EPISODE 03.01
ครั้งที่สาม
หลังจากได้กดติดตามกันในอินสตาแกรม ก็เหมือนเป็นแอปพลิเคชันเดียวที่เป็นสื่อกลางระหว่างฐากูรกับทยากรได้ พวกเขามักจะกดไลก์รูปที่อีกฝ่ายโพสต์ลงอยู่เสมอ แต่ฐากูรนอกจากจะกดไลก์แล้วยังคอมเมนต์ชื่นชมทยากรเกือบทุกรูปที่อัปเดตใหม่ ๆ
คำชมก็อย่างเช่นว่า ‘หล่อจังครับ’ ‘น่ารักจังครับ’ ‘รถสวยมากเลยครับ’ ‘อาหารน่ากินจังครับ’ ‘วิวสวยครับ’ ไม่ว่าทยากรจะถ่ายรูปคู่กับอะไรก็จะถูกชมจนเจ้าตัวรู้สึกแปลก ปกติก็ไม่มีคนแปลกหน้ามาชมนักหรอก โดยเฉพาะคนที่เพิ่งรู้จักกันแบบนี้
ด้วยความสงสัยว่าฐากูรเป็นคนอย่างไรกันแน่ ใช้ชีวิตแบบไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทยากรจึงเข้าไปส่องอินสตาแกรมโดยการย้อนดูภาพเก่าลงมาเรื่อย ๆ และสิ่งหนึ่งที่พอจะจับทางได้ว่าพวกเขาคงมีความชอบอีกอย่างที่คล้ายกันคือการแต่งตัว
ดูจากเสื้อผ้าที่ฐากูรสวมใส่นั้นล้วนเป็นยี่ห้อดังและราคาแพง ซึ่งเท่าที่ย้อนดูรูปจนถึงช่วงรับปริญญาก็เห็นไลฟ์สไตล์เขาเป็นแบบนี้ทั้งหมด กินหรู อยู่ดี ใช้ของราคาแพงทุกอย่าง ที่จริงก็ไม่แปลกอะไรหรอกเพราะบ้านฐากูรนั้นรวยมาก
“เฮ้ย ให้กูมาอยู่เป็นเพื่อนก็สนใจกูหน่อยสิ นี่มึงดูอะไรอยู่วะทอย”
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อเพื่อนสนิทเอ่ยทักขึ้นมา วันนี้ ‘เจล’ เพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตของทยากรมาหาที่บ้าน ตั้งใจจะอยู่ด้วยทั้งวันเพราะไม่ได้เจอกันนาน เธอเพิ่งกลับจากอังกฤษเมื่อสองวันก่อนนี้เองหลังจากต้องไปทำงานที่โน่นถึงสองเดือน
ทยากรรีบหาวันว่างเพื่อชวนเพื่อนมาหา เขาจัดเตรียมอาหารไว้เลี้ยงต้อนรับเพื่อนรักตั้งแต่เช้าจนเย็น ไม่ว่าเจลอยากกินอะไรเขาก็สั่งมาให้แบบตามใจเธอทุกอย่าง ช่วงกลางวันก็มีเรื่องให้พูดคุยกันมากมายจนแทบไม่พักอยู่หรอก ทว่าพอตกเย็นทยากรก็เอาแต่เล่นโทรศัพท์เงียบ ๆ ไม่สนใจเธอเลย
“เจล มึงว่าคนนี้ดูเป็นไง”
โทรศัพท์มือถือของทยากรที่เขาเปิดอินสตาแกรมไว้อยู่ถูกยื่นไปให้เพื่อนดูภาพชายคนหนึ่ง เจลรีบคว้ามาเลื่อนดูรูปโดยที่เธอไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคำถาม เธอเลยดูรูปไปแล้วกดไลก์รูปฐากูรไปด้วย ซึ่งส่วนนี้ทยากรไม่เห็น
“อืม...หล่อว่ะ หล่อมากเลยนะ ดูเป็นคนอบอุ่น ใจดี บางรูปดูสายตาเจ้าเล่ห์อยู่เหมือนกัน”
“กูกับเขาใครหล่อกว่ากัน?”
