..สามวันต่อมา ตำหนักหยกม่วง
ยามสายแสงแดดอ่อนอากาศกำลังดี จู่ๆ ก็มีใครบางคนข้ามอาณาเขตเข้ามายังตำหนักหยกม่วงโดยไม่ได้บอกอันใดล่วงหน้า
เริ่นซือเหิงในอาภรณ์สีอ่อนเกล้าผมขึ้นครึ่งหนึ่งด้วยปิ่นเงินชิ้นเล็กง่ายๆ ส่วนอีกครึ่งปล่อยให้ทิ้งตัวลงตามความยาวจนถึงกลางแผ่นหลัง
ทุกครั้งต่อหน้าผู้อื่น เขาจะเกล้าผมสวมกวานเรียบร้อย ดูเจ้าระเบียบนักในสายตาศิษย์ชั้นใน แต่วันนี้ไม่มีการสอนสำหรับเขา จึงได้แต่งกายด้วยท่าทางเรียบง่ายเพราะไม่คาดว่าจะมีผู้ใดมาเยือน
ถึงอย่างนั้นกลับนั่งในเก๋งหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางสระบัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นผู้ใดที่มาเยือนยังที่แห่งนี้ แต่ที่ทำให้แปลกใจก็คือด้านหลังของซางเถียน กลับปรากฏสตรีที่หล่นจากฟ้านางนั้นติดตามมาด้วย ซือหงยี่..
จำได้ว่าวันนั้น สหายบอกยังไม่ได้คิดว่าจะให้นางเข้าเรียนตำหนักไหน เดินตามกันมาเช่นนี้ คงไม่คิดจะให้เขารับเอาไว้หรอกกระมัง? แต่เรื่องนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะตำหนักหยกม่วงแห่งนี้ไม่ต่างจากตำหนักหยกนภา
นอกจากจะเป็นส่วนตัวมากแล้ว ยังไม่เคยมีผู้ใดถูกอนุญาตเข้ามาที่นี่ เหลือบตามองสหายตัวดี แล้วจึงยกชาขึ้นจิบโดยไม่เปิดการสนทนา
ซางเถียนนั่งลงไปยังเก้าอี้ที่ว่าง ใช้สายตาหนึ่งหยุดเท้าของคนที่อยากอยู่ในสถานะของซือหงยี่ ให้ยืนเยื้องออกไปสักหน่อย
เสียงเล็กเอ่ยอย่างนอบน้อม "คารวะท่านอาจารย์"
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ข้า ไม่ใช่อาจารย์เจ้า"
ซางเถียนเห็นบรรยากาศของทั้งสอง ก็ให้รู้สึกว่าตนเองช่วงปีนี้ได้เผลอทำเรื่องผิดบาปไปหรือไม่ เหตุใดรู้สึกว่าอาจประสบเคราะห์กรรมสองครั้งพร้อมกัน
ด้านหนึ่งก็สหายที่มองตนเองอย่างทะลุปรุโปร่งแต่ไม่เอ่ยให้อับอาย ส่วนอีกด้านก็มีอาจารย์ที่ทำราวกับความต้องการของนางเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ต้องการก็สามารถทำได้ตามใจ
แต่ลูกศิษย์เช่นเขาถึงจะรั้งตำแหน่งเจ้าสำนักแห่งหุบเขาเซียนแห่งนี้ ก็ยังเกรงกลัวอาจารย์ของตนเอง มากกว่าสายตาของสหายมากถึงเจ็ดส่วนจากสิบส่วน
เอื้อมหยิบจอกชาหงายขึ้นให้ตนเอง แล้วจึงเคลื่อนไหวทั้งที่ส่งเสียงเอ่ยกับเริ่นซือเหิง "ข้าอยากจะพูดเรื่องนี้พอดี ตำหนักอื่นมีศิษย์ครบหมดแล้ว ข้าจึงคิดว่าให้นางติดตามเจ้าย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสม"
เลิกคิ้วเป็นเชิงถามทั้งที่ไม่เอ่ยอะไร รู้ทั้งรู้ว่านอกจากสอนศิษย์สายในเป็นครั้งคราว หน้าที่หลักของเขาคืออย่างอื่น เอาสตรีความสามารถธรรมดาเช่นนี้มาติดตาม ไม่เท่ากับบอกว่า ฝากเลี้ยงลูกนกที่ยังบินไม่เป็นผู้หนึ่งหรอกหรือ?
คิดอันใดอยู่กัน?
"เอาน่า ด้วยสถานะของนางที่ข้าไม่อาจบอกเจ้าได้ แต่รับรองได้ว่าซือหงยี่เป็นสตรีเรียบร้อย มีนางอยู่ย่อมดีแน่นอน"
"ดีอย่างไร?"
"นางเรียบร้อยไม่วุ่นวาย อีกทั้งยังทำอาหารเก่งมาก"
"เรื่องเช่นนั้นศิษย์ชั้นในที่เป็นบุรุษก็สามารถทำได้ เหตุใดต้องให้สตรีไร้ความสามารถผู้หนึ่งติดตามข้า เป็นภาระเปล่าๆ"
ซางเถียนยกชาขึ้นจิบทั้งที่ซ่อนแววนับถือสหาย คำว่าภาระ คงมีเพียงเจ้าเริ่นซือเหิงที่กล้ากล่าวต่อหน้าท่านอาจารย์เช่นนี้ เหลือบมองเจ้าตัวที่ถูกต่อว่าตรงๆ ก็เห็นเพียงท่าทางสงบ นี่ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่
หรือที่นางต้องการติดตามเริ่นซือเหิง เพราะต้องการรับศิษย์อีกคน?
แต่เรื่องนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้น
ถ้าไม่นับศิลปะทั้งสี่ ดีดฉิน หมากล้อม เขียนอักษร วาดภาพ และศาสตร์ทั้งหกอย่าง จารีต ดนตรี การยิงธนู การควบคุมรถศึก อักษรศาสตร์ การคำนวณ ความสามารถเรื่องการเข้าใจต่อฟ้าดินเพื่อใช้ในการเพิ่มตบะ ย่อมเก่งกาจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แต่ถ้านับศาสตร์พวกนั้น..
เกรงว่าท่านอาจารย์ของเขาต่างหาก ที่ต้องคำนับเจ้าเริ่นซือเหิงเป็นอาจารย์
เจ้าปีศาจผู้นี้ นอกจากร่ำเรียนท่องตำราตลอดแปดร้อยปีจนบรรลุ อย่างอื่นกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ดังนั้นถ้าว่างเมื่อใด ก็เพียงพักผ่อนปิดตำหนักไม่ต้อนรับใครทั้งสิ้น
บางครั้งยังแอบหลบเร้นหนีหายเพราะไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย ดังนั้นจึงมีเพียงเขา ที่ตำแหน่งศิษย์สืบทอดยังว่างอยู่
จู่ๆ ซางเถียนก็รู้สึกได้ถึงความอันตรายบางอย่าง ที่พุ่งมาจากท่านอาจารย์ของตนเองจนขนทั่วกายลุกชันไปหมด กระแอมครั้งหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า "นางอยู่ที่นี่ไม่นานหรอก เพียงแค่หนึ่งปีก็ไปแล้ว"
"เจ้าเห็นข้าว่างนักรึ?"
"เอาน่า ถือเสียว่าแลกกับที่ข้าให้เจ้าเข้าไปในเขตหวงห้ามบนยอดเขาสูงก็แล้วกัน"
เห็นสีหน้ายุ่งยากของสหาย จึงได้พูดถึงเงื่อนไขของตนเองขึ้น "นางต้องเชื่อฟังข้า ไม่อย่างนั้น เจ้าก็รับกลับไป"
ดูจากท่าทางดื้อรั้นของซางเถียนแล้ว ถึงไม่อยากรับแม่นางซือหงยี่เอาไว้แต่ก็ต้องจำใจรับ เชื่อว่าด้วยความเข้มงวดของเขา ย่อมไม่มีผู้ใดทนได้นานถึงเจ็ดวัน
คนอย่างเริ่นซือเหิง เมื่อสิ่งใดที่เขาไม่อยากทำ ย่อมต้องหาทางให้ตนเองหลุดพ้นจากสิ่งนั้น แต่วิธีการของเขาแยบยล เมื่อไล่ตรงๆ ไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีที่ทำให้นางไปเอง
ซางเถียนถึงกับยิ้มกว้าง ขอบคุณความใจกว้างของสหายที่ทำให้เขารอดพ้นจากความโกรธเกรี้ยวของท่านอาจารย์ ด้วยความใจดีครั้งนี้ เขาจะจดจำบุญคุณเอาไว้เพื่อหาโอกาสตอบแทนอย่างแน่นอน
หันไปเอ่ยกับผู้ที่จับจ้องสหายด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม
"ซือหงยี่"
"..."
สองสายตาจับจ้องนางด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ดวงหน้าเล็กถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่าตนเองเผลอแสดงออกไปเช่นไร นางยิ้มประจบแล้วกล่าว "ขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ"
เปิดหูเปิดตา..
..นึกไม่ถึง ว่าคนเย่อหยิ่งอย่างตำนานที่ผู้คนกล่าวขานอย่างฉวนหงจะมีวันนี้ ท่าทางนอบน้อมเชื่อฟังที่แสดงออก นั่นเป็นการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เกรงว่าทุกคำพูดและการกระทำของซือเหิง จะทำให้ให้ท่านอาจารย์สนใจเข้ากระมัง?
"เช่นนั้นก็เริ่มวันนี้เลยก็แล้วกัน" ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งที่จิบชายังไม่หมดจอก
"..."
ส่งเสียงขึ้นราวกับนึกสิ่งใดได้
"อ้อ ซือเหิง นางเข้าตำหนักหยกม่วงก็ต้องอาศัยอยู่ที่นี่ " วาดมือครั้งหนึ่ง ห่อผ้าขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในอ้อมกอดของซือหงยี่ "นางติดตามเจ้าก็ให้พักที่นี่เสีย อย่างไรตำหนักหยกม่วงก็มีห้องให้เลือกมากมาย เจ้าคงไม่มีปัญหากระมัง?"
"แต่นางเป็นสตรี"
"เจ้าเป็นอาจารย์ที่คิดไม่ดีรึไง? ขนาดข้ายังไม่มีปัญหา แล้วเจ้าจะกังวลอันใดกัน " เอ่ยจบก็พาตนเองออกไป
มองด้านหลังของสหายที่เดินลิ่วๆ ออกไป แล้วเหลือบมองซือหงยี่ที่อยู่ในชุดสีขาวอันเป็นเครื่องแบบของหุบเขาเซียน
"เจ้าพักในจวนเล็กด้านหลัง อยากได้จวนไหนก็เลือกเอาเอง ส่วนตำหนักหยกม่วงแห่งนี้ มีแค่สองห้องที่เจ้าต้องระวัง ถ้าไม่รับอนุญาตจากข้าห้ามเข้าไป คือห้องนอนและห้องหนังสือ"
"เจ้าค่ะ"
"อีกอย่าง เลิกใช้สายตาเหม่อลอยมองข้าได้แล้ว" ไม่รอให้นางเอ่ยอันใดก็โบกมือครั้งหนึ่ง "ได้ห้องของตนเองแล้ว ก็เก็บของให้เรียบร้อย"
"เจ้าค่ะท่านอาจารย์ ศิษย์ขอตัวก่อน"
เอ่ยเพียงเท่านั้น ฉวนหงจึงยินยอมทำตามคำพูดของเริ่นซือเหิงอย่างไม่โต้แย้ง นั่นเพราะการที่เขาให้อยู่ที่นี่ย่อมไม่ง่ายอย่างที่แสดงออกอย่างแน่นอน แต่นางเองก็ไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่รอถูกกระทำ
..คอยดูเถอะเริ่นซือเหิงคนงาม ฉวนหงผู้นี้จะทำให้เจ้าหวั่นไหว จนอยากขอให้ข้าอยู่ที่นี่ตลอดไปกับเจ้า