1.สู้จนตัวตาย (2)

1178 คำ
หลังจากนอนนิ่งๆ ครู่หนึ่ง นวลเห็นว่าไม่มีใครเข้ามาอีกหญิงสาวก็พยายามลุกขึ้นนั่งเพราะตนเองนอนตะแคงตัวอยู่จนเมื่อยขบ รู้สึกได้ว่าตนมีบาดแผลบนแผ่นหลังบริเวณที่เคยถูกพม่าฟัน ทว่าแทนที่จะเจ็บร้าวจนไม่อาจขยับตัวได้ นางกลับรู้สึกตึงๆ ราวแผลกำลังประสานกันมากกว่าจะเพิ่งเกิดขึ้นอย่างสดใหม่ ‘หรือว่าฉันหมดสติไปหลายวันแล้ว’ คิ้วเรียวสวยขมวด เมื่อนั่งแล้วนวลจึงเห็นว่าชุดที่ตนใส่ค่อนข้างยาว หากก็ไม่ได้หนาแน่นอาจเพราะมีแผล เท่ากับว่าคนที่ช่วยตนมานั้นช่วยรักษาตนจริง ร่างบางอรชรยืนแล้วก้าวช้าๆ ไม่รีบร้อน หากก็โซเซไปมาอย่างค่อนข้างอ่อนแรง แล้วก็เผลอเหยียบชายชุดตัวเองทำเอาแทบล้มหน้าคะมำ ยังดีที่ผวาไปเกาะโต๊ะเตี้ยใกล้ๆ ได้ทันจนโต๊ะขยับเสียงกุกกัก เวลานั้นก็มีเสียงเคาะประตูพลางพูดจากด้านนอก “ท่านหญิงเจ้าคะ รู้สึกตัวแล้วหรือเจ้าคะ” นวลไม่เข้าใจจึงไม่ได้พูดอะไร แต่จะกลับไปยังเตียงก็ไม่ทัน และอีกฝ่ายก็เปิดประตูเข้ามาแล้ว นวลผงะเมื่อหญิงสาวคนนั้นมองตนทั้งยังอุทานอย่างตกใจและรีบก้าวเข้ามาวางถ้วยใส่บางอย่างที่โต๊ะแล้วจับแขนตน “อย่าเข้ามานะ จะจับฉันไปไหน” “ท่านหญิงพูดอะไรนะเจ้าคะ” คนถามมีสีหน้างุนงง นวลสะบัดมืออย่างระแวง แต่อีกฝ่ายก็ยังพยายามช่วยพยุง “ไหวไหมเจ้าคะ ท่านหญิงจะนั่งที่เก้าอี้ก่อน หรือให้ย่าซินพากลับไปที่เตียงเจ้าคะ” แม้ไม่เข้าใจคำพูดอีกฝ่าย ทว่าท่าทีห่วงใยก็ทำให้นวลผ่อนคลายความไม่ไว้ใจลง ‘เขาคงอยากช่วยฉัน’ พลางคิดก็พยายามจะเคลื่อนกายไปนั่งเก้าอี้ใกล้ๆ อีกฝ่ายจึงรีบช่วย หากก็ยังพูดต่อ “ท่านหญิงต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ ย่าซินจะไปเอาให้” “ที่นี่ที่ไหน ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คำถามของตนทำให้อีกฝ่ายเผยอปากหน้าซีด นวลจึงถอนหายใจอย่างหนักใจ ไม่รู้จะพูดคุยกันเข้าใจได้อย่างไร “ท่านหญิงพูดอะไรกันเจ้าคะ ท่านหญิงเป็นอะไรหรือเจ้าคะ” อีกฝ่ายเสียงเครือสั่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “หนิงเอ๋อร์” เสียงผู้หญิงที่นวลเคยได้ยินอยู่หน้าประตู หญิงสาวเหลือบมองแล้วสะดุ้งอย่างรู้สึกไม่ดีเมื่อผู้มาใหม่รีบร้อนเดินมายังตน “เจ้าขยับตัวได้แล้ว แม่ดีใจเหลือเกินที่เจ้าฟื้นขึ้นมา” คนพูดเข้ามากอดตนอย่างยินดี นวลผลักออกไม่ทัน หากมือที่กำลังยกขึ้นก็หยุดลงเมื่ออีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ทำร้ายตน “แม่กลัวจับใจเพราะเจ้ามีไข้หนักถึงสามวันสามคืน แต่พอไข้ลดเจ้ากลับตัวเย็นเฉียบ นอนนิ่งลมหายใจรวยรินแทบจับชีพจรไม่ได้อีกสามวันเต็ม แม่กลัวมาก ยังดีที่เมื่อคืนที่ผ่านมาอาการเช่นนั้นก็หายไป เนื้อตัวอุ่นขึ้น” “พระชายาเป็นห่วงท่านหญิงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ นี่หากไม่เพราะท่านหมอมาตรวจอาการเมื่อตอนเช้าบอกว่าชีพจรท่านหญิงเป็นปกติแล้ว คงไม่ยอมออกไปทานอาหารเช้า” ไม่ว่าคนพวกนี้จะพูดอะไรนวลก็ไม่เข้าใจ แต่เพราะคนที่กอดตนถอยออกมาประคองแก้มสองข้างพร้อมมองด้วยน้ำตาไหลพราก นวลจึงไม่แข็งขืนสะบัดตัวหนี ขณะเดียวกันความงุนงงก็ยิ่งถาโถม ไยอีกฝ่ายจึงมองตนราวรักใคร่มากมาย เหมือนเป็นญาติสนิทหรือคนรู้จัก เหมือนจะเป็นลูกด้วยซ้ำ “เอ่อ...” นวลอยากคุยให้เข้าใจ แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ขณะที่อีกฝ่ายผละไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวพลางบอก “หิวหรือยัง กินโจ๊กหน่อยนะ ลูกไม่ได้กินอะไรมาหลายวันนอกจากยา” คนพูดเปิดฝาถ้วยแล้วเริ่มตักอาหาร มันเป็นข้าวต้มเละๆ แล้วส่งช้อนมาให้ แรกทีเดียวนวลเอนหน้าหนีอย่างไม่ไว้ใจ แต่เพราะคนป้อนพูดย้ำพลางพยักหน้าคะยั้นคะยอ และรู้สึกว่าท้องตนร้องประท้วงโครกครากด้วยความหิวสุดท้ายจึงยอมกิน ‘เอาเถิด อุตส่าห์ช่วยมาแล้วคงไม่มาวางยาพิษกันกระมัง’ นวลคิดในใจพลางกินอาหารรสชาติจืดเหมือนอาหารคนป่วยทั่วไป แต่ยังดีกว่าไม่ได้กิน อย่างน้อยตนก็จะกลับมามีเรี่ยวแรง ขณะคิดไปด้วยว่าจะพูดกับพวกเขารู้เรื่องได้อย่างไร “ท่านหญิงทานได้เยอะเลยเพคะพระชายา” “นั่นสิ ดีจริง” ทั้งคนป้อนและคนที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจ นวลเองก็พอมองออก แล้วคนที่ยืนก็รีบรินน้ำจากกาใกล้ๆ มาส่งให้เธอเมื่อข้าวต้มเละนั้นหมด นวลรับมาดื่มโดยรู้สึกว่าไม่ใช่น้ำเปล่าแต่ก็เหมือนจะไม่อันตราย “ระหว่างรอย่าซินไปเอายา แม่ว่าเจ้ากลับไปนั่งพักที่เตียงดีกว่านะหนิงเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บที่หลัง นั่งพิงเก้าอี้ไม่ได้” “ท่านช่วยข้าไว้ใช่ไหม” “อะไรนะลูก” ผู้หญิงที่ป้อนอาหารให้ตนหน้าซีดเผือด “เจ้าพูดอะไรน่ะหนิงเอ๋อร์ แม่ไม่เข้าใจ” เอ่ยถามแล้วก็หันไปมองอีกคน ซึ่งผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าก็หน้าเสียตาม “นี่มันอะไรกันย่าซิน” “บ่าวไม่รู้เหมือนกันเพคะพระชายา พอเข้ามาก็ได้ยินท่านหญิงเอ่ยคำประหลาดๆ เช่นกันเพคะ” ได้ฟังแล้วคนถามก็ยิ่งมีสีหน้าร้อนใจ “เวลานี้ท่านหมอออกไปตรวจอาการท่านแม่ทัพพร้อมกับท่านอ๋องเสียด้วยสิ จะให้มาดูหนิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ เจ้ามาช่วยข้าพาหนิงเอ๋อร์กลับไปที่เตียงก่อน แล้วไปเอายามาก็แล้วกัน” แม้จะมึนงงแต่เมื่อทั้งสองคนช่วยพยุงตนนวลก็ยอมลุกขึ้น หญิงสาวมองผู้หญิงทั้งสองคนพร้อมกับพูดไม่หยุด “ฉันรู้ว่าพวกท่านไม่เข้าใจฉัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับพวกท่านให้เข้าใจได้ยังไง ฉันเองก็อึดอัดใจเหมือนกัน” เมื่อนั่งลงบนเตียงแล้วผู้หญิงที่อายุมากก็ยิ่งร้องไห้หนัก ลูบไหล่ลูบแก้มของนวล พร้อมพึมพำราวเจ็บปวดเสียใจอย่างมาก “หนิงเอ๋อร์ลูกแม่ เจ้าเป็นอะไรลูก หรือเพราะพิษไข้ทำให้เจ้าสติฟั่นเฟือนไปแล้ว โธ่...ลูกแม่” ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไร ยิ้มดีใจแล้วอยู่ๆ ก็ร้องไห้อย่างกับสติไม่ดี จากที่คุยกันไม่รู้เรื่องอยู่แล้วยิ่งยากจะสื่อสารกันมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งคิดนวลก็ยิ่งเคร่งเครียด ‘นวลเอ๊ยนวล รอดตายมาได้ แต่กลับคุยกันไม่เข้าใจ แล้วเมื่อไรจะได้กลับกรุงศรีอยุธยา ในเมื่อพูดอะไรไปคนพวกนี้ก็มองเหมือนฉันเป็นคนบ้าใบ้เสียอย่างนั้น เฮ้อ...’ ======
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม