บทที่1. ระบายยิ้ม

1944 คำ
มานพ ศตินันท์’ ระบายยิ้มบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว เขาหันไปมองหญิงสาวที่เดินคล้องแขนเขาแล้วได้แต่ระบายลมหายใจเบาๆ ความรักเปลี่ยนแปลงคนได้จริงๆ เพียงไม่กี่เดือนหลังงานแต่งงานของน้องสาวจอมยุ่งของเขา ‘ช้องนาง’ เพื่อนสนิทของน้องสาวจากเคยไว้ผมยาวสลวยตอนนี้ตัดสั้นประบ่าแถมดัดเป็นลอนทำให้ใบหน้าดูสวยเก๋มากขึ้นไปอีก แต่ที่เธอสวยขึ้นแบบนี้ไม่ใช่เพราะเขา             “หนูนาไม่คิดว่าพี่หม่อนจะมีเวลามาเดินเที่ยวตลาดนัดเป็นเพื่อนหนูนาเลยนะคะ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสขณะที่สายตาก็มองดูสินค้าที่วางขายอยู่ด้วยความสนใจ             “ก็พอดีพี่ว่าง”  เขาเอ่ยแล้วนึกขำตัวเอง คนอย่าง ‘มานพ ศตินันท์’ นะเหรอ ‘ว่าง’ มีเวลามาเดินเล่นตลาดนัดยามค่ำแบบนี้ ความจริงเขาไม่ได้รังเกียจการเดินซื้อของตามตลาดฝุ่นตลบแบบนี้ เพียงแต่หน้าที่การงานทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลามาทำเรื่องง่ายๆ แค่นี้ เพียงเพราะมันเป็นคำชวนของหญิงสาวคนนี้ต่างหาก เขารู้จักกับช้องนางมาหลายปีผ่านน้องสาวของเขา รวมถึงเพื่อนสาวอีกคนที่ชื่อเปมิกา ทั้งสามสนิทสนมกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจนจบและต่างคนต่างทำงานของตนเอง      น้องสาวของเขาทำงานด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์และน้องสาวของเขาเพิ่งแต่งงานแบบสายฟ้าแล็บไปเมื่อสี่เดือนก่อนกลายเป็นว่าเขาเป็นพี่ชายคนโตที่ยังไร้คู่ในขณะที่น้องๆ ทั้งห้าคนต่างมีครอบครัวของตัวเองเรียบร้อยหมดแล้ว ชายหนุ่มรู้ดีว่ามีคนแอบเชียร์ให้เขา ‘จีบ’ เพื่อนของน้องสาวคนนี้ แต่เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าช้องนางมีคนที่เธอรักอยู่แล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ทั้งสองก็ได้ปรับความเข้าใจกันดี แม้ว่าชายหนุ่มของช้องนางจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเคลียร์ปัญหาบางอย่างที่ยังค้างคาในใจ แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะฉวยโอกาสยามที่ทั้งสองไกลกันทำตัวเป็นมือที่สามเด็ดขาด แค่การได้เห็นหญิงสาวคนนี้มีความสุขเขาก็พอใจแล้ว “พี่หม่อนไม่อยากได้อะไรบ้างหรือคะ” ช้องนางหันมาถามอย่างนึกเกรงใจ ถุงพลาสติกใหญ่ๆ สองใบในมือของเขาเป็นผลการช้อปปิ้งของเธอเอง “ของที่นี่นอกจากสินค้าที่แม่ค้ารับมาขายแล้ว ยังเด่นเรื่องงานแฮนด์เมดด้วยนะคะ” “พี่เห็นแล้วละ”  