หลังจากนอนนิ่งๆ ครู่หนึ่ง นวลเห็นว่าไม่มีใครเข้ามาอีกหญิงสาวก็พยายามลุกขึ้นนั่งเพราะตนเองนอนตะแคงตัวอยู่จนเมื่อยขบ รู้สึกได้ว่าตนมีบาดแผลบนแผ่นหลังบริเวณที่เคยถูกพม่าฟัน ทว่าแทนที่จะเจ็บร้าวจนไม่อาจขยับตัวได้ นางกลับรู้สึกตึงๆ ราวแผลกำลังประสานกันมากกว่าจะเพิ่งเกิดขึ้นอย่างสดใหม่
‘หรือว่าฉันหมดสติไปหลายวันแล้ว’
คิ้วเรียวสวยขมวด เมื่อนั่งแล้วนวลจึงเห็นว่าชุดที่ตนใส่ค่อนข้างยาว หากก็ไม่ได้หนาแน่นอาจเพราะมีแผล เท่ากับว่าคนที่ช่วยตนมานั้นช่วยรักษาตนจริง
ร่างบางอรชรยืนแล้วก้าวช้าๆ ไม่รีบร้อน หากก็โซเซไปมาอย่างค่อนข้างอ่อนแรง แล้วก็เผลอเหยียบชายชุดตัวเองทำเอาแทบล้มหน้าคะมำ ยังดีที่ผวาไปเกาะโต๊ะเตี้ยใกล้ๆ ได้ทันจนโต๊ะขยับเสียงกุกกัก เวลานั้นก็มีเสียงเคาะประตูพลางพูดจากด้านนอก
“ท่านหญิงเจ้าคะ รู้สึกตัวแล้วหรือเจ้าคะ”
นวลไม่เข้าใจจึงไม่ได้พูดอะไร แต่จะกลับไปยังเตียงก็ไม่ทัน และอีกฝ่ายก็เปิดประตูเข้ามาแล้ว นวลผงะเมื่อหญิงสาวคนนั้นมองตนทั้งยังอุทานอย่างตกใจและรีบก้าวเข้ามาวางถ้วยใส่บางอย่างที่โต๊ะแล้วจับแขนตน
“อย่าเข้ามานะ จะจับฉันไปไหน”
“ท่านหญิงพูดอะไรนะเจ้าคะ”
คนถามมีสีหน้างุนงง
นวลสะบัดมืออย่างระแวง แต่อีกฝ่ายก็ยังพยายามช่วยพยุง
“ไหวไหมเจ้าคะ ท่านหญิงจะนั่งที่เก้าอี้ก่อน หรือให้ย่าซินพากลับไปที่เตียงเจ้าคะ”
แม้ไม่เข้าใจคำพูดอีกฝ่าย ทว่าท่าทีห่วงใยก็ทำให้นวลผ่อนคลายความไม่ไว้ใจลง
‘เขาคงอยากช่วยฉัน’
พลางคิดก็พยายามจะเคลื่อนกายไปนั่งเก้าอี้ใกล้ๆ อีกฝ่ายจึงรีบช่วย หากก็ยังพูดต่อ
“ท่านหญิงต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ ย่าซินจะไปเอาให้”
“ที่นี่ที่ไหน ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
คำถามของตนทำให้อีกฝ่ายเผยอปากหน้าซีด นวลจึงถอนหายใจอย่างหนักใจ ไม่รู้จะพูดคุยกันเข้าใจได้อย่างไร
“ท่านหญิงพูดอะไรกันเจ้าคะ ท่านหญิงเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
อีกฝ่ายเสียงเครือสั่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“หนิงเอ๋อร์”
เสียงผู้หญิงที่นวลเคยได้ยินอยู่หน้าประตู หญิงสาวเหลือบมองแล้วสะดุ้งอย่างรู้สึกไม่ดีเมื่อผู้มาใหม่รีบร้อนเดินมายังตน
“เจ้าขยับตัวได้แล้ว แม่ดีใจเหลือเกินที่เจ้าฟื้นขึ้นมา”
คนพูดเข้ามากอดตนอย่างยินดี นวลผลักออกไม่ทัน หากมือที่กำลังยกขึ้นก็หยุดลงเมื่ออีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ทำร้ายตน
“แม่กลัวจับใจเพราะเจ้ามีไข้หนักถึงสามวันสามคืน แต่พอไข้ลดเจ้ากลับตัวเย็นเฉียบ นอนนิ่งลมหายใจรวยรินแทบจับชีพจรไม่ได้อีกสามวันเต็ม แม่กลัวมาก ยังดีที่เมื่อคืนที่ผ่านมาอาการเช่นนั้นก็หายไป เนื้อตัวอุ่นขึ้น”
“พระชายาเป็นห่วงท่านหญิงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ นี่หากไม่เพราะท่านหมอมาตรวจอาการเมื่อตอนเช้าบอกว่าชีพจรท่านหญิงเป็นปกติแล้ว คงไม่ยอมออกไปทานอาหารเช้า”
ไม่ว่าคนพวกนี้จะพูดอะไรนวลก็ไม่เข้าใจ แต่เพราะคนที่กอดตนถอยออกมาประคองแก้มสองข้างพร้อมมองด้วยน้ำตาไหลพราก นวลจึงไม่แข็งขืนสะบัดตัวหนี ขณะเดียวกันความงุนงงก็ยิ่งถาโถม
ไยอีกฝ่ายจึงมองตนราวรักใคร่มากมาย เหมือนเป็นญาติสนิทหรือคนรู้จัก เหมือนจะเป็นลูกด้วยซ้ำ
“เอ่อ...”
นวลอยากคุยให้เข้าใจ แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ขณะที่อีกฝ่ายผละไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวพลางบอก
“หิวหรือยัง กินโจ๊กหน่อยนะ ลูกไม่ได้กินอะไรมาหลายวันนอกจากยา”
คนพูดเปิดฝาถ้วยแล้วเริ่มตักอาหาร มันเป็นข้าวต้มเละๆ แล้วส่งช้อนมาให้ แรกทีเดียวนวลเอนหน้าหนีอย่างไม่ไว้ใจ แต่เพราะคนป้อนพูดย้ำพลางพยักหน้าคะยั้นคะยอ และรู้สึกว่าท้องตนร้องประท้วงโครกครากด้วยความหิวสุดท้ายจึงยอมกิน
‘เอาเถิด อุตส่าห์ช่วยมาแล้วคงไม่มาวางยาพิษกันกระมัง’
นวลคิดในใจพลางกินอาหารรสชาติจืดเหมือนอาหารคนป่วยทั่วไป แต่ยังดีกว่าไม่ได้กิน อย่างน้อยตนก็จะกลับมามีเรี่ยวแรง ขณะคิดไปด้วยว่าจะพูดกับพวกเขารู้เรื่องได้อย่างไร
“ท่านหญิงทานได้เยอะเลยเพคะพระชายา”
“นั่นสิ ดีจริง”
ทั้งคนป้อนและคนที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจ นวลเองก็พอมองออก แล้วคนที่ยืนก็รีบรินน้ำจากกาใกล้ๆ มาส่งให้เธอเมื่อข้าวต้มเละนั้นหมด นวลรับมาดื่มโดยรู้สึกว่าไม่ใช่น้ำเปล่าแต่ก็เหมือนจะไม่อันตราย
“ระหว่างรอย่าซินไปเอายา แม่ว่าเจ้ากลับไปนั่งพักที่เตียงดีกว่านะหนิงเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บที่หลัง นั่งพิงเก้าอี้ไม่ได้”
“ท่านช่วยข้าไว้ใช่ไหม”
“อะไรนะลูก”
ผู้หญิงที่ป้อนอาหารให้ตนหน้าซีดเผือด
“เจ้าพูดอะไรน่ะหนิงเอ๋อร์ แม่ไม่เข้าใจ”
เอ่ยถามแล้วก็หันไปมองอีกคน ซึ่งผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าก็หน้าเสียตาม
“นี่มันอะไรกันย่าซิน”
“บ่าวไม่รู้เหมือนกันเพคะพระชายา พอเข้ามาก็ได้ยินท่านหญิงเอ่ยคำประหลาดๆ เช่นกันเพคะ”
ได้ฟังแล้วคนถามก็ยิ่งมีสีหน้าร้อนใจ
“เวลานี้ท่านหมอออกไปตรวจอาการท่านแม่ทัพพร้อมกับท่านอ๋องเสียด้วยสิ จะให้มาดูหนิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ เจ้ามาช่วยข้าพาหนิงเอ๋อร์กลับไปที่เตียงก่อน แล้วไปเอายามาก็แล้วกัน”
แม้จะมึนงงแต่เมื่อทั้งสองคนช่วยพยุงตนนวลก็ยอมลุกขึ้น หญิงสาวมองผู้หญิงทั้งสองคนพร้อมกับพูดไม่หยุด
“ฉันรู้ว่าพวกท่านไม่เข้าใจฉัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับพวกท่านให้เข้าใจได้ยังไง ฉันเองก็อึดอัดใจเหมือนกัน”
เมื่อนั่งลงบนเตียงแล้วผู้หญิงที่อายุมากก็ยิ่งร้องไห้หนัก ลูบไหล่ลูบแก้มของนวล พร้อมพึมพำราวเจ็บปวดเสียใจอย่างมาก
“หนิงเอ๋อร์ลูกแม่ เจ้าเป็นอะไรลูก หรือเพราะพิษไข้ทำให้เจ้าสติฟั่นเฟือนไปแล้ว โธ่...ลูกแม่”
ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไร ยิ้มดีใจแล้วอยู่ๆ ก็ร้องไห้อย่างกับสติไม่ดี จากที่คุยกันไม่รู้เรื่องอยู่แล้วยิ่งยากจะสื่อสารกันมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งคิดนวลก็ยิ่งเคร่งเครียด
‘นวลเอ๊ยนวล รอดตายมาได้ แต่กลับคุยกันไม่เข้าใจ แล้วเมื่อไรจะได้กลับกรุงศรีอยุธยา ในเมื่อพูดอะไรไปคนพวกนี้ก็มองเหมือนฉันเป็นคนบ้าใบ้เสียอย่างนั้น เฮ้อ...’
======