เสียงปลายนิ้วที่กดลงบนหน้าจอมือถือดังแผ่วเบาในห้องเงียบสนิท ไลลา นั่งขัดสมาธิอยู่กลางพรมขนแกะสีขาวหน้าชั้นหนังสือในห้องนั่งเล่น มือข้างหนึ่งกุมโทรศัพท์แน่น ขณะที่อีกข้างลูบหน้าท้องแผ่ว ๆ อย่างไร้จุดหมาย
เบอร์เดิม เบอร์ที่เธอกดโทรหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีการรับสาย เสียงข้อความอัตโนมัติเพลงวนซ้ำเหมือนฝังลงในจิตใจเธอทุกครั้ง “สายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
และนั่นแหละ ทำให้จู่ ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลลงมาโดยไม่ต้องมีเสียงสะอื้น เธอกัดริมฝีปากแน่น หลับตาแล้วเอนหลังพิงขอบโซฟาเหมือนอยากจะละลายหายไปตรงนั้นให้หมด เธอเหนื่อย เหลือเกิน มือที่เคยมั่นคงของอาจารย์จิตวิทยา กลับสั่นทุกครั้งที่คิดถึงความจริงตรงหน้าที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอท้อง และเธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับมัน
ไลลาหลับตานึกถึงหน้าพ่อ หน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังตอนพี่สาวสารภาพว่าท้องโดยไม่รู้ว่าใครคือพ่อของเด็ก นึกถึงแม่ที่เอามือกุมขมับด้วยความอับอายกับคำพูดของพี่สาวว่ามี “สองคนที่เป็นไปได้” และจากนั้นภาพในหัวของเธอก็กลายเป็นตัวเอง นั่งอยู่ปลายโต๊ะอาหาร กำลังพูดคำเดียวกันว่า “หนูก็ท้องค่ะ” เธอไม่อยากนึกต่อ เธอไม่กล้าจินตนาการว่าพ่อจะลุกหนีเหมือนครั้งนั้นไหม หรือว่าแม่จะพูดว่า “นี่มันอะไรกัน ไลลา ลูกคนเดียวที่แม่ภูมิใจที่สุด” เธอคงรับคำนี้ไม่ไหว และนั่นทำให้เธอรู้ เธอบอกที่บ้านไม่ได้
เธอก้มหน้าลงซบหัวเข่าตัวเองแน่น น้ำตาซึมเปียก แล้วเธอก็เปิด iPad ขึ้นมาอีกครั้ง ค้นหาคำว่า
ทำแท้ง 5 สัปดาห์ ปลอดภัยไหม,ทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์,คลินิกยุติการตั้งครรภ์ถูกกฎหมายในกรุงเทพ
ข้อมูลมากมายไหลทะลักเข้ามา บางเว็บไซต์บอกว่า ช่วง 5-7 สัปดาห์แรกยังอยู่ในขั้นตอนที่ปลอดภัยที่สุดในการตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ การใช้ยา หรือการขูดมดลูกยังอยู่ในขั้นที่ควบคุมความเสี่ยงได้ เธออ่านทุกบรรทัดเหมือนกำลังกลั้นหายใจอยู่ใต้น้ำ
พลางกดโทรศัพท์หาคุณโปรดอีกครั้ง เป็นสายที่ห้า…เจ็ด…แปด ไม่มีการรับ เธอพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง “รับสายสักทีขอร้อง” เสียงเธอแหบพร่าและแตกสลาย
เธอรู้ดีว่าเขาคือพ่อของเด็กในท้อง และต่อให้ไม่มีสถานะของความสัมพันธ์ต่อกัน เธอก็ยังเชื่อว่าเขาควรรู้เรื่องนี้ก่อนใคร ตอนนี้เขาคือคนเดียวในโลกที่เธอบอกความจริงได้
หากเขายอมรับก็ดี เธออาจจะหาทางอยู่ด้วยกัน หรืออย่างน้อยก็รับผิดชอบร่วมกัน หากเขาไม่ยอมรับ เธอก็จะเลือกยุติทุกอย่างไว้ตรงนี้ เธอจะไม่มีวันยอมให้เด็กคนหนึ่งเติบโตมาโดยมีคำถามติดตัวว่า “พ่อของฉันคือใคร” หรือถูกผลักไสโดยพ่อแม่ทั้งสอง และหากคุณโปรดเสนอให้แต่งงาน ไลลาก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะยอมรับได้ไหม ชีวิตคู่กับเขา ฟังดูไม่มีอนาคตเอาเสียเลย ไม่ใช่แค่เขานิ่ง เงียบ ห่างไกลกันโดยธรรมชาติ
แต่เพราะเขา เป็นญาติของธาวิน คนที่เธอไม่อยากแม้แต่จะได้ยินชื่ออีกในชีวิต และเธอไม่สามารถทนเห็นเขาในงานรวมญาติ หรือแม้แต่นั่งโต๊ะเดียวกันกับคนคนนั้นได้
ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้คือให้เขารู้ และให้เขาตัดสินใจ ถ้าเขาจะทิ้งลูก เธอก็จะทิ้งลูกเช่นกัน เธอจะทำหน้าที่แม่ในแบบที่เธอเลือกเอง เลือกที่จะไม่เป็น แค่เพื่อให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ได้อย่างเงียบ ๆ
เสียงปลายนิ้วกดหน้าจออีกครั้ง สายที่ 20 แล้ว ดวงตาของไลลาแดงช้ำเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน เธอนั่งอยู่มุมโซฟาใต้แสงไฟข้างเตียงสลัว ๆ ในเพนต์เฮาส์ของตัวเอง มือข้างหนึ่งกุมโทรศัพท์แน่น ขณะที่เสียงหัวใจเต้นดังไปถึงหูตัวเอง “รับที” เธอพึมพำก่อนที่ปลายสายจะส่งเสียง ติ๊ด พร้อมสัญญาณเชื่อมต่อที่รอคอยมาทั้งคืน
“ฮัลโหล” เสียงทุ้มของปลายสายดังขึ้น เบากว่าเสียงในความทรงจำ แต่กลับชัดเจนจนเธอเผลอกลั้นหายใจ ไลลาชะงัก มือข้างที่ถือโทรศัพท์สั่นน้อย ๆ พลางเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนบนผนัง เที่ยงคืนตรง
“ฉันไลลานะคะ” เธอพูดออกไปเบา ๆ พยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่นมากนัก “พอดี ฉันจะโทรมาบอกว่า…” คำพูดต่อมาเหมือนติดอยู่ในลำคอ เธอกลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหลับตา
“คุณโปรดคะ เราไปกันเถอะค่ะ” ความเงียบถาโถมกลับมาทันที ไม่มีเสียงใดตอบรับจากปลายสาย ไลลาถึงกับหรี่ตาลง เงี่ยหูฟังอีกครั้ง และวินาทีนั้นเอง เธอก็ได้ยิน เสียงผู้หญิงแว่วมาเบา ๆ จากปลายสาย “คุณโปรด ใครโทรมาดึกขนาดนี้เหรอคะ” เสียงนั้นไม่ใช่ของเธอ ไม่ใช่เสียงที่เธอควรได้ยินในตอนนี้
ไลลาหัวใจร่วงลงไปอยู่ที่พื้นอย่างไม่มีเสียง เธอชะงัก หยุดหายใจไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแทบกระซิบ
“คุณ…ยังอยู่ในสายไหม…” เสียงของเธอเบาลงเพราะความสับสนที่ถาโถมจนพูดแทบไม่ออก
“อยู่ครับ” เสียงของคุณโปรดตอบกลับมาในที่สุด น้ำเสียงไม่ได้ตกใจ ไม่ได้อธิบาย มีเพียงความนิ่งที่เธอไม่สามารถตีความได้เลย “คุณมีอะไรจะบอกผมงั้นเหรอ” เขาถามต่อ เสียงราบเรียบเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากตอนพบกันครั้งสุดท้ายเลย
“เอ่อ…ไม่…ไม่มีอะไรค่ะ” เธอตอบทันทีอย่างอัตโนมัติ ก่อนจะกดตัดสายไปด้วยมือสั่น
น้ำตาไหลเงียบ ๆ อีกรอบ ทั้งที่คิดว่าหมดไปแล้ว เธอพิงหลังกับเบาะโซฟาอย่างอ่อนล้า ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาเบิกกว้างแต่สั่นไหว ตอนนี้ทุกอย่างในหัวเธอวุ่นวายไปหมด
ใครคือผู้หญิงคนนั้น?