เขาไม่รู้สึกหนักกับโคมไฟกะลามะพร้าวที่หิ้วให้ช้องนางเลย รวมทั้งแจกันหน้าตาประหลาดอีกด้วย “งั้นขอหนูนาดูเสื้อผ้าสักสองสามชุดแล้วเราไปหาอะไรกินกันไหมคะ” มานพยกข้อมือดูเวลาที่นาฬิกาเรือนเก่าของเขา “ห้าทุ่มแล้วนี่จะกินอะไรดี ไม่กลัวอ้วนเลยนะ” “อ๊ะ!” หญิงสาวชักสีหน้าไม่พอใจทันที “ฉันทำเองนะ ไม่ได้ก็อปแบบใครมาด้วย” “ขอโทษๆ ผมไม่รู้” เขารีบแก้ตัว “แต่เสื้อผ้าสวยมากทีเดียว” “แล้วไป”  ไอริณส่ายหน้าไปมาแล้วหันไปสนใจลูกสาวสองสามคนที่เลือกเสื้อผ้าอย่างสนุก เธอแนะนำชุดเดรสลายดอกไม้เล็กๆ สีม่วงบนพื้นสีขาว กระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยทำให้ดูอ่อนหวานน่ารักยิ่งขึ้น  ช้องนางหยิบชุดเดรสสองชุดมายืนทาบบนตัวเองต่อหน้ามานพให้เขาช่วยเลือก ชายหนุ่มมองอย่างลังเลแล้วพยักหน้าให้ “เอาไปทั้งสองชุดนั้นแหละ เหมาะกับหนูนาทั้งสองชุดเลย” “หนูนามีงบซื้อแค่ตัวเดียวค่ะ” เธอสารภาพ “แต่จริงๆอยากได้หลายชุดเลยล่ะ” “งั้นก็เลือกเลย อยากได้กี่ชุดพี่ออกเงินให้ก็ได้” “ไม่ได้หรอกค่ะ” ช้องนางส่ายหน้าไปมา “หนูนาเกรงใจพี่หม่อน” “เกรงใจทำไม เราก็เหมือนน้องสาวพี่นั้นแหละ” เขายิ้มแล้วยื่นมือขยี้ผมหยักสวยของหญิงสาวอย่างหยอกล้อ “ถ้าหมวยเล็กอยากได้ พี่ก็ซื้อให้เหมือนกัน นานๆ ซื้อให้ที ไม่ใช่ซื้อให้บ่อยๆ เหมือนยัยใบเมี่ยง” ช้องนางหัวเราะกิ๊กกั๊ก เธอรู้ดีว่าเพื่อนสาวของตัวเองแสบสันขนาดไหนเรื่องการช้อปปิ้งเนี้ย! “เอาอย่างนี้ดีกว่า หนูนาให้ส่วนลดที่ร้านกาแฟนะคะ” “นึกว่าจะให้พี่กินฟรี” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “ก็ยังไม่ใช่ร้านของหนูนาเต็มตัวนี่ค่ะ” “พี่ล้อเล่น ไปเลือกเสื้อผ้าเถอะ” “ค่ะ” ช้องนางยิ้มกว้างแล้วหันไปส่งเสื้อให้ไอริณถือ “ขอดูเสื้อคลุมสีน้ำเงินตัวนั้นได้ไหมคะ” “ถ้าจะเลือกให้เข้ากับเดรสชุดนี้เป็นเสื้อคลุมตาข่ายเอวลอยตัวนี้ดีกว่าค่ะ” ไอริณแนะนำ “เข้าชุดกันแล้วทำให้ดูเป็นหวานมากขึ้น หรือถ้าเบื่อก็ใส่เอาไปมิกซ์กับเสื้อชุดอื่นก็ได้ค่ะ” “เสื้อผ้าเก๋ๆ ทั้งนั้นเลือกไม่ถูกเลยค่ะ อยากได้หลายชุดเลย” ช้องนางพูดอย่างจริงใจ มองอีกฝ่ายแล้วคาดเดาว่าอายุก็คงไม่ห่างกันนัก “ถ้าชอบก็ลดให้ได้นะคะ” ไอริณยิ้มกว้าง เธอภูมิใจเวลาที่มีคนชื่นชอบผลงานของเธอ “ปกติขายที่นี่ทุกคืนเหรอคะ” “อ้อ...มาเฉพาะคืนวันศุกร์เสาร์แล้วก็อาทิตย์ค่ะ” ไอรินหยิบที่คาดผมลูกไม้สีชมพูส่งให้ช้องนาง “ถ้าใส่แล้วไม่พอดียังไงเอามาให้แก้ให้ได้นะคะ แต่ละชุดจะมีอยู่แค่ไม่กี่ตัว ฉันแก้ขนาดให้คุณได้” “ว้าว! นี่คุณทำเองเหรอคะ เก่งจัง” “ทำได้แค่สิ่งที่ตัวเองรักนะคะ” ไอริณรู้สึกถูกชะตากับลูกค้าคนนี้  “แค่นั้นก็ดีมากๆแล้วละคะ” ช้องนางให้กำลังใจ “ปกติฉันก็ไม่ค่อยซื้อเสื้อผ้าเท่าไหร่ เลือกไม่ค่อยเป็น จะซื้อทีก็เลยคิดนานหน่อยค่ะ” “เลือกได้ตามสบายเลยค่ะ” ช้องนางหยิบเสื้อและกระโปรงจากราวแขวนอีกสองชุด แล้วหันไปมองมานพเป็นเชิงขออนุญาต เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับเธอก็รีบยื่นให้ไอริณทันที ราวกับกลัวว่าพี่ชายของเพื่อนซี้จะเปลี่ยนใจ “เอาหมดนี้ละคะ” “ทั้งหมดห้าชุดนะคะ” ไอริณถามพลางจัดเสื้อผ้าใส่ถุงกระดาษอย่างประณีต “แถมที่คาดผมให้ละกันค่ะ” “ขอบคุณมากค่ะ” ไอริณหันไปยื่นถุงใส่เสื้อผ้าพร้อมกับแจ้งราคาให้กับมานพ เขาพยักหน้ารับแล้วเปิดกระเป๋าสตางค์ส่งเงิน “ไม่ต้องทอนนะครับ” “ตั้งห้าร้อยเชียวนะคะ” ไอริณทำตาโต “คุณไม่ต้องทิปให้เยอะขนาดนี้ก็ได้” “ผมให้เพราะอยากช่วยสนับสนุนคุณมากกว่า... คนไทยที่พยายามยืนด้วยแบรดน์ของตนเองย่อมดีกว่าพวกที่เก่งแต่ก็อปของคนอื่นมา” “ถ้าอย่างนั้น...ฉันรับไว้ก็ได้ค่ะ” ไอริณรู้สึกขัดๆ เขินๆ เธอยังไม่เคยเจอลูกค้าให้ทิปเยอะขนาดนี้ “ถ้ามีโอกาสผมจะบอกน้องสาวให้มาดูเสื้อผ้าที่นี่อีกนะครับ” เขายิ้มและรับถุงเสื้อมาจากมือของไอริณ “คราวหน้าลองทำเสื้อผ้าผู้ชายบ้างนะครับ” “ถ้ามีทุนละก็...ฉันทำแน่นอนค่ะ” “ผมจะรออุดหนุนครับ” มานพยิ้มให้ไอริณอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาจากร้านพร้อมถุงเสื้อผ้าถุงใหญ่พร้อมทั้งข้าวของที่ซื้อมาก่อนหน้านี้แล้วของช้องนาง หญิงสาวผมดัดเป็นลอนยิ้มน้อยๆ แบบที่มานพมองแล้วต้องขมวดคิ้ว “มีอะไรติดหน้าพี่เหรอ” “เจ้าของร้านคนเมื่อกี้น่ารักนะคะ” “ก็น่ารักดี แล้วไงล่ะ” “พี่หม่อนอย่ามาทำหน้าตายเลย หนูนาเข้าใจหรอกน่ะ” “เข้าใจอะไร พี่ยังไม่รู้เรื่องเลย” “เอาน่าๆ หนูนาไม่ไปฟ้องใบเมี่ยงหรอกค่ะ” “พูดอะไรไม่รู้เรื่อง” มานพโคลงศีรษะไปมา “สรุปว่าคืนนี้จะกินอะไร?” “หาข้าวต้มร้อนๆ กินดีไหมค่ะ” “เอาซิ ถ้าแน่ใจว่ากินไหวนะ” “โอ๊ย สบายอยู่แล้ว! เห็นแบบนี้นะ หนูนาจอมเขมือบเลยล่ะ” “ได้ๆ จะรอดูว่าจะกินได้แค่ไหนเชียว” มานพอดหัวเราะในลำคอไม่ได้ ตัวก็ผอมบางนิดเดียวจะกินอะไรได้สักแค่ไหนเชียว ขณะที่พาเพื่อนของน้องสาวมาที่รถและเตรียมขับออกไปเผื่อหาอาหารรอบดึก ชายหนุ่มกลับอดคิดถึงแม่ค้าหน้าหวานเมื่อครู่ไม่ได้ ราวกับเคยพบเจอที่ไหนมาก่อน มันนานเสียจนราวกับภาพในความฝัน เขาคิดถึงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรก็ร้องไห้โวยวาย แต่ครั้งหนึ่ง มือเล็กๆ นั่นจับชายเสื้อด้านหลังของเขาแล้วร้องไห้จ้า ทั้งน้ำมูก น้ำตาแทบแยกกันไม่ออก วันนั้น...วันที่แม่ของเด็กหญิงคนนั้นจากไปไม่มีวันกลับ.   “พี่หม่อนอ่ะ พูดแบบนี้เดี๋ยวไม่เลี้ยงเลย”  ช้องนางทำหน้างอนแล้วหยุดที่ร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่ง เธอปล่อยมือจากแขนของเขาอย่างรวดเร็วแล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปในร้านที่จัดสวยงามแม้จะเป็นแค่แผงขายของในตลาดนัดเท่านั้น        มานพส่ายหน้าไปมาแล้วเดินตามไปหยุดยืนหน้าร้าน แต่เพราะตัวเขาสูงใหญ่เกรงจะเกะกะหน้าร้านจะเดินเข้าไปข้างใน  แต่เสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงทำให้เขารู้สึกเขินๆ ไม่น้อยทีเดียว            “วางของก่อนก็ได้นะคะ” หญิงสาวเจ้าของแผงเสื้อทักทายลูกค้าหนุ่มร่างใหญ่ที่ทำให้เธอต้องแหงนหน้ามอง  “ครับ... ขอบคุณมาก” เขาวางถุงช้อปปิ้งของช้องนางที่พื้นไม่ให้เกะกะลูกค้าคนอื่น “ผู้หญิงเลือกเสื้อผ้าใช้เวลาหน่อย ทำใจนิดนะคะ” หญิงสาวยิ้มให้แบบเป็นกันแล้วหันไปสนใจลูกค้าสาวที่หยิบชุดเดรสออกมาจากราวแขวนเสื้อทาบที่ตัวเอง “ไม่เป็นไร ผมไม่รีบอยู่แล้ว” มานพเอ่ยตอบแต่หญิงสาวไม่ได้สนใจฟัง เมื่อมือของเขาว่างแล้ว เขาก็จัดการเลื่อนเนคไทแล้วดึงมันออกจากคอปกเสื้อก่อนจะตามด้วยแกะกระดุมเม็ดบนออกอีกเม็ดเพื่อระบายความร้อน “อย่าเก็บเนทไทแบบนั้นซิคะ เสียของหมด” ไอริณเผลอส่งเสียงดุชายร่างสูงอย่างไม่ตั้งใจ แต่เมื่อเห็นเขากำลังขดๆ สายเนทไทใส่กระเป๋ากางเกงแสลคที่เขาสวมอยู่ เธอก็รีบเดินมาแย่งเนทไทไปจากมือของเขา “ของจะดีหรือไม่ดีก็ต้องเก็บให้เรียบร้อย เวลาไม่ใช่เนทไทแล้วคุณต้องคลี่มันออกแล้วม้วนเก็บไว้แบบนี้ เวลาเอามาใช้ใหม่มันจะได้ไม่เสียทรง” “เอ่อ...ครับ” มานพเอ่ยรับแบบงงๆ แล้วมองหญิงสาวอย่างพิเคราะห์ แปลกใจที่จู่ๆ เขารู้สึกคุ้นๆ ใบหน้าของหญิงสาว  แต่...จะเป็นไปได้หรือ? ถ้าเขาเจอเธอในสถานที่หรูหราหรือไม่ก็...ไม่ใช่สถานะแม่ค้าแบบนี้ “อุ้ย! ขอโทษนะคะ” ไอริณส่งเนคไทที่ม้วนเก็บเรียบร้อยแล้วส่งคืนให้เขา “ฉันไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอีกแล้ว” “ไม่เป็นไรครับ” เขารับมาแล้วยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง “เสื้อผ้าร้านของคุณเก๋แปลกตาดี ไปรับมาจากไหนเหรอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม