แต่น้องยังเด็กมากเลยนะครับ

1354 คำ
“เหนื่อยหรือยังครับ” เขาถามเด็กสาวหลังจากนั่งติวหนังสือกันมาชั่วโมงกว่าๆ ในรอบบ่าย ช่วงนี้ภามปิดเทอมพอดี ถ้าไม่มีธุระที่ไหนจริงๆ ก็มักจะขับรถขึ้นเขามาเที่ยวไร่เพื่อนคุณปู่ มาช่วยสอนหนังสือน้อง “พี่ภามล่ะเหนื่อยหรือยัง ไม่เบื่อเหรอคะมาสอนหนังสือพรีมทุกวัน” “พรีมถามแบบนี้เบื่อหน้าพี่หรือเปล่า” เขาแกล้งทำหน้าตกใจแล้วก็ตีหน้าเศร้า อีกฝ่ายย่นจมูกใส่อย่างรู้ทัน “พรีมจะไปกล้าเบื่อพี่ภามได้ยังไงคะ พี่ภามอุตส่าห์มาสอน” “พี่ก็ไม่เบื่อครับ อยู่บ้านน่ะน่าเบื่อมากกว่า มาเที่ยวไร่ปู่โรจน์มีอะไรให้ทำเยอะแยะ” “อยากหนีมาเที่ยวนี่เอง” “เรียกว่าอันนั้นเป็นผลพลอยได้ก็แล้วกันครับ พี่ได้มาหัดสอนหนังสือพรีม เผื่อในอนาคตอยากเป็นครู เป็นผอ.โรงเรียนขึ้นมา” ภามพูดยิ้มๆ ครอบครัวเขาเป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ซึ่งปู่ก็เคยเปรยๆ ว่าถ้าภามเรียนจบก็อยากให้เขามาทำงานที่โรงเรียน จะยกให้เลยถ้าสนใจด้านนี้ ภามเป็นเด็กเรียนเก่ง ตอนนี้เขาเรียนปริญญาตรีชั้นปีที่สามแล้ว เรียนด้านศึกษาศาสตร์แล้วก็มีความฝันว่าอยากศึกษาต่อจนทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แล้วถ้าจะมารับช่วงต่อดูแลโรงเรียนของครอบครัวก็ค่อยดูความเหมาะสมอีกที ครอบครัวยังทำธุรกิจอีกหลายอย่าง “พี่ภามว่าปีนี้พรีมจะจบมอสามไหมคะ” “จบสิครับ พรีมเรียนเก่งออก” เขาให้กำลังใจเธอ พริมารู้ ความจริงแล้วปีนี้เธออายุสิบหก ถ้านับจริงๆ ต้องเรียนมอสี่ แต่เนื่องจากประสบอุบัติเหตุหนักตอนแปดขวบ กว่าจะรักษาตัว ฟื้นฟูจนเกือบปกติก็ใช้เวลาปีกว่า เรื่องเรียนก็ต้องเริ่มเรียนใหม่ คุณปู่ของเธอเลยตัดสินใจที่จะทำหลักสูตรโฮมสคูลกับโรงเรียนของเพื่อนสนิทซึ่งก็คือปู่ของภาม ตัวภามเองก็มาช่วยสอนหนังสือ มาเล่นกับน้องตลอดในวันหยุด ช่วงปิดเทอมนี่เอาเสื้อผ้ามานอนเล่นเป็นเรื่องเป็นราวเลย “ตอนนี้พี่ภามเรียนปีไหนแล้วนะคะ” “ปีสามครับ ปีหน้าก็จบ พรีมล่ะ อยากเรียนมหาวิทยาลัยไหม” “คุณปู่ไม่น่าจะให้เรียนหรอกค่ะ” เหตุการณ์ในครั้งนั้นเธอสูญเสียคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของโรจน์ ทำให้เขายิ่งหวงเธอยิ่งกว่าไข่ในหิน “ถ้าพรีมอยากเรียนพี่จะขอปู่โรจน์ ไปอยู่บ้านพี่เหมือนตอนพรีมเด็กๆ” พอเขาพูดแบบนั้นดวงตาคู่สวยก็วูบไหว ภามเลยเพิ่งรู้ตัวว่าอาจพูดอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจเธอ ตอนนั้นพริมาก็เข้าไปเรียนระดับชั้นประถมที่โรงเรียนของเขา ด้วยระยะทางที่ไกลทำให้โรจน์ฝากหลานสาวไว้กับเพื่อนสนิท เธออยู่บ้านเขากว่าสองปี วันที่เกิดเหตุเป็นเย็นวันศุกร์ที่คุณพ่อคุณแม่มารับเธอกลับไร่ พริมากลายเป็นคนที่วิตกกับการเดินทาง เขาเคยพาน้องไปโรงพยาบาลตอนที่ยังรักษาตัว ต้องนั่งจับมือหรือกอดไว้ตลอดทาง ทำให้ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ปู่โรจน์ก็ไม่อยากให้เธอเดินทางไกล อีกส่วนหนึ่งท่านก็อาจจะฝังใจกับการสูญเสียครั้งใหญ่นั้น แล้วตอนนี้ก็เหลือหลานสาวเพียงคนเดียว เวลาอาจจะทำให้ทุกอย่างค่อยๆ ดีขึ้น แต่มันก็คงเป็นฝันร้ายที่ฝังลึก “พี่ขอโทษ” เอ่ยขอโทษเมื่อรู้ว่าตัวเองอาจจะพูดอะไรไปสะกิดความรู้สึกเธอ “พี่ภาม ไม่เป็นไรเลย” พริมายิ้มสดใสให้เขา เธอเองก็พยายามที่จะก้าวข้ามมันให้ได้เหมือนกัน “จริงๆ พรีมก็อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกเหมือนกันนะคะ อยู่แต่ในไร่” ภามรู้ว่าเธออยากให้เขาสบายใจ “ถ้าพรีมอยากไปเราลองขอปู่โรจน์ดูไหม พี่พาไปเอง” สายตาที่มองเธอมั่นคง อบอุ่น ให้ความรู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจ “พี่ภามพาไปจริงๆ นะคะ” ทำเป็นกระตือรือร้นเอาใจเขา “ครับ เดี๋ยวพี่ไปขอปู่โรจน์เลย ว่าอยากพาน้องไปเที่ยว” คืนนี้ภามเลยพักที่บ้านเธอ โดยจะพักที่บ้านหลังใหญ่ หลังจากกินข้าวเสร็จก็เดินไปส่งพริมาที่บ้านอีกหลังที่อยู่ในรั้วเดียวกัน เป็นบ้านสองชั้นหลังเล็กขนาดสองห้องนอน “เดี๋ยวพี่ลองขอปู่โรจน์ดูนะ” ยังตั้งใจที่จะพาเธอออกไปเที่ยว ไปเจอโลกภายนอกบ้าง แต่บนโต๊ะอาหารยังไม่ได้คุยกัน พริมาอาจจะยังกล้าๆ กลัวๆ และไม่ค่อยอยากคุยกับครอบครัวภรรยาใหม่ของปู่เท่าไร “โอเคค่ะ ลองดูก็ได้” “ครับ เข้าบ้านเถอะ” พริมายิ้มให้เขา โบกมือบ๊ายบายก่อนเข้าบ้าน ภามก็ยืนรออยู่อีกสักหน่อยก่อนจะเดินกลับบ้านหลังใหญ่ ปู่โรจน์ยังนั่งอ่านหนังสือในห้องนั่งเล่นข้างล่างพอดี “ปู่โรจน์ครับ ผมมีเรื่องอยากขออนุญาต ขอเวลาปู่โรจน์สักหน่อยได้ไหมครับ” “มีอะไรล่ะภาม เข้ามาสิ” ร่างสูงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะรับรองเล็กๆ ในห้อง ขณะที่ผู้สูงวัยนั่งบนเก้าอี้เปลเอนหลังอ่านหนังสือ หมุนเก้าอี้มาคุยกับเขาโดยไม่ลุกมาหา “มีอะไรหรือเปล่า” “ผมว่าจะขออนุญาตพาน้องออกไปเที่ยวครับ เอ่อ ไปเที่ยวในเมืองก็ได้” พูดออกไปแล้วก็ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะตอบอย่างไร ปู่โรจน์ถอนหายใจ วางหนังสือในมือลงบนตัก “ปู่ก็ไม่ค่อยได้พาเขาไปเที่ยวเลยจริงๆ นั่นแหละ ห่วงเขา ทั้งวิตกกังวล และพรีมเขาก็ยังดูตื่นตระหนก” “ครับผมรู้ น้องยังกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็อยากลองออกไปข้างนอกบ้าง ผมเลยมาขออนุญาตปู่โรจน์ จะดูแลน้องให้ดี” “ปู่เชื่อว่าภามดูแลน้องได้” อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ แล้วก็มองเขาจนภามรู้สึกว่าท่านมีอะไรอยากพูดมากกว่านั้น “จริงๆ ปู่ก็คิดไว้สักพักแล้ว คุยกับปู่เราก็คิดตรงกัน อืม ภามลุกไปปิดประตูห้องหน่อย” ภามยิ่งสงสัยเข้าไปอีก แต่ก็ลุกไปปิดประตูห้องตามที่อีกฝ่ายบอก กลับมานั่งที่เดิมด้วยหัวใจที่เริ่มลุ้นว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ “เมื่อกี้ภามบอกว่าจะดูแลน้องเองใช่ไหม แล้วจะว่าอะไรไหมถ้าปู่จะขอให้ภามดูแลน้องตลอดชีวิต” คำถามนั้นทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง คิ้วเข้มขมวดราวกับใช้ความคิด ทั้งๆ ที่หัวใจเขาแปลความหมายนั้นได้ตั้งแต่แรก “ปู่คุยกับปู่เราว่าอยากขอภามมาเป็นหลานเขย ตอนนี้ภามเรียนปีไหนแล้ว ใกล้จบหรือยัง” “เอ่อ ปีสามครับอีกหนึ่งปีจบ แต่อาจจะเรียนต่อปอโท” แม้จะยังมึนๆ แต่ก็ตอบคำถามผู้ใหญ่ได้ว่องไว “ถ้าอย่างนั้นหมั้นกันไว้ก่อนดีไหม รอภามเรียนจบ หรือภามพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยแต่งงานกัน...ภามคงไม่รังเกียจน้องใช่ไหม” “ผมไม่รังเกียจน้อง” ถ้าถามเรื่องนั้นภามตอบได้ชัดเจน แต่ไม่คิดถึงเรื่องที่จะหมั้นหมายแต่งงานเลย เขาไม่เคยถามตัวเองด้วยซ้ำว่ารู้สึกกับพริมาในเชิงชู้สาวหรือเปล่า แค่อยากดูแล...อยากมาหาอยู่ทุกวัน “แต่ภามดูเครียดนะ” “น้องยังเด็กมากเลยนะครับ” ตอนนี้ภามไม่ได้ค้นหาความรู้สึกของตัวเองเลย ไม่ตั้งคำถามว่าตัวเองอยากดูแลพริมาในสถานะคู่หมั้นหรือสามีหรือไม่ เขาสนใจความรู้สึกของพริมามากกว่า เธอยังเด็กมาก และไม่รู้ว่าจะเข้าใจได้มากแค่ไหนที่จู่ๆ เราสองคนจะต้องกลายมาเป็นคู่หมั้นกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม