คฤหาสน์อัศวเกียรติกลางสุขุมวิทในยามเช้าเงียบสงบเกินกว่าจะบอกได้ว่าภายในบ้านนี้กำลังวุ่นวายแค่ไหน กลิ่นหอมของดอกกุหลาบขาวจากแจกันบนโต๊ะกลางห้องโถงยังคงโชยอ่อน ๆ พร้อมกับเสียงเท้าของแม่บ้านที่เดินอย่างเบา
ไลลา อัศวเกียรติ เดินลงจากบันไดวนอย่างเงียบงัน ชุดเดรสลินินสีงาช้างจาก The Row คลุมร่างเธออย่างพอดีไม่ต่างจากชีวิตที่ถูกออกแบบไว้ให้ดูดีเสมอ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในบ้านหลังนี้
บ้านที่แม่ของเธอ คุณสาลินี อัศวเกียรติ คือผู้ปกครองทั้งรสนิยม มาตรฐาน และภาพลักษณ์ของทุกคนในครอบครัว “ลูกของสาลินีต้องไม่มีวันขายหน้าสังคม” คือประโยคที่ไลลาได้ยินมาตั้งแต่เด็ก
โต๊ะอาหารยาวแปดเมตรปูผ้าลินินสีขาวพิมพ์ลายจากอิตาลี มีเก้าอี้เรียงรายสิบสองตัว แม้เช้าวันนี้จะมีเพียงแค่ห้าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาว และไลลา ทว่าความเงียบไม่ได้ช่วยให้มื้ออาหารดูสงบลงเลยแม้แต่น้อย พี่ชายของเธอ คุณลักษณ์บุรินทร์ อัศวเกียรติ นั่งสวมชุดสูทโดยไม่มีเนคไท กำลังดูมือถือไปด้วยและขนมปังอีกมือหนึ่ง
“โทษทีนะครับแม่ เมย์เขาเพิ่งบอกว่าอาทิตย์หน้าจะยื่นเรื่องหย่า” เขาพูดขึ้นเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
“เมย์ไหนอีกล่ะ ภรรยาคนล่าสุดของแกหรือคนก่อนหน้านั้น?” คุณสาลินีถามเสียงนิ่งแต่แววตาไม่ปิดบังความรำคาญ
ลักษณ์บุรินทร์คือพี่ชายคนโตของบ้านที่แต่งงานมาแล้วสามครั้งและกำลังจะหย่าครั้งที่สี่ “ก็เมย์ไงแม่ คนที่เปิดคลินิกความงามที่เอกมัยอะ” เขาตอบหน้าตาเฉยเหมือนไม่เคยเสียใจกับอะไรในชีวิต
“ก็แหม จะให้เขาทนได้ไงล่ะลูกชายแม่เปลี่ยนผู้หญิงบ่อยยิ่งกว่ารองเท้า” พี่สาวคนกลาง ลลิตา กล่าวพลางจิ้มผลไม้ด้วยส้อมทองคำ
เธอเป็นสาวสังคมที่ใช้ชีวิตกลางคืนเป็นหลัก ควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้า ใช้ชีวิตหรูหราแต่ไม่มีความมั่นคงใด ๆ จนคุณสาลินีเอือมเกินจะดุได้อีก
“มีแค่ไลลานี่แหละที่แม่ไม่ต้องห่วง” คุณสาลินีพูดพลางวางมือบนมือไลลาเบา ๆ “อย่างน้อยแม่ยังเอ่ยชื่อหนูได้เต็มปากในงานน้ำชาหรือปาร์ตี้บ้าง” คำพูดที่ดูเหมือนคำชมกลับทิ่มแทงมากกว่าปลอบใจ ไลลาฝืนยิ้มเบา ๆ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบโดยไม่พูดอะไร
ในบ้านนี้ ทุกคนมีปัญหา แต่ไม่มีใครพูดมันออกมาตรง ๆ ไลลาคือคนที่ ต้องดีเสมอ ต้องมีชื่อเสียงดี หน้าที่การงานดี ใช้ชีวิตเรียบร้อยตามแบบแผน เพราะถ้าเธอผิดหวัง คนในบ้านจะไม่มีใครเหลือให้ภูมิใจอีกเลย
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมตลอดสิบปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยบอกใครในบ้านว่าเธอมีแฟน และเป็นผู้ชายธรรมดา ๆ ที่ไม่มีนามสกุลให้เอาไปพูดอวดใครได้เลย เพราะเธอรู้ว่าแม่จะไม่ยอมรับแน่ ๆ ขนาดพี่สะใภ้คนแรกที่มาจากครอบครัวชนชั้นกลางยังถูกคุณสาลินีพูดจาเหน็บแนมทุกครั้งที่เจอ
“ดูจากแววตาแล้วลูกสะใภ้แม่คนนั้นจะทำหน้าที่ในงานเลี้ยงไม่ไหวหรอกนะ” คำพูดนี้เธอเคยได้ยินตั้งแต่ตอนเด็ก และฝังอยู่ในใจมาตลอด
ไลลาจึงเลือก เก็บรัก ของตัวเองไว้ในที่ลับ ปกป้องมันจากคำวิจารณ์ในบ้าน เพราะเธออยากมีอะไรที่เป็นของเธอจริง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่แม่เลือกให้ ไม่ใช่สิ่งที่โลกคาดหวัง
