“ผมรู้สึกโชคดีมากจริงๆที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ เธอทำให้ผมได้เห็นอะไรใหม่ๆได้รู้อะไรมากขึ้นและได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผมควรจะทำหลังจากได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับเธอ และเธอก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับผมเช่นกัน ขอบคุณครับ” เมื่อวินเซนต์พูดจบทำเอาคนที่ถูกเอ่ยถึงเสียวสันหลังวูบ รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่ส่งผ่านสายตามายังเธอ หลังจากนั้นพราวตะวันก็กล่าวขอบคุณแขกเหรื่อในงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรเกี่ยวกับงานแต่งงงานที่เกิดขึ้นในวันนี้
“ค่ะ ฉันก็รู้สึกโชคดีค่ะที่ได้แต่งงานกับคุณวินเซนต์ ขอบคุณทุกคนนะคะที่ให้เกียรติมาร่วมงานแต่งงานในวันนี้ ขอบคุณค่ะ” พราวตะวันพูดจบพร้อมกับยกมือไหว้แขกเหรื่อในงาน
ต่อจากนี้เชิญเจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวเลยครับ เสียงพิธีกรพาให้พราวตะวันสะดุ้งโหยงตกใจกับคำสั่งของพิธีกร แต่ไม่ทันหายตกใจวินเซนต์ทำเธอตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขากระชากตัวเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแล้วประกบริมฝีปากหนาลงมา จูบแรกของเธอเป็นจูบที่ช่างน่าจดจำเสียจริง หญิงสาวตัดพ้ออยู่ในใจนั่นเป็นเพราะวินเซนต์บดขยี้ริมฝีปากลงมาจนพราวตะวันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจนน้ำตาเอ่อแต่ไม่ได้ผลักไสเขาออกไปแต่อย่างใดเธอรู้ดีว่าหากทำอย่างนั้นทุกคนต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเธอไม่เต็มใจที่จะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้และอาจส่งผลถึงชื่อเสียงของผู้มีพระคุณที่เธอรักทั้งสองคนด้วยและความรู้สึกของชายหนุ่มที่บ่งบอกชัดเจนว่าเขาเคียดแค้นเธอมากแค่ไหนมันทำให้เธอไม่กล้าแม่แต่จะแตะเขาแล้วผลักออกไป สุดท้ายวินเซนต์ก็ถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง แขกในงานนั่งอยู่ในระยะห่างจากเวทีที่บ่าวสาวยืนพอสมควรจึงไม่มีทางรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาจูบเจ้าหล่อนอย่างดุดันและรุนแรงจนเห็นได้ชัดว่าปากเธอบวมเจ่อน้ำตาคลอเบ้า
“เห็นแล้วมันสะใจจริงๆ นี่มันแค่เริ่มต้นนะพราวตะวันของจริงมันยิ่งกว่านี้พันเท่า เตรียมตัวไว้ให้ดีหละ” วินเซนต์กระซิบข้างหูพราวตะวันพร้อมกับยิ้มร้ายส่งให้ ใครทำเขาเจ็บมันต้องเจ็บกว่าเขาพันเท่า พราวตะวันถึงกับสะอึกกับสิ่งที่ได้ยิน ในที่สุดงานก็เลี้ยงดำเนินมาถึงตอนท้ายซึ่งแขกเหรื่อในงานก็ทยอยกลับจนหมดจะเหลือก็แต่เจ้าบ่าวที่นั่งกระดกเหล้าเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่าตั้งแต่เริ่มงาน
“พอแล้วตาวินหยุดดื่มได้แล้ว เดี๋ยวก็เมาเดินกลับห้องไม่ไหวกันพอดี” พิมพ์แพรบอกลูกชายด้วยความเป็นห่วงแม้ข้างกายลูกชายจะมีบอดีการ์ดคอยดูแลอยู่ข้างกายเสมอแต่วันนี้เธออนุญาตให้พวกเขาไปพักได้ด้วยเห็นว่าอยู่เมืองไทยเลยไม่น่ามีคนมาปองร้ายอะไรและวินเซนต์ก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อย นานๆถึงจะมาทีจึงไม่ใช่เรื่องน่าอันตรายอะไร
“แม่ก็ไปเรียกเมียผมมาสิคร้าบ มีเมียว้ายยทำไมหละคร้าบบบถ้าไม่ได้มีไว้บริการผัวว ” วินเซนต์ยังไม่รู้สึกเมาเลยสักนิดเขาแกล้งทำเป็นพูดจาโวยวายเสียงดังให้มารดาคิดว่าเขาเมาแล้วจริงๆเพื่อยั่วมารดาให้โมโห
“เงียบเลยนะตาวิน ถ้าพูดจาไม่สร้างสรรค์ก็อย่าพูดดีกว่า หุบปากแกไปเลยนะ” พิมพ์แพรเอ็ดลูกชายที่พูดจาไม่เข้าท่าไม่ให้เกียรติผู้หญิง เธอดึงแขนลูกชายให้ลุกขึ้นตามเธอแต่เพราะร่างสูงราวๆร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตรของชายหนุ่มทำให้เธอถอดใจวางเขาไว้ที่เดิม จะขอความช่วยเหลือจากสามีอย่างวัตสันก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะรายในขอตัวไปพักผ่อนตั้งแต่งานยังไม่เลิกด้วยอาการเจทแลค สุดท้ายเมื่อหมดหนทางแล้วจริงๆ จึงโทรไปขอความช่วยเหลือจากพราวตะวันที่ตอนนี้เธอกำลังจะอาบน้ำและเปลื้องชุดที่แสนหนักนี่ออกซักทีแต่เมื่อพิมพ์แพรโทรมาเธอจึงรีบออกไปทันที จะเสียเวลานั่งแกะกระดุมชุดนี้คงต้องใช้เวลานานพอสมควรเป็นแน่จึงยังสวมชุดแต่งงานแสนหนักนี่ออกไปหาพิมพ์แพรด้วยความรีบเร่ง เมื่อมาถึงพราวตะวันเห็นพิมพ์แพรนั่งใช้กระดาษพัดให้ลูกชายที่นอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะอาหารด้วยคงกลัวว่ายุงจะกัดเขา พราวตะวันคิดว่าพิมพ์แพรคงจะรักลูกชายคนนี้มากจริงๆ คิดได้อย่างนั้นน้ำตาเธอก็ซึมเพราะไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกแบบนั้นเลยสักครั้งในชีวิต
“อ้าว หนูซันมาแล้วเหรอ มาช่วยแม่พยุงพี่เขาไปที่ห้องหน่อย เมาไม่รู้เรื่องเลยเนี่ย แย่จริงๆไอ้ลูกคนนี้ “พราวตะวันรีบเช็ดน้ำตาแล้วเดินเข้าไปช่วยพิมพ์แพรพยุงคนตัวโตกลับไปยังบ้านพักซึ่งพิมพ์แพรสั่งให้สร้างไว้สำหรับครอบครัวเวสเนียร์สองหลังเพื่อเป็นที่พักผ่อนส่วนตัวตอนที่มาทำงานหรือมาเยี่ยมเยือนเด็กๆที่บ้านพักแห่งนี้แต่ด้วยความที่วินเซนต์ไม่ชอบให้คนมายุ่งวุ่นวายกับความเป็นส่วนตัวบ้านของเขาจึงถูกสร้างแยกห่างจากบ้านของพิมพ์แพรพอสมควร
“นั่งรถกอล์ฟไปเนี่ยแหละ จะให้กลับไปเอารถก็ไม่ไหวที่จอดอยู่ตั้งไกล” พิมพ์แพรบอกตอนแบกลูกชายขึ้นรถได้สำเร็จ
“คุณท่านดูแลคุณวินเซนต์เถอะค่ะ เดี๋ยวซันขับเองค่ะ” ว่าแล้วพราวตะวันก็นั่งประจำที่คนขับขับไปซักพักก็ถึงจุดหมายที่นี่เป็นบ้านแนวโมเดิร์นมีรั้วรอบขอบชิดตั้งอยู่บนพื้นที่ของบ้านเด็กกำพร้าพิมพ์ดาวแต่เธอกับน้องๆไม่เคยก้าวเข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้เลยด้วยรู้ดีว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเวสเนียร์จึงไม่อาจเอื้อมเข้ามาใช้พื้นที่ในบริเวณนี้เว้นเสียแต่ว่าเข้ามาทำความสะอาดก่อนที่ท่านจะมาพักเพียงเท่านั้น
“เรียกแม่เถอะหนูซัน แม่บอกหลายทีแล้วต่อจากนี้แม่เป็นแม่อีกคนของหนูนะ อย่าเรียกท่านเลยมันฟังดูแปลกๆนะ ไหนๆเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว” พิมพ์แพรบอกกับลูกสะใภ้ตอนช่วยกันพยุงวินเซนต์เข้าไปในบ้านและวางวินเซนต์ลงกับโซฟาตัวยาวหน้าทีวี
“แต่หนูว่า เรียกท่านแบบเดิมดีกว่าค่ะ หนู... “ พราวตะวันบอกด้วยความเกรงใจ
“เรียกแม่ดีกว่าน่า นะหนูซันนะ” สุดท้ายพราวตะวันก็ต้องยอมพ่ายแพ้ต่อสายตาเว้าวอนของพิมพ์แพร
“ก็ได้ค่ะคุณแม่” พราวตะวันบอกและยิ้มส่งให้แม่คนใหม่ไป หลังจากจัดท่านอนให้ลูกชายเรียบร้อยแล้วพิมพ์แพรก็ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเพื่อจะเช็ดตัวให้ลูกชาย แต่ทันไดนั้นโทรศัพท์เครื่องหรูของพิมพ์แพรก็ดังขึ้น
“ค่ะ คุณวัตสัน ว่าไงคะ ค่ะแล้วฉันจะรีบไปค่ะหาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวไปก่อนนะคะคุณ” พิมพ์แพรตอบกลับปลายสายด้วยน้ำเสียงร้อนใจแกมเป็นห่วงเพราะสามีโทรมาบอกว่าไข้ขึ้นหนักและหายาลดไข้ในห้องไม่เจอ
“เอ่อ .... คุณแม่ไปดูแลท่านเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูเช็ดตัวให้คุณวินเซนต์เองค่ะ” พราวตะวันเห็นสีหน้ากังวลใจของพิมพ์แพรจึงขันอาสาเช็ดตัวให้วินเซนต์เพื่อให้พิมพ์แพรกลับไปดูแลวัตสันที่บ้านอีกหลังหนึ่ง
“งั้นแม่ฝากด้วยนะจ๊ะ”
เมื่อไปส่งพิมพ์แพรที่หน้าบ้านแล้วพราวตะวันก็กลับมาที่โซฟาเพื่อจะเช็ดตัวให้วินเซนต์แต่กลับพบว่าที่โซฟาว่างเปล่า....