วันใหม่..
แสงอาทิตย์โผล่ขึ้นขอบฟ้า ร่างสูงที่นอนเหยียดยาวบนเตียงพลันได้ยินเสียงเคาะของโลหะดังอยู่ไกลๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะหลับลงต่อได้เช่นไร
อยู่ผู้เดียวมานานแต่กลับถูกปลุกด้วยเสียงเช่นนี้ ในใจจึงบังเกิดโทสะไม่น้อย ถึงอย่างนั้นก็เป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ เพราะคิดว่าซือหงยี่เป็นเพียงสตรีที่ตบะเซียนน้อยนิด นางลุกขึ้นมาทำบางอย่างที่โรงครัวตั้งแต่เช้าเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
เป็นเขาที่ประสาทสัมผัสดีเกินไปจึงได้ยินชัดเจน
ผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปจัดการตนเอง เปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้วจึงเปิดประตูห้องนอนเพื่อออกไปด้านนอก แต่ทันทีที่ก้าวเท้าออกมาพ้นประตู ตรงหน้ากลับเป็นซือหงยี่ในชุดเครื่องแบบศิษย์หญิงของหุบเขาเซียน
"มาทำอันใด?"
เห็นอยู่ว่านางถือถาดที่มีอาหารสองสามจานเอาไว้ แต่ก็ยังส่งเสียงถามเช่นนั้นออกไปราวกับไม่สนใจ
"ข้านำมื้อเช้ามาให้อาจารย์เจ้าค่ะ"
"ไม่จำเป็น เจ้าเอากลับไปเสีย" เอ่ยเพียงเท่านั้นก็เดินผ่าน เพียงแต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดเท้าแล้วเอ่ย "กินเสร็จแล้วไปพบข้าที่สวนสมุนไพร"
ฉวนหงมองตามร่างสูงในชุดสีเข้มตาปริบๆ
นางอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาเพื่อทำอาหารให้เขาตั้งแต่เช้า ถูกเมินไม่พอ ยังแสดงออกว่าต้องการเริ่มบทเรียนแรกในอีกไม่ถึงสองเค่อนี้
เห็นอยู่ว่าสนใจสิ่งที่นางทำ แต่กลับเดินเลยไปโดยที่บอกว่าไม่สนใจ "เรื่องแค่นี้ไม่ยอมแพ้หรอก ใครให้เจ้าเป็นบุรุษรูปงามที่ข้าสนใจเล่า ในหนึ่งปีนี้ทำเจ้าหวั่นไหวไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกว่าข้าฉวนหงเลย"
เดินออกไปจากตำหนักหยกม่วง แล้วเดินตรงไปยังห้องครัว
นั่งกินมื้อเช้าที่ตนเองตั้งใจทำเรียบร้อย จึงได้เดินไปยังสวนสมุนไพรที่นางรู้ว่าอยู่ที่ไหนจากการเดินสำรวจไปทั่วเมื่อวาน
เพียงก้าวเข้าไปยังอาณาเขต ก็มีเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น
"บทเรียนแรกของเจ้าวันนี้ คือการขัดเกลาตนเอง" เริ่นซือเหิงชี้ไปยังเครื่องมือที่ใช้ในการขุดดินและปลูกสมุนไพร "เริ่มจากปลูกพืชพวกนี้โดยการไม่ใช้พลัง"
"..นี่"
"ภายในสองวันถ้ายังไม่เสร็จ ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับซางเถียน ว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่ดีให้ข้าสั่งสอน จำเป็นต้องออกไปจากตำหนักหยกม่วงเพื่อหาอาจารย์คนใหม่"
"..."
พูดทั้งที่นั่งอ่านตำราหน้าตาเฉย..
แต่ฉวนหงกลับจับจ้องท่าทางเรียบง่ายนั้นด้วยท่าทางเหม่อลอยอีกแล้ว เริ่นซือเหิงปรายตาครั้งหนึ่งแล้วส่งเสียงขึ้น "ถ้ายังไม่เลิกใช้สายตาเช่นนั้นมองข้า คัดจริยธรรมห้าจบก่อนเป็นอย่างไร?"
..กลั่นแกล้ง นางโดนเขากลั่นแกล้งอีกแล้ว
แต่คนอย่างฉวนหงกลัวที่ไหน ก็แค่ขุดดินปลูกสมุนไพร ต่อให้ปลูกข้าวทั้งแปลงนาก็ทำได้ นางเดินไปยังมุมหนึ่ง หยิบจอบเล็กแล้วลงมือขุดดินโดยไม่ส่งเสียงคัดค้าน
ในศาลาเล็กสำหรับพักผ่อน เริ่นซือเหิงมองท่าทางนั้นแล้วยกมุมปากขึ้น แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เขาปิดตำราแล้วเดินออกไปจากที่แห่งนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
สองวันผ่านไปค่อยคิดหาวิธีจัดการนางก็แล้วกัน สตรีบอบบางเช่นนี้ จะเอาความสามารถใดมาปลูกสมุนไพรทั้งหมดเสร็จ ต่อให้เป็นเขาเองก็ยังต้องใช้เวลามากกว่าอีกเท่าหนึ่ง
ฉวนหงจับจ้องอาจารย์ที่นางพึ่งคำนับได้เพียงวันเดียว ด้วยความรู้สึกคล้ายมีบางอย่างข่วนหัวใจอยู่ตลอด นึกไม่ถึงว่าคนที่ดูเคร่งขรึมมีความรู้อย่างซือเหิงจะเป็นคนที่ไม่อยากใกล้ชิดกับผู้ใด
ไม่ชอบสตรี หรือกลัวสตรี ก็ต้องพิสูจน์กันภายหลัง จู่ๆ อากาศก็เกิดการสั่นไหว "เจ้าโตแล้วนะอาเถียน ยังคอยตามข้าอยู่อีก"
"อาจารย์ ท่านกำลังคิดเรื่องใดอยู่ ข้าเพียงอยากรู้ว่าท่านเป็นอย่างไรก็เท่านั้นเองขอรับ"
"ไม่ใช่กำลังหัวเราะข้า ที่สหายเจ้าทำเรื่องไร้สาระอยู่หรือ?"
"นานๆ ครั้งจะมีคนที่ทำให้เต่าจำศีลโมโหได้ ข้าก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยขอรับ แต่ท่านอาจารย์ของข้ายอมจับจอบขุดดินเป็นเรื่องอัศจรรย์กว่า"
"พูดมาก" โยนของสิ่งหนึ่งผ่านห้วงมิติ "มอบสิ่งนี้ให้เขา อ้างอันใดก็ได้ แต่ต้องให้เขาพกมันติดตัว"
"ท่านถึงกับมอบหยกให้บุรุษ ที่แท้เสน่ห์ของสหายข้า อาจารย์ก็ยังต้านทานไม่ไหว"
"..จิ๊ เขาหน้าตาดีกว่าลูกศิษย์ขี้เหร่ของข้าตั้งเท่าใด"
ทางนั้นเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นแล้วเถียงกลับ "ตอนนั้นที่ท่านรับข้าเป็นศิษย์ก็พูดคล้ายๆ ทำนองนี้ ยังบอกอีกว่าไม่มีใครมาแทนที่ได้อย่างแน่นอน"
"ไสหัวไป" เอ่ยเพียงเท่านั้นก็ตัดการติดต่อ
ทางด้านซางเถียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก เมื่อถูกอาจารย์ตัดการติดต่อเช่นนั้น จึงได้ถอนหายใจยาวคล้ายบางอย่างที่ตนเองกลัวกำลังเกิดขึ้น
ถึงอาจารย์ผู้นี้จะชื่นชอบคนหน้าตาดีเท่าใด แต่เพราะความเย่อหยิ่ง นอกจากใช้กำลังบีบบังคับผู้อื่นแล้ว ก็ไม่เคยเอาความยากลำบากของตนมาทำเพื่อผู้อื่นเท่านี้ แต่ถ้าสหายของเขาไม่รู้สึกสิ่งใดเลยก็นับเป็นเรื่องดี
ดีต่อพวกเขาทั้งสองคน..
จากท่าทางของอาจารย์ คล้ายคนตกหลุมรักผู้อื่นตั้งแต่แรกเห็นก็ไม่ปาน ยังมาอ้างเรื่องต้องการเฝ้าดูเพื่อหาทางรักษาอย่างใกล้ชิดอยู่อีก ระดับตำนานฉวนหงหรือ? ที่จะมาเสียเวลาทำเรื่องเช่นนั้นถ้าไม่มีสิ่งใดแอบแฝง
หยกสีขาวในมือนี่ก็อีก ใจคอจะตามเจ้าซือเหิงไปทุกที่เลยรึไง
เสียงหนึ่งดังมาจากหน้าตำหนัก
"ซางเถียน"
..เฮ้อ เจ้ามารนหาที่เองนะ โบกมือครั้งหนึ่ง อาณาเขตตำหนักหยกนภาก็เปิดทางให้สหาย อย่างไรเขาก็ได้ชื่อว่าเจ้าสำนักแห่งขุนเขา ไปที่อื่นได้ทุกที่ แต่ถ้าเป็นอาณาเขตของตนเองผู้อื่นต้องได้รับอนุญาตก่อน
ทันทีที่เริ่นซือเหิงปรากฏ ก็ส่งเสียงถามขึ้นทันที
"เจ้าพักอยู่ไม่ใช่รึ?"
"ส่งนางเข้าตำหนักข้าเช่นนั้น ยังมีหน้าบอกให้พักอยู่อีก"
"เจ้าเถอะ มาทำอันใด?"
"มีบางอย่างเคลื่อนไหว ข้าอยากจะไปดูเสียหน่อย"
"เจ้าสงสัยเรื่องมารปีศาจ หรือต้องการหนีลูกศิษย์ของเจ้าไปไหน?"
นั่งลงไปยังเก้าอี้ที่อยู่ด้านหนึ่ง ท่าทางจับจ้องเจ้าสำนักซางเถียนราวกับสงสัยบางอย่าง เมื่อเจอเช่นนี้คนถูกจ้องถึงกับร้อนๆ หนาวๆ เริ่นซือเหิงส่งเสียงถามอย่างอดไม่อยู่ "เจ้าต้องใจนางแท้ๆ เหตุใดจึงส่งเข้าตำหนักข้า?"
ฟ้าผ่าสิ!
"เริ่นซือเหิง เจ้ากำลังเข้าใจผิดแล้ว" ผิดแบบไปไกลเป็นอย่างมาก เพราะอย่างอาจารย์ ถ้านับเป็นมารดาย่อมเป็นสิ่งที่คู่ควรที่สุด ส่วนเรื่องต้องใจ ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีก็อย่าได้คิดเรื่องไร้สาระพรรค์นั้น
"ตระกูลนางยิ่งใหญ่มากหรือ? ให้ข้าออกหน้าหรือไม่เล่า บอกได้ เพราะข้าก็พอมีเส้นสายเอ่ยปากให้เจ้า แต่เป็นสตรีตระกูลใด ซือ? ไม่เห็นเคยได้ยิน"
"อะแฮ่ม เริ่นซือเหิง เจ้าเข้าใจผิดจริงๆ"
"ไม่ต้องอาย ข้าช่วยเจ้าได้"
ซางเถียนเปลี่ยนเรื่อง "เจ้าจะเดินทางตอนไหน?"
"ตอนนี้"
"..หืม ดูรีบร้อน" แต่เจ้าตัวกลับยื่นมือออกมาแทนคำตอบ "เช่นนั้นก็เอาหยกนี่ไปด้วย"
สะบัดมือครั้งหนึ่งก็นำหยกสองอันให้สหาย หนึ่งคือหยกที่ซือเหิงต้องการ อีกอันคือหยกที่อาจารย์ต้องการให้เขาไป
เขาปฏิเสธทันที "ข้าไม่ห้อยหยกประดับ"