำไมล่ะ?"
"ที่ท่านเป็นแบบนี้ มันเกิดจากหลายปัจจัย สกุลของเราถูกสาปแช่ง ที่บุตรชายคนโตเกิดมาจักต้องเข้าสู่วิถีมารอย่างไม่มีทางเลือก พวกเขาเมื่อเกิดมา จะมีนิสัยโหดร้ายและมีอำนาจเกินจะต้านทาน วิธีเดียว ที่จะทำให้คำสาปหายไป.... อ่า..ข้าว่าข้าคงจะพูดมากเกินไป มันจะทำให้ท่านเครียดและเสียสุขภาพ ข้ามิอยากให้ท่านป่วยจนมาร่วมงานแต่งของข้ามิได้หรอกนะเจ้าคะ"
"งานแต่งหรอ? เธอ.. ไม่สิ.. งานแต่งเจ้ากับผู้ใดกัน?" ใบหน้าหรี่ตาอย่างเศร้าสร้อยก่อนกลับมายิ้มเล็กน้อยอีกครั้ง
"ข้ากับท่านหลินจื่อฝาน"
"หลินจื่อฝาน..." ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แต่แล้วก็นึกขึ้นถึงหน้าหนังสือที่ได้อ่าน หลินจื่อฝานนั่นมันคนชั่วก่อกบฏหนิ! "อ้ะ.. ไม่ ไม่ได้ อย่าแต่งกับเขาเชียว! "
"ท..ทำไมหรือเจ้าคะ?"
"ก็.." ใครจะไปกล้าบอกกัน ว่าตระกูลของเขาก่อกบฏน่ะ
"..ความจริงข้าก็มิอยากแต่งกับเขา... ข้ามีคนรักแต่แค่... ข้ามิอยากทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องมาอับอายเพราะข้า"
".....ข้าไปเอง!"
"...อ่ะ..ค..คะ? "
ใบหน้าฉงนจ้องมองพี่ชายด้วยความตกใจกับคำตอบที่โพล่งออกมาขณะเดียวกันนั้นเอง ที่หลีเหว่ยพึ่งรู้ตัวว่ากำลังจะพูดอะไรแล้วรีบเอามือป้องปาก "ย้าส์!" พูดอะไรออกไปวะเนี่ย!
"มิเป็นไร ท่านพี่เคยพูดกับข้าว่ามันดีที่ข้าขะแต่งกับคุณชายจื่อฝาน มากกว่าสนใจคนรักของตัวเองที่เป็นสตรีเช่นกัน"
"..ว..ว่าไงนะ ส..สตรี?"
"..คนรักที่ข้าพูดถึง นางเป็นสตรี ท่านบอกข้าว่ามันน่ารังเกียจ แต่.."
"ไม่หรอก.. การที่เจ้าจะรักใคร ไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องเป็นบุรุษเสมอไป แค่เธอ อ่ะ ไม่สิ..เจ้ารู้แค่ว่ามันคือความรัก แค่คำว่ารักมันไม่ได้กำหนดสักหน่อยว่าจะต้องชอบเพศไหน ขอโทษนะถ้าหากข้าในอดีตเคยพูดอะไรไม่ดีไว้ แล้ว...เอ่อ.."
ร่างหญิงสาวเข้าโผลกอดพี่ชายเอาไว้แล้วร่ำไห้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้น "ข้าขอโทษที่เคยพูดว่าข้าเกลียดท่าน ขอ..ขอโทษนะเจ้าคะ"
"..ไม่หรอก มันสมควรแล้วที่จะพูด ถ้าหากว่าแต่ก่อนข้าเคยทำอะไรที่ไม่ดีกับเจ้าไว้"
ใบหน้ามองทอดไปยังนอกหน้าต่าง พระจันทร์ขึ้นส่องสว่างเต็มดวงแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มเปลี่ยนสีหน้าเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ "คุณชายจื่อฝาน เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อนหรือเปล่า"
"ม..มิเคยเจ้าค่ะ.."
"..โอเค ข้าจะแฝงตัวเข้าไป" 'บางที ถ้าหากจะหยุดเรื่องสงครามเลือดที่จะตามมา ฉันอาจจะต้องแฝงตัวเข้าไปสืบค้นเรื่องราวให้ดีก่อน'
หมิงเยี่ยนเช็ดน้ำตาแม้จะยังร้องไห้สะอึกสะอื้นก่อนจะเอ่ยถามขึ้น "อ..โอเค.. คืออะไรหรือ?"