แต่สุดท้ายสิ่งที่เธอปกป้องไว้ก็พังลงตรงหน้า โดยที่ไม่มีใครในบ้านแม้แต่คนเดียวรู้ว่าเธอร้องไห้ทุกคืนเป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว
หลังจากบทสนทนาของพี่ชายคนโตจบลงด้วยความเฉยชาที่ทุกคนในบ้านนี้เริ่มชินชา พ่อถอนหายใจเงียบ ๆ แม่เม้มปากแน่นโดยไม่ต่อว่าอะไรอีก ไลลานึกว่าทุกอย่างจะสงบแล้ว แต่ไม่ใช่เลย
เมื่อลลิตาพี่สาวคนกลางฝืนยิ้มบาง ๆ แต่ปลายนิ้วมือกลับสั่นน้อย ๆ ขณะที่ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ และจังหวะที่วางแก้วลงช้า ๆ ไลลาก็รู้ทันทีว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น สีหน้าพี่สาวไม่เหมือนเดิม ดวงตาที่เคยมั่นใจดูลังเลเหลือเกิน ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า
“หนูมีเรื่องจะบอกค่ะ” เสียงนั้นเบาแต่ชัดเจน ไลลาที่นั่งฝั่งตรงข้ามมองพี่สาวนิ่ง ไม่ใช่แค่มองด้วยความเป็นน้องสาว
แต่เป็นนักจิตวิทยา เธอสังเกตเห็นการเบี่ยงเบนสายตาซ้ำ ๆ มือที่ขยับเก้าอี้เข้าออกเพื่อเบี่ยงความสนใจจากร่างกาย ความลังเลในการสูดลมหายใจและการจรดนิ้วแตะริมฝีปากก่อนพูดออกมา ทั้งหมดนั้นคือ สัญญาณของความรู้สึกผิด ที่ไม่ได้มาจากความเสียใจ แต่คือการเตรียมรับผลลัพธ์ที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้
“หนูท้องค่ะ” เสียงนั้นดังขึ้นกลางโต๊ะอาหารพร้อมกับทุกคนที่เหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ
ลลิตาหลับตาขณะพูดออกมา เหมือนกลัวคำพูดนั้นจะย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาสบตาแม่ พ่อ และพี่น้อง พ่อของเธอคือคนแรกที่หันหน้าหนีทันที ริมฝีปากเม้มแน่นกรามขึ้นเป็นสัน
ส่วนแม่กลับเอ่ยถามเสียงแหลมสูงขึ้นว่า “แกท้องกับใคร?”
“หนูก็ไม่แน่ใจค่ะ” ลลิตาตอบเสียงเบา “หนูสงสัยอยู่สองคนค่ะ” มือของคุณสาลินีปะทะกับโต๊ะอย่างหงุดหงิดจนแก้วสั่น
“สองคน? ลูกสาวฉันไม่ใช่คนที่จะไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของลูกนะ เลย์ญา!” น้ำเสียงของแม่พุ่งสูงจนขาดความสง่างามที่เธอสร้างมาตลอด
พี่สาวของไลลา เลย์ญา ลลิตา เป็นหญิงสาวที่สวยจัด เฉี่ยว จัดจ้าน มั่นใจในตัวเองและรักอิสระในระดับที่ใครในบ้านควบคุมไม่ได้ เธอมีชื่อเสียงในแวดวงสังคมสายแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และงานพีอาร์
แต่กลับไร้ความมั่นคงในชีวิตส่วนตัว ควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้า เปลี่ยนคู่นอนเหมือนเปลี่ยนชุด เธอมักบอกว่าตัวเองคือ เฟมินิสต์สายจริงจัง แต่กับคนในบ้านกลับถูกมองว่า เป็นระเบิดเวลา ที่ไม่รู้จะปะทุเมื่อไร พ่อของไลลาลุกขึ้นจากโต๊ะ สีหน้าแดงก่ำแต่พยายามควบคุมไว้ เขาไม่พูดอะไรนอกจาก
“เราค่อยคุยกันหลังอาหาร” และเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งไว้เพียงแม่ที่ยังนั่งตัวตรงแต่ใบหน้าไร้สี
ไลลานั่งเงียบตลอดทั้งเหตุการณ์ มองภาพนั้นผ่านสายตานักจิตวิทยาที่ฝึกฝนการแยกแยะระหว่าง ความรู้สึก และ การแสดงออก เธอไม่ได้แปลกใจกับการที่พี่สาวท้อง หรือไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก
แต่สิ่งที่สะเทือนใจมากกว่าคือความจริงที่ว่า บ้านหลังนี้ แม้จะใหญ่โต มีห้องรับแขกหรู มีแกลเลอรี่งานศิลป์และห้องอาหารฝรั่งเศสประจำบ้าน แต่กลับไม่มีพื้นที่ปลอดภัยพอให้ใครกล้าพูดความจริงได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัก เรื่องผิดพลาด หรือแม้แต่เรื่องชีวิตที่กำลังจะถือกำเนิด เธอเองก็เคยเงียบกับเรื่องของตัวเองเช่นกัน แค่เธอไม่ได้มีร่างกายที่แสดงความจริงออกมาเท่านั้นเอง
หลังจบมื้ออาหารค่ำอึดอัดที่บ้านอัศวเกียรติ ไลลาโบกมือลาพ่อแม่และพี่น้องด้วยรอยยิ้มที่ฝืนพอกับสีลิปสติกบนริมฝีปาก เธอเดินกลับไปที่รถตัวเองเงียบ ๆ ก่อนจะสตาร์ทรถและขับออกจากบ้าน ไม่เปิดเพลง ไม่รับโทรศัพท์ และไม่รีบเร่ง
เธอเพียงแค่ขับไปตามทางด้วยจิตใจที่แน่นตื้อเหมือนกล่องความลับที่เพิ่งถูกเขย่าแรง ๆ จู่ ๆ ก็หวนคิดถึงสิ่งที่พี่สาวพูดขึ้นมาอีกครั้ง “หนูท้อง” ประโยคนั้นดังก้องในหัว ไลลากำพวงมาลัยแน่น ความกลัวไหลเข้ามาอย่างเงียบงัน
เพราะเธอเองก็ยังไม่ได้มีประจำเดือนเหมือนกัน เดือนที่แล้วมันขาดไปโดยไม่มีสัญญาณใด ๆ นอกจากความเหนื่อยล้าทั้งวัน คลื่นไส้เบา ๆ ในตอนเช้า และความรู้สึกเวียนหัวเวลายืนนานเกินไป ซึ่งทีแรกเธอคิดว่าอาจเป็นเพราะความเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับธาวิน
แต่พอวันนี้ได้เห็นพี่สาว เธอไม่สามารถโกหกตัวเองได้อีกต่อไป ก่อนถึงเพนต์เฮาส์เพียงหนึ่งซอย ไลลาหักรถเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ ที่เปิดตลอดคืน เธอเดินตรงไปยังโซนสุขภาพและหยิบที่ตรวจครรภ์ขึ้นมาสองกล่อง ไม่มีการลังเล ไม่มีคำถาม เธอจ่ายเงินเสร็จ รีบขับรถกลับทันทีและตรงขึ้นห้องน้ำบนชั้นสามของเพนต์เฮาส์โดยไม่เปิดไฟทั้งบ้าน
ชุดเดรสถูกปลดออกอย่างเร่งรีบ น้ำจากฝักบัวไหลซัดร่างเพียงชั่วครู่เพื่อให้เธอรู้สึกได้ว่ายังมีสติอยู่ จากนั้นเธอก็หยิบกล่องในถุงพลาสติกออกมา แกะอย่างระมัดระวัง มือสั่นเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับหลุดการควบคุม เธออ่านวิธีใช้ซ้ำอย่างระวัง วางตัวเองให้อยู่ในจังหวะที่ถูกต้อง แล้วทำทุกอย่างตามขั้นตอน
จากนั้นก็วางแผ่นตรวจบนขอบอ่างล้างหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาตัวเองในกระจก นิ้วมือทั้งสิบสอดเข้ากันแน่น กำแน่นอยู่บนอกเหมือนคนที่กำลังอธิษฐาน เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้ผลลัพธ์แบบไหน รู้แค่ว่าทุกอย่างมันเร็วเกินไป หัวใจของเธอเต้นแรงในความเงียบของห้องน้ำสีขาวสะอาดที่ตอนนี้เหมือนห้องพิพากษา เวลาสามนาทีช่างยาวนานกว่าทุกคลาสที่เธอเคยสอน เมื่อเสียงเตือนจากมือถือดังขึ้นว่าเวลาครบแล้ว
ไลลาค่อย ๆ หันกลับไปมองตัวตรวจครรภ์ที่วางอยู่ตรงนั้น สองขีด มันขึ้นสองขีดชัดเจน ไม่ใช่เงา ไม่ใช่ความผิดพลาด สองขีดแน่นอนชัดเจนจนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไปแล้ว
เธอยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ราวกับร่างกายถูกตรึงไว้กับพื้น ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นแตะหน้าท้องของตัวเองเบา ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ได้มีแค่เธออีกต่อไป