“หล่อแบบเท่ ๆ ก็ต้องเขาแหละ แต่ถ้าหล่อแบบหวาน ๆ น่ารัก ๆ ก็ต้องมึงเลยทอย ที่จริงมึงคือนิยามของคำว่าเครื่องหน้าสวยด้วยซ้ำ มึงเป็นยัยคนสวยขาค่ะเพื่อน”
มือเรียวยกขึ้นเกลี่ยปอยผมทัดหูพลางยักไหล่ทีหนึ่งตามจริตของตัวตนที่เขาเป็น ที่จริงทยากรเป็นคนอ่อนหวานมาก แต่เขาไม่สามารถแสดงสิ่งเหล่านี้ได้เพราะคนอื่นจะมองว่าอ้อนแอ้น ดูอ่อนแอ ซึ่งมันจะไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ที่ทินภัทรตีกรอบไว้ให้ว่าเขาต้องเป็นโอเมก้าที่ดูเข้มแข็งและจองหอง
ส่วนตัวตนที่แท้จริงเขาก็จะปลดปล่อยออกมาได้แค่ตอนอยู่กับเพื่อนสนิทเท่านั้น มีแค่เจลคนเดียวที่ได้เห็น
“มึงว่ากูกับเขาใครจะฉลาดกว่ากันวะเจล ถ้ากูหลอกถามอะไรเขา จะทำสำเร็จไหมนะ”
“เขาเป็นใคร มึงเล่าให้กูฟังก่อน”
“เขาชื่อฐา คืออัลฟ่าคนนั้นที่เป็นต้นเหตุทำให้กูโดนป๊าตบหน้า”
เจลเหลือบตามองทีหนึ่งก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้เพื่อน เธอไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ปฏิกิริยาตอบกลับมีแค่การพยักหน้ารับรู้เท่านั้น ตั้งแต่สนิทกับทยากรมาหลายปี เหตุการณ์ที่เขาถูกทินภัทรทำร้ายร่างกายไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก
อีกอย่างเธอถามไถ่เรื่องรอยแดงบนแก้มตั้งแต่มาถึงบ้านหลังนี้แล้ว ทยากรบอกแค่ว่า ‘ก็โดนเหมือนเดิมแหละมึง’ คำตอบนี้ทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของทินภัทร เพียงแต่ยังไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าต้นสายปลายเหตุมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
“อยากเล่าปะ”
“กูต้องเล่าให้มึงฟังทุกเรื่องอยู่แล้วค่า แต่กับคุณฐามันมีเรื่องแปลกเกิดขึ้นด้วย กูไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกันว่ะ จะบอกว่าคิดไปเองก็ไม่ใช่เพราะมันดันเกิดขึ้นจริงอีก”
“ทำไม ใจเต้นตอนอยู่กับเขาหรือไง?”
“ใจเต้นเพราะโมโหน่ะสิ รายนั้นเปิดโหมดป้องกันตัวเองตลอด กูหลอกถามอะไรไม่ค่อยได้เลย แต่ที่ว่าแปลกคือตอนกูจับมือทักทายเขาน่ะมันมีภาพในหัวเกิดขึ้นแวบหนึ่ง จับสองครั้งเห็นภาพสองครั้งเลย ภาพที่สองที่เห็นดันเกิดขึ้นจริงไปแล้วด้วย”
ทยากรลงรายละเอียดเรื่องภาพกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นให้ฟังด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันเหนือความคาดหมายจนไม่กล้าเดาว่ามันคืออะไรกันแน่ เจลก็ฟังแล้วคิดตามทุกคำพูด เธอเชื่อเพื่อนอย่างสนิทใจโดยไม่คิดสงสัย
“มันคือพลังวิเศษของอัลฟ่ากับโอเมก้าหรือเปล่า?”
“แต่กูก็ไม่ได้เพิ่งเคยเจออัลฟ่านี่ กับคนอื่นไม่เห็นเป็น ตอนอยู่อังกฤษ กูมีอัลฟ่ามาจีบด้วย เคยปล่อยใจประชดป๊าแบบมือก็จับแล้ว แก้มก็เคยหอมกันแล้ว ยังไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลย ไม่มีภาพอะไรแบบนี้เกิดขึ้นกับกูสักครั้ง”
“แค่ได้จับมือกับหอมแก้มทำอวด เพื่อนกูนี่อ่อนหัดกับเรื่องแบบนี้จัง ว่าแต่กับคุณฐาอะไรนี่ถึงไหนแล้วล่ะ จูบหรือนอนด้วยกัน?”
“บ้า!!! กูกับเขาไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรอก เขาเป็นทายาทตระกูลเธียรทวีทรัพย์ที่เป็นเจ้าของทีทีเอสกรุ๊ป”
“เชี่ย เป็นศัตรูเหรอ?”
ระหว่างพวกเขาทั้งคู่คงนิยามคำว่าศัตรูไม่ได้ ทยากรเอียงศีรษะพลางใช้ความคิดเล็กน้อย เขาก็อธิบายความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับฐากูรไม่ถูกเหมือนกัน
“เรียกว่าพยายามเป็นมิตรดีกว่า กูกลัวภาพที่กูเห็นครั้งแรกจะเป็นจริง ถ้าทีทีเอสกรุ๊ปตีตลาดยุโรปได้ บริษัทกูคงตามไม่ทันแล้ว ป๊าพยายามตีตลาดตรงนั้นมาหลายปียังทำไม่สำเร็จสักที นี่ถ้าทางโน้นทำได้ ป๊าคงเป็นบ้าแล้วกดดันกูเพิ่มอีก เป็นแบบนั้นกูคงทนไม่ไหวหรอกว่ะ”
“แล้วคุณเขาเห็นภาพเหมือนที่มึงเห็นหรือเปล่า?”
“ไม่นะ ไม่เห็นเขาพูดอะไรเลย คงมีกูคนเดียวที่เห็นแหละ”
“แล้วเขารู้ไหมว่ามึงเห็นภาพ?”
“กูจะบอกทำไมล่ะว่าเห็นเขาประสบความสำเร็จ สิ่งที่กูควรทำคือขัดขวางเขาทุกทางค่ะ”
เขายังเล่าให้เจลฟังต่ออีกว่าคิดอยากจะรู้จักฐากูรมากขึ้น อย่างไรก็ต้องรู้เรื่องในองค์กรอีกฝ่ายให้ได้เพื่อที่จะรู้ทางหนีทีไล่ ถ้าดักทางที่จะทำให้อีกฝ่ายก้าวหน้าได้เขาก็จะทำ อยากทำทุกอย่างเพื่อชะลอการเติบโตของทีทีเอสกรุ๊ป แล้วผลักดันพีซีเคปิโตรเลียมให้ขึ้นไปเทียบเท่าหรือสูงกว่า
“แค่เจอกันวันแรกแล้วมีกลิ่นติดมายังโดนป๊ามึงตบขนาดนี้ ถ้าทำความรู้จักกันต่อไปไม่โดนกระทืบตายห่าเหรอวะ เขาเป็นทั้งอัลฟ่าที่ป๊ามึงเกลียดเข้าไส้ เป็นทั้งทายาทตระกูลคู่แข่ง”
“ถ้าไม่รู้จักเขาแล้วหลอกถามข้อมูล จะมีทางไหนที่บริษัทกูจะเติบโตขึ้นเร็ว ๆ บ้างวะ บางทีแค่ขัดขาคู่แข่งอาจง่ายกว่าที่คิดก็ได้ คือบริษัทกูก็ทำทุกอย่างให้ตามทีทีเอสกรุ๊ปทันจนอยู่ที่สองมาตลอด แต่อย่างหนึ่งที่พวกผู้ใหญ่ยังไม่ลองทำคือเปิดใจเป็นมิตรกับทางนั้นดู”
“มึงจะไม่แพ้ใจตัวเองใช่ไหม เขาหล่อมากนะคุณฐาน่ะ”
“กูไม่ได้ชอบคนหล่อจ้า กูชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ซึ่งไม่ใช่เขา”
“เออ งั้นมึงจะทำอะไรก็ทำ มีอะไรให้กูช่วยก็บอก แล้วก็ระวังตัวเองให้มาก ๆ ด้วย อย่าทำเรื่องที่จะโดนป๊ามึงทำร้ายอีก ก็พอเข้าใจได้ว่าเขาป่วยเลยระงับตัวเองไม่ได้ แต่มึงก็มีความรู้สึกไง มึงก็เจ็บเป็น บางทีเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะ อย่าทนมากนัก”
ใบหน้าหวานแสดงสีหน้าเหนื่อยอ่อนทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าความขัดแย้งระหว่างเขากับทินภัทรมันไม่มีทางดีขึ้น สิ่งที่เป็นปัญหาไม่ใช่แค่ทินภัทรมีอาการป่วยจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ แต่ยังมีเรื่องความคิดต่าง ๆ ที่มักจะขัดแย้งกันอยู่เสมอ
คือต่อให้ทินภัทรไม่ได้ป่วยก็ต้องทะเลาะกันเรื่องอื่นอยู่ดี ทยากรเปรียบเสมือนตัวแทนของเขาที่ถูกชี้นำให้ทำทุกอย่างที่ทินภัทรต้องการ หรือแม้แต่เรื่องที่เคยทำผิดพลาดในอดีตก็อยากให้ลูกชายได้แก้ไขแทน โดยไม่เคยถามทยากรเลยว่าเขาต้องการหรือไม่
สำหรับทยากรแล้วการใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่ทินภัทรวางให้แบบนี้ กับถูกทินภัทรทำร้ายเวลาควบคุมตัวเองไม่ได้ มันก็เจ็บไม่ต่างกัน เขาชินชากับความเจ็บปวดจนแยกไม่ออกแล้วว่าเจ็บที่กายกับเจ็บที่ใจมันต่างกันอย่างไร
ติ๊ง!
thakun_ttsg : แอบส่องไอจีผมไปไกลเลยน้า กดไลก์กันรัว ๆ เลย
ขณะที่จิตใจกำลังฟุ้งซ่านอยู่นั้น จู่ ๆ ฐากูรก็ส่งข้อความมาหาทางอินสตาแกรม ร่างบางของทยากรดีดตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ จากนั้นก็หันขวับไปหาเพื่อนสนิททันที
“ไอ้เจล มึงกดไลก์รูปเขาเหรอ?!”
“เมื่อกี้เหรอ เออ กูก็กดทุกรูปที่กูดูอะ ทำไมวะ?”
“เชี่ย ๆ ๆ เขาก็รู้สิว่ากูส่องไอจีเขา กูมาแอบส่อง ไม่ได้จะให้เขารู้ตัวสักหน่อย เขาทักมาเลยเนี่ย”
“Oops! Sorry ค่ะเพื่อน แต่เขาทักมามึงก็คุยดิ อยากทำความรู้จักไม่ใช่เหรอ”
การพิมพ์ข้อความพูดคุยกับคนอื่นนอกเหนือจากเรื่องงานมันเป็นเรื่องยากสำหรับทยากร เขาไม่เคยคุยแบบนี้กับใครนอกจากเจล ไม่รู้จะชวนคุยอย่างไรด้วย การพิมพ์มันไม่เหมือนกับคุยกันต่อหน้า ซึ่งเขาชอบคุยแบบเห็นหน้ามากกว่า
thayakorn_toy : ครับ พอดีว่างเลยเข้าไปดูเฉย ๆ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะครับ
thakun_ttsg : ผมไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แล้ววันนี้คุณทอยว่างเหรอครับ ออกมารับนาฬิกาไหม เดี๋ยวผมไปหา
thayakorn_toy : ไม่เชิงว่างครับ แต่ไม่สะดวกออก
thakun_ttsg : งั้นเอาไว้วันที่สะดวกดีกว่าครับ ถ้านัดวันนี้จริง ๆ ผมอาจไปช้า นี่ผมยังอยู่ออฟฟิศอยู่เลย
พอฐากูรเปรยเกี่ยวกับงานขึ้นมาว่าอยู่ออฟฟิศก็ทำให้ทยากรสนใจ เขาอยากรู้ว่าการทำงานแต่ละวันของอีกฝ่ายทำอะไรบ้าง ดูแลที่ไหน วางแผนบริหารงานอย่างไร แต่จะให้ถามรวดเดียวคงดูไม่เหมาะ
thayakorn_toy : แล้วคุณฐาว่างคุยเหรอครับถึงทักมา ที่จริงวิดีโอคอลมาได้นะ ผมกินขนมอยู่เลยไม่สะดวกพิมพ์
thakun_ttsg : Video Call
ทยากรตั้งใจชวนวิดีโอคอลเพราะเขาอยากเห็นออฟฟิศที่ฐากูรทำงาน อยากสอดส่องในสิ่งที่ไม่เคยเห็น เผื่อจะได้ข้อมูลสำคัญมาบ้าง
เมื่ออีกฝ่ายโทรเข้ามา ทยากรจึงรีบวิ่งไปนั่งที่โต๊ะหนังสือ ตรงนั้นมีขนมที่เขาเพิ่งกินกับเจล ทั้งยังหันมากำชับเพื่อนสนิทอีกว่าห้ามส่งเสียง ห้ามโผล่เข้ามาในกล้องด้วย ซึ่งเธอก็พยักหน้ารับแล้วเลี่ยงไปนั่งที่โซฟาริมห้องนอนแทน
หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จ เขาก็ตั้งโทรศัพท์ไว้กับหนังสือ เอียงหน้าฝั่งที่ยังแดงอยู่เล็กน้อยหลบกล้องพลางยกมือขึ้นมาบังแก้มเชิงนั่งเท้าคาง เมื่อทุกอย่างสมบูรณ์แบบจึงรีบกดรับสายฐากูรในที่สุด
“สวัสดีครับคุณฐา”
“สวัสดีครับ คุณทอยกินขนมอะไรอยู่เหรอครับ ปกติชอบกินอะไร?”
“อืม...ผมกินได้หมดแหละครับ กินง่าย ตอนนี้ผมกินขนมถ้วยอยู่ครับ”
พูดจบก็ใช้ช้อนตักขนมถ้วยที่สั่งมาให้เจลเข้าปากทันที โดยมือที่เท้าคางก็ยังคงปิดแก้มข้างนั้นต่อไป ขณะเดียวกันดวงตากลมโตก็จ้องมองที่จอโทรศัพท์อย่างตั้งใจ ทยากรลอบมองสถานที่เบื้องหลังฐากูรแทบไม่กะพริบตา และแน่นอนว่าอีกฝ่ายก็รู้ทันเช่นกัน
“น่ากินจังครับ วันนี้ผมอยู่ออฟฟิศทั้งวัน ยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“ออฟฟิศที่ไหนเหรอครับ ให้ผมส่งขนมไปให้ไหม?”
ด้วยความอยากรู้จนปิดไม่มิดทำให้ทยากรถามแบบนั้นออกไป ฐากูรยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเพิ่มบทสนทนาให้เข้มข้นขึ้น
“ผมอยู่ออฟฟิศของบริษัทย่อยที่เป็นสำนักงานดูแลปั๊มน้ำมันสาขาในกรุงเทพฯ ว่าแต่คุณทอยได้ดูแลปั๊มน้ำมันตรงไหนบ้างครับ ไว้เผื่อวันไหนผมแวะเข้าไปหา”
เจอคำถามย้อนกลับแบบนี้เล่นเอาทยากรไปไม่ถูกเลย เขาไม่ได้มีส่วนดูแลปั๊มน้ำมัน งานส่วนนั้นจะเป็นของคุณลุงที่เป็นคนจัดการ ทว่าจะแสดงออกว่าเขาไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งก็คงจะดูไม่ดี ทยากรไม่อยากรู้สึกว่ามีจุดที่ด้อยกว่า
“ผมดูสาขาต่างจังหวัดครับ คุณฐาล่ะเคยดูแลสาขาต่างจังหวัดบ้างไหม?”
“สาขาต่างจังหวัดของผมแทบไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษเลยครับเพราะอยู่ตัวหมดแล้ว ยอดขายก็ดีขึ้นทุกไตรมาส”
“ยอดขายต้องดีขึ้นอยู่แล้วสิครับเพราะปั๊มเล็กเจ๊งหมด คนก็มาใช้บริการปั๊มคุณเยอะหน่อย ฮ่า ๆ”
“อ่า...มันก็อยู่ที่การบริหารจัดการด้วยนะครับ อันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมที่ทีทีเอสกรุ๊ปได้มาก็ใช่จะดีดนิ้วทีเดียวแล้วสำเร็จซะเมื่อไหร่ พอดีทางเรามีรากฐานการบริหารที่แน่นและพัฒนาอยู่ตลอดน่ะครับ ไม่เคยย่ำอยู่กับที่”
ริมฝีปากบางกระตุกด้วยความรู้สึกหงุดหงิด พอต่อปากต่อคำกันเรื่องงานทีไรฐากูรไม่ยอมลงให้จริง ๆ แถมยังจิกกัดกลับมาได้เจ็บแสบทุกครั้งเลยด้วย
“ผมว่า...เดี๋ยวผมต้องวางแล้วครับ พอดีป๊านัดคุยเรื่องงานที่วางแผนพัฒนาแบบก้าวกระโดดในอนาคต!”
“ฮ่า ๆ เชิญครับ ว่าแต่เราจะได้เจอกันอีกทีเมื่อไหร่ ผมจะได้เตรียมนาฬิกาไว้ให้ อ้อ วันศุกร์หน้ามีงานประกาศรางวัล คุณทอยจะมาร่วมไหมครับ?”
“ไปครับ”
“งั้นไว้เจอกันที่งานนะครับ”
“ครับ สวัสดีครับ”
เป็นอีกครั้งที่ทยากรเป็นฝ่ายกดวางสายก่อน คราวนี้ยังมีอารมณ์หงุดหงิดติดค้างอยู่มากจนแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน เขาหันไปมองเพื่อนสนิทที่มองมาอยู่ก่อนแล้วเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ใจเย็นไอ้หนู”
“มึงว่าเขากวนตีนกูไหมวะเจล แม่ง พูดเหมือนหลอกด่าว่าบริษัทกูไม่พัฒนาเลยอยู่แค่ที่สอง”
“คิงกับควีนแห่งวงการนี้อะเนอะ มันยอมกันไม่ได้ มึงก็ใช่ย่อยนะเพื่อนเมื่อกี้อะ แต่เอาจริง ๆ ถ้าไม่เถียงกันก่อนนี่กูนึกว่าจีบกันอยู่ เขาดูใช้เสียงสองคุยกับมึงอยู่นะทอย คุยเรื่องอื่นนะไม่ใช่เรื่องงาน”
“มึงก็รู้สึกใช่ไหมว่าตอนคุยเรื่องงานแล้วเหมือนจะทะเลาะกันอะ ทำเสียงเข้มใส่กูแบบนี้ กูก็ไม่ยอมหรอก”
“ถ้าเขาจีบมึงจริงจะทำไง สมมติว่าตัดเรื่องงานออกแล้วเขาไม่ใช่ทายาทตระกูลนั้นล่ะ แบบนี้สเปกมึงไหม?”
“ไม่รู้ว่ะ เพิ่งรู้จักกันเอง กูไม่คิดกับเขาในทางชู้สาวหรอกเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ คิดไปก็เปลืองเวลา หรือต่อให้จีบกูจริง มึงคิดว่าจะผ่านด่านป๊าได้ไหมล่ะ คนที่ผ่านด่านป๊ามีคนเดียวคือมึงจ้าไอ้เจล”
ต่างคนต่างมองหน้าแล้วเบะปากใส่กัน ระหว่างเธอกับเขาแล้วไม่ใช่แค่เป็นเพื่อนสนิทกันอย่างเดียว แต่ยังเป็นคนที่ทินภัทรทาบทามไว้ให้ลูกชายได้แต่งงานด้วย เพราะเจลคือทายาทตระกูลเศรษฐีที่รวยอันดับต้น ๆ ของประเทศ
เรื่องแต่งงานนี้เป็นทินภัทรคนเดียวที่วางแผนไว้แล้วพูดเปรยมาหลายครั้ง เขาหยิบยกผลประโยชน์ที่จะได้รับจากตระกูลของเธอมากมายมาหลอกล่อลูกชาย ซึ่งมันไม่เคยสำเร็จ
ทยากรไม่คิดจะแต่งงานกับเพื่อนสนิทเพียงเพราะต้องการทรัพย์สินเงินทองหรืออำนาจทางธุรกิจ อีกอย่างคือความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมันเปลี่ยนไม่ได้แล้ว เป็นเพื่อนกันมากี่ปีก็ยังจะเป็นเพื่อนกันต่อไปเหมือนเดิม
หรือต่อให้ทินภัทรจะบังคับให้ทั้งสองคนแต่งงานกันจริง ๆ เรื่องนี้ก็จะเป็นอีกเรื่องที่ทยากรจะต่อต้านอย่างสุดความสามารถ ต่อให้แตกหักกันมากกว่าที่เป็นเขาก็ยอม เพราะเขาจะไม่ยอมให้เพื่อนสนิทคนเดียวในชีวิตต้องมารู้สึกแตกสลายเพียงเพราะความโลภจากทินภัทรแน่นอน