แฟนเขาเหรอ?
หรือแค่ใครที่อยู่ด้วยในคืนนี้?
หรือเพราะเธอไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นคนแบบไหน?
ไลลาทำได้แค่ยกมือขึ้นลูบท้องเบา ๆ อีกครั้ง และในค่ำคืนนี้เธอก็คงจะไม่มีคำตอบใด นอกจากความเงียบที่หนักแน่นกว่าคำพูดทั้งหมด
เสียงของสายที่ถูกตัดไปยังดังก้องอยู่ในหัว ไลลาไม่สามารถข่มตาหลับได้แม้จะปิดไฟทั้งห้องไปนานแล้ว เธอนอนอยู่บนโซฟาในชุดเดิม ไม่แม้แต่จะถอดนาฬิกาข้อมือออก มือของเธอยังคงกำโทรศัพท์แน่นเหมือนมันจะหลุดลอยไปกับความหวังสุดท้ายที่เธอฝากไว้กับคนคนหนึ่ง คืนนั้นทั้งคืน ไม่มีข้อความ ไม่มีสายกลับ ไม่มีคำอธิบาย
เช้าวันใหม่ที่ฟ้าไม่สดใสเลยสักนิด ไลลาลุกขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า อาบน้ำแต่งหน้า แต่งตัวตามปกติ สวมสูทครีมสีเรียบกับรองเท้าส้นสูงของ Jimmy Choo แล้วคว้ากระเป๋าใบโปรดของ Hermes ออกไปสอนที่มหาวิทยาลัยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอเดินเข้าสู่บทเรียน การเยียวยาจิตใจผู้ที่เผชิญความสูญเสีย ด้วยเสียงเรียบเฉย ดวงตาอ่อนล้าแต่แข็งแรงพอที่จะยืนหน้าห้องได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ทว่าลึกในใจ เธอรู้ดีว่า ผู้หญิงตรงหน้าห้องคนนี้ต่างหากที่ต้องการการเยียวยาที่สุด
ไลลาไม่ได้โทรหาเขาอีกเลย ไม่แม้แต่จะมองเบอร์ที่เซฟไว้ในชื่อ ไม่ควรโทรหาอีก เพราะเธอรู้ดีแล้วว่าเสียงผู้หญิงเมื่อคืนคืออะไร และมันบอกได้มากพอว่าเธอไม่ควรเข้าไปในชีวิตของเขา
แต่สิ่งที่เธอไม่อาจตัดขาดได้ คือชีวิตใหม่ที่อยู่ในร่างกายของเธอ เด็กคนหนึ่งที่เกิดจากความบังเอิญ ความขาดสติ หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาที่ถูกชะตากำหนดให้เกิดขึ้น
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ไลลาเริ่มต้นด้วยแผนที่ไม่มีใครบอก ไม่มีใครเห็น และไม่มีใครยินยอม แต่เธอตัดสินใจแล้ว เธอจะหายไปจากกรุงเทพฯ สักปี และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เชียงใหม่ เมืองที่ห่างไกลพอจะหลบสายตาทุกคน แต่ยังใกล้พอจะอ้างถึงใครบางคนในฐานะ “พ่อของลูก” ได้ในกรณีที่จำเป็น
สิ่งแรกที่เธอทำ คือยื่นคำร้องขอย้ายสอนชั่วคราวไปยังมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ในฐานะอาจารย์เยือน ระบุเหตุผลสั้น ๆ ไว้ว่า “เพื่อการค้นคว้าและแลกเปลี่ยนด้านงานวิจัยภาคสนามเรื่องจิตวิทยาการปรับตัวในพื้นที่ต่างวัฒนธรรม” เหตุผลนั้นฟังดูน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักพอจะทำให้ทั้งมหาวิทยาลัยและครอบครัวเชื่อ
ในเวลาเดียวกัน เธอสั่งจองคอนโดหรูริมแม่น้ำปิง ขนาด 2 ห้องนอน พร้อมตกแต่งภายในใหม่ทั้งหมด สั่งพรมขนสัตว์แท้จากอิตาลี โซฟาแบรนด์โปรด และเตียงขนาด Super King แบบเดียวกับห้องที่บ้าน เธอยังคงเป็นเธอ ไม่ได้ตัดทอนอะไรจากชีวิตที่เคยมี
รถยนต์คันใหม่ Lamborghini Urus รุ่นพิเศษที่เธอสั่งจองไว้ล่วงหน้า จะถูกจัดส่งไปยังโชว์รูมเชียงใหม่ในวันเดียวกับที่เธอบินไปถึง แม่บ้านประจำตัวของเธอ 2 คนเป็นคนจัดกระเป๋าเดินทาง Rimowa ใบใหญ่เรียงเป็นแถว ทั้งกระเป๋า Hermes เสื้อผ้า Dior รองเท้า Chanel เครื่องสำอาง La Mer และน้ำหอมกลิ่นประจำตัวของเธอไม่มีอะไรขาดตก
ที่แตกต่างไปมีเพียงอย่างเดียว คือไลลาไปในฐานะผู้หญิงคนเดียว ที่กำลังจะแบกร่างเล็ก ๆ อีกหนึ่งชีวิตไว้เพียงลำพัง ต่างจากตอนที่เธอเคยใช้ชีวิตต่างประเทศที่มีธาวินอยู่ข้าง ๆ เสมอ เขาเคยช่วยถือกระเป๋า เดินจูงมือเธอข้ามถนน คอยสั่งอาหารเวลาเธอตื่นสาย แม้แต่การติดตั้งไวไฟ เขาก็จัดการให้หมด
แต่สิ่งที่เธอไม่บอกใครเลย คือเด็กที่กำลังเติบโตอยู่ในตัวเธอ เธอยังไม่ได้ฝากครรภ์ ไม่ใช่เพราะไม่พร้อม แต่เพราะเธอรอให้ทุกอย่างเรียบร้อย เธอจะเริ่มฝากครรภ์เมื่อไปถึงเชียงใหม่เท่านั้น
ไลลาจัดเอกสารส่วนตัวใหม่ทั้งหมด พร้อมทำเรื่องเปลี่ยนที่อยู่ชั่วคราวกับธนาคาร ประกันสุขภาพ และบัญชีออนไลน์ต่าง ๆ เธอใส่ชื่อ “ปราณต์ วิรงคพิทักษ์” ไว้ในช่องผู้ติดต่อฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่เธอเลือกไว้ในเชียงใหม่ โดยไม่ได้หวังว่าเขาจะรู้ แต่อย่างน้อย ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมา จะได้มีชื่อใครบางคนให้ลูกพออ้างได้
เธอบอกกับพ่อแม่ว่า ได้ทุนวิจัยใหม่ จะไปอยู่เชียงใหม่สักระยะ และจะกลับมาเมื่อจบโครงการ ไม่มีใครสงสัย ทุกคนเชื่อมั่นในเธอเสมอ นี่คือการจากลาที่ไม่ต้องร่ำลา การเตรียมตัวสู่การเป็นแม่คนแบบที่ไม่มีใครยินดีต้อนรับ ไม่มีงานเลี้ยง ไม่มีของขวัญ มีเพียงความเงียบ และภาระที่ต้องรับผิดชอบโดยไม่มีคนช่วยอุ้มมันไปพร้อมกัน
จากรักที่จบไม่สวย แต่เธอกำลังจะเป็นแม่ โดยไม่มีใครรู้ และไม่มีใครพร้อมจะรับฟัง เธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ บ้านหลังนี้ เพื่อนร่วมงาน คนขับรถ พี่เลี้ยงเก่า ไปจนถึงพ่อแม่และญาติ ๆ ล้วนรู้จักเธอในฐานะ “ลูกสาวคนเล็กผู้เพียบพร้อม” เธอไม่มีพื้นที่ให้ผิดพลาดได้เลย