ตอนที่ 3
“คิดจะกดดันข้าด้วยวิธีแกล้งกันแบบนี้น่ะหรือ? ฝันไปเถอะ! จะให้ข้ากลับจวนบิดางั้นรึ? ฮึ...ที่นั่นก็ขุมนรกดี ๆ นี่เอง ไม่ต่างกันหรอก!”
หญิงสาวบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวพลางปัดฝุ่นตรงบานหน้าต่างไม้เก่าคร่ำซึ่งพังครึ่งหนึ่งให้เปิดออกได้บ้าง แม้ลมจะพัดเอาฝุ่นปลิวใส่หน้าเธอไปเต็ม ๆ ก็ตาม
เสี่ยวผิงที่ยืนพับผ้าผืนสุดท้ายอยู่ตรงมุมห้องเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ
“คุณหนู…ท่านจะกลับจวนหรือไม่เจ้าคะ? หากท่านไม่พอใจที่นี่…”
เหยียนหรงโบกมือปัดคำพูดนั้นอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องพูดถึงที่นั่นให้เปลืองน้ำลายหรอกเสี่ยวผิง ข้าไม่โง่กลับไปให้พวกนั้นเหยียบซ้ำแน่นอน”
ดวงตาเรียวรีของเธอกวาดไปรอบห้องอย่างประเมินสถานการณ์ ความทรุดโทรมของเรือนเล็กหลังนี้ไม่ได้ทำให้เธอท้อแต่อย่างใด
กลับกันมันกระตุ้นสัญชาตญาณเอาตัวรอดในแบบสาวคลั่งซีรีส์ผู้เคยดูละครย้อนยุคมาร้อยเรื่องให้ลุกโชน
“มีหลังคา มีพื้น ถึงจะกรอบนิดหน่อยแต่ก็ยังเดินได้ มีหน้าต่างไว้รับลม…ขาดก็แค่อาหารดี ๆ กับผ้าห่มนุ่ม ๆ เท่านั้นเอง” เธอพึมพำเบา ๆ แล้วหันมาหาเสี่ยวผิงด้วยดวงตาวาววับ
“เสี่ยวผิง เราจะอยู่กันให้รอดแบบมีศักดิ์ศรี ตกอับได้ แต่ห้ามอดตาย เข้าใจมั้ย?”
สาวใช้น้อยพยักหน้าหงึกหงักอย่างมึน ๆ
“ขะ…เข้าใจเจ้าค่ะ แต่จะให้บ่าวทำอะไรก็รีบสั่งเถิดเจ้าค่ะ”
“ดีมาก!” เหยียนหรงยิ้มอย่างพอใจ
เธอเดินไปหยิบผ้าที่เสี่ยวผิงพับไว้แล้วเอามาวางพาดบ่าตัวเองอย่างกับผ้าเช็ดตัวแม่บ้านซิทคอม แล้วเริ่มสั่งการเสียงใส
“ขั้นแรก เราต้องสำรวจพื้นที่รอบเรือน ว่ามีแหล่งน้ำ แหล่งไม้ หรือที่ซ่อนขนมจากยุคหินบ้างมั้ย”
“ขนมจากยุคหินคืออันใดหรือเจ้าคะ?”
“อ้อ ลืมไป ข้าพูดเล่นน่ะ” หญิงสาวยักไหล่ “เอาเป็นว่าเจ้าช่วยข้าสำรวจรอบเรือน ส่วนข้าจะจัดลิสต์ของใช้จำเป็น ถ้าพรุ่งนี้เช้าคนในจวนยังทำเป็นมองไม่เห็นเรา ข้าจะเดินไปหน้าเรือนใหญ่ด้วยตัวเอง ขอของจากพ่อบ้านด้วยใบหน้าแบบนางร้ายระดับตำนานเลยคอยดู!”
เสี่ยวผิงเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่า คุณหนูของตนนั้นตกน้ำมาแล้วความจำเสื่อมหรืออย่างไร ถึงได้เปลี่ยนไปจากหญิงสาวเย่อหยิ่งปากร้ายที่คนในจวนเล่าลือกันลิบลับ แต่พอเห็นรอยยิ้มสดใสของนาง ก็อดยิ้มตามไม่ได้
แม้เรือนเล็กนี้จะห่างไกลความอบอุ่นจากผู้คน แต่เสี่ยวผิงกลับรู้สึกว่า อากาศรอบตัวกลับอบอุ่นขึ้นอย่างน่าแปลกใจ
เช้าวันถัดมา
หลินเหยียนหรงยืนเท้าเอวมองเพดานอย่างปลงตก แล้วค่อย ๆ หันกลับไปหาสาวใช้ตัวเล็กข้างกาย
“เสี่ยวผิง วันนี้เราจะลุกขึ้นปฏิวัติจวนเจ้าสาว!”
เสี่ยวผิงที่กำลังพับผ้าอยู่สะดุ้งเฮือก มือที่กำลังจับเสื้อเก่าหลุดมือร่วงลงพื้น
“เอ่อ…คุณหนูหมายถึง…อะไรหรือเจ้าคะ?”
“หมายถึง เราจะไม่ยอมตายอนาถอยู่ในเรือนเล็กนี่ไง!” เหยียนหรงยิ้มกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะใช้ชีวิตในร่างนี้ให้สมกับเป็นนางร้ายระดับตัวแม่!”
สาวใช้ผู้น่าสงสารเริ่มกังวลเล็กน้อยว่าคุณหนูตนเองอาจถูกผีเข้าสิง แต่อีกใจก็รู้สึกว่า…อย่างน้อยคุณหนูคนนี้ก็ไม่ขว้างแจกันใส่หัวบ่าวเหมือนเมื่อก่อน
“ข้าอยากได้สวนครัวเล็ก ๆ หลังเรือน กับกระถางสมุนไพร รู้ไหมปลูกอะไรได้บ้าง?”
“เอ่อ…ตอนนี้มีกระเทียม หัวหอม กับผักกาดแห้งเหลืออยู่เจ้าค่ะ…”
“ดีมาก! เดี๋ยวคืนนี้เราจะจัดเมนู ‘ผักกาดสามแผ่นครองโลก’ !”
พูดไม่ทันจบ เสียงฝีเท้าแน่นหนักก็ดังมาจากทางเดินเรือนหลัง
เสี่ยวผิงเบิกตากว้าง
“คุณหนู! มันเป็นเสียงของ…ของ…”
แกร๊ก
ประตูไม้ถูกผลักออก
ร่างสูงในชุดคลุมแม่ทัพสีดำทองยืนอยู่ตรงประตู ใบหน้าคมคาย นัยน์ตาคมจัดดั่งจะเฉือนเนื้อ ข้างเอวสะพายดาบยาว
แม่ทัพซือหยาง ปรากฏตัวพร้อมรังสีเย็นยะเยือกที่ทำให้เสี่ยวผิงถึงกับก้มหน้าลงทันที
แต่หลินเหยียนหรงกลับยืนกอดอก ยิ้มหวานใส่แบบที่หวานจนดูประชด
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ…มาเยือนเรือนเล็กแต่เช้า หรือตั้งใจจะมาพาข้าไปส่งกลับจวนบิดา?”
“…” ชายหนุ่มมองนางนิ่ง ๆ ไม่มีแววตาใด ๆ ปรากฏ
“แหม ไม่ต้องทำหน้านิ่งก็ได้ ข้ายังไม่ตายง่าย ๆ หรอกนะ”
“…” เขายังไม่พูด แต่ดวงตาเย็นชานิ่งไล่สแกนตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนจะประเมินว่านางบ้าจริงหรือแค่แกล้งเพี้ยน
ในที่สุดเขาก็เปิดปากพูดด้วยเสียงเยียบเย็นสนิท
“ข้าแค่มาดูว่าเจ้าจะขอความเมตตาหรือยัง”
“ขอความเมตตาเหรอ?” เหยียนหรงหัวเราะเบา ๆ พลางตวัดผ้าคลุมขึ้นพาดไหล่
“ไม่มีวัน! ถ้าท่านจะไล่ข้าไป ข้าจะปักธงอยู่หน้าประตูเรือนนี้แทน!”
ซือหยางมองนางครู่หนึ่งก่อนจะหมุนตัวจากไป แต่ก่อนจะพ้นประตู เขาเอ่ยเสียงเบาเย็น
“อย่าให้ข้าต้องมาเก็บซากเจ้าก็พอ”
ปัง! ประตูปิดดังลั่นตามสไตล์พ่อบ้านเย็นชา
เหยียนหรงหันมายักไหล่ใส่เสี่ยวผิง
“เห็นไหม เขายังห่วงข้าอยู่ลึก ๆ นั่นล่ะ”
เสี่ยวผิงกระซิบเบา ๆ
“เอ่อ…คุณหนูเจ้าคะ…บ่าวรู้สึกว่าท่านแม่ทัพน่าจะห่วงพื้นเรือนมากกว่านะเจ้าคะ…”
“อย่าไปสนใจเลย มาต่อกันเถอะ เราต้องขุดดินทำแปลงผักกัน”
หลินเหยียนหรงพูดพลางลุกขึ้นตบฝุ่นออกจากชุดอย่างเริงร่า ราวกับเมื่อครู่ไม่มีพายุแม่ทัพเย็นชาผ่านเข้ามาเลยแม้แต่น้อย
เสี่ยวผิงกะพริบตาปริบ ๆ
“ขะ...ขุดดินหรือเจ้าคะ?”
“ใช่แล้ว!” นางพูดพลางหยิบทัพพีเก่า ๆ จากตะกร้าใบหนึ่ง “เสี่ยวผิง เจ้าเคยขุดหลุมศพไหม?”
“อ๊า! คุณหนู!” สาวใช้ตัวเล็กแทบเข่าทรุด หน้าซีดลงไปสองเฉดทันที
“ล้อเล่นน่า” เหยียนหรงหัวเราะคิกอย่างมีความสุข
“ข้าหมายถึงหลุมปลูกผักต่างหาก พวกเราจะสร้างแปลงผักแห่งปาฏิหาริย์ขึ้นหลังเรือนเล็กนี่ แล้วเลี้ยงชีพโดยไม่ต้องง้อจวนใหญ่!”
“แต่...แต่ดินที่นี่แข็งมากเลยนะเจ้าคะ ไม่มีแม้แต่เสียม มีแค่ทัพพีกับช้อนตักข้าว...”
“นั่นล่ะ! เราจะเริ่มจากศูนย์!” นางยืนเท้าสะเอว มองสนามหลังเรือนที่เต็มไปด้วยหญ้ารกรุงรัง
“จำไว้นะเสี่ยวผิง นักปลูกผักที่ดี ไม่โทษอุปกรณ์ แต่ใช้ใจขุด!”
เสี่ยวผิงกลืนน้ำลายเงียบ ๆ มองคุณหนูผู้เคยใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องแต่งตัวหรูหรา บัดนี้กำลังย่อตัวขุดดินด้วยทัพพีอย่างฮึกเหิม
“ขุดหนึ่งตัก…นับหนึ่งก้าวไปสู่ความมั่นคงทางอาหาร!” เหยียนหรงฮัมเพลงไม่รู้ภาษาขณะตักดินปึกเล็ก ๆ อย่างภาคภูมิใจ
ผ่านไปหนึ่งเค่อ…
เสียงแว่วของทัพพีกระทบดินยังคงดังอยู่เรื่อย ๆ เสี่ยวผิงเริ่มย่อตัวลงช่วย นางรู้สึกว่าแม้คุณหนูจะประหลาดไปบ้าง แต่รอยยิ้มของคุณหนูวันนี้...มันดูมีความสุขอย่างแปลกประหลาด
“คุณหนูเจ้าคะ ถ้าเราปลูกได้จริง บ่าวจะเอาไปขายที่ตลาดให้เองนะเจ้าคะ”
เหยียนหรงเงยหน้าขึ้น ยิ้มกว้าง “ยอดเยี่ยม! งั้นเจ้าต้องหัดต่อรองราคาด้วยนะ ข้าวหัวผักกาดสามแผ่น ต้องขายได้กำไรอย่างน้อยหนึ่งตำลึง!”
ขณะที่สองสาวขุดดินอยู่อย่างเพลิดเพลิน ชายชุดดำที่ยืนอยู่บนชั้นสองของเรือนหลักก็จ้องมองพวกนางจากหน้าต่างด้วยสายตาอ่านไม่ออก
แม่ทัพซือหยางมองคุณหนูผู้เคยบ้าคลั่งไล่ขว้างจานชามใส่บ่าว กลับนั่งขุดดินกับสาวใช้อย่างเอาเป็นเอาตาย
ริมฝีปากหยักของเขาขยับเล็กน้อย ราวกับจะหลุดยิ้ม...แต่สุดท้ายก็แค่ถอนหายใจ
“นางกำลังวางแผนอะไรอีกแน่...” เขาพึมพำเบา ๆ
แต่คงไม่มีใครตอบเขาได้หรอก...แม้แต่ตัวเหยียนหรงเอง