EPISODE 03.02
ครั้งที่สาม
เวลาล่วงเลยผ่านมาอีกหลายวัน วันนี้มีงานประกาศรางวัลอีกที่หนึ่งที่ทยากรต้องไปร่วมงาน เขาเป็นตัวแทนของพีซีเคปิโตรเลียมอีกเช่นเคย
งานวันนี้จัดในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านชานเมืองที่ทยากรเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เขาเปิดจีพีเอสแล้วขับรถมาด้วยตนเองจนถึงจุดหมาย พอมาถึงแล้วเขายังนั่งอยู่ในรถต่ออีกครู่หนึ่งเนื่องจากรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไร ช่วงนี้ร่างกายของเขาอ่อนเพลียอยู่บ่อย ๆ ด้วย
‘ใกล้ถึงกำหนดฉีดยาต้านอาการฮีทแล้วเป็นแบบนี้ทุกทีเลยว่ะ เฮ้อ’
ก่อนที่จะออกมา ทยากรมีความคิดที่ว่าจะให้ทินภัทรส่งคนอื่นมาแทนด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าวันนี้อ่อนแอเกินกว่าจะออกมาเผชิญทุกอย่างด้วยตนเอง ปกติช่วงเวลาแบบนี้ทยากรจะไม่อยากออกไปไหน เขาจะอ่อนเพลียอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะถึงกำหนดฉีดยาต้านอาการฮีทในทุก ๆ สามเดือน
ติดอยู่อย่างเดียวตรงที่ว่าวันนี้ดันนัดรับนาฬิกากับฐากูรเอาไว้ เลยไม่อยากผิดคำพูด เพราะถ้าไม่มาเจอกันที่งานก็คงต้องนัดกันนอกรอบ ทยากรยังไม่พร้อมที่จะพบเจอกันในลักษณะนั้นสักเท่าไร เขายังรับมือกับทินภัทรไม่ได้ว่าถ้ารู้เรื่องที่พวกเขานัดเจอกันข้างนอกเข้าแล้ว เขาจะโดนลงโทษอย่างไรอีก
ติ๊ง!
thakun_ttsg : ผมอยู่ในงานแล้วนะครับ
thayakorn_toy : ผมกำลังเดินไปครับ
ในที่สุดทยากรก็ลงมาจากรถ วันนี้เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงรวมถึงเครื่องประดับทั้งตัวด้วย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดก่อนก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยแสดงถึงความมั่นอกมั่นใจสมกับที่ทินภัทรสอนเขามา
ซึ่งบุคลิกแบบนี้มันค่อนข้างสะดุดตาและน่าหมั่นไส้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันส่งเสริมให้ดูโดดเด่นจนผู้คนต่างก็หันมองเขาเป็นตาเดียว มันเป็นแบบนี้เสมอ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ทยากรจะไม่เป็นจุดสนใจไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
เขาเดินเข้าไปในงานพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาฐากูรไปด้วย จากนั้นก็เดินมาหากันจนเจอ
“คุณทอยดูดีมากเลยครับ วันนี้หล่อมาก”
ฐากูรเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อนพลางยื่นมือไปด้านหน้า วินาทีนี้ทยากรหัวใจเต้นตึ้กตั้กด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้ว่าการจับมือกันครั้งที่สามจะเห็นภาพอะไรหรือไม่ ซึ่งเขาไม่มีเวลาเตรียมใจ อย่างไรก็ต้องยื่นมือไปกุมมืออีกฝ่ายเพื่อทักทายอยู่ดี
พึ่บ!
แล้วภาพแปลกก็ฉายเข้ามาในหัวจริง ๆ ทยากรเห็นภาพฐากูรขับรถ ลักษณะมุมมองที่เห็นคือตัวเขานั่งอยู่ที่เบาะโดยสารข้างคนขับเลย ส่วนฐากูรเองก็เห็นภาพคนตรงหน้าล้มลงกับพื้น ภาพที่เห็นคือทยากรใส่ชุดนี้!
ฝ่ามือของพวกเขาผละออกจากกันหลังภาพที่เห็นหายวับไป ต่างฝ่ายต่างปรับสีหน้าให้ปกติที่สุดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายก็เห็นภาพแปลกประหลาดแบบนั้นเหมือนกัน
“เดี๋ยวค่อยให้นาฬิกาผมตอนงานเลิกก็ได้นะครับ เราเข้าไปนั่งที่กันไหม งานจะเริ่มแล้ว”
“ได้ครับ”
ทั้งคู่ต้องแยกย้ายกันนั่งคนละโซนตามที่เจ้าภาพได้ติดชื่อเอาไว้บนเก้าอี้ ทุกงานจะเป็นอันรู้กันว่าคนของสองบริษัทนี้จะต้องนั่งแยกกันคนละที่ ใครก็รู้ว่าไม่ถูกกัน
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับรุ่นก่อน ๆ ทั้งนั้น ปัจจุบันยังไม่มีเรื่องขัดแย้งจนมองหน้ากันไม่ติด และในอนาคตก็หวังว่าจะยังคงความสัมพันธ์แบบนี้ต่อไปได้ อย่างน้อยก็จนกว่าจะได้ล้วงความลับเรื่องธุรกิจจากอีกฝ่ายมาให้ได้มากที่สุดก่อน แล้วจะชังขี้หน้ากันก็ไม่สาย
การประกาศรางวัลเริ่มต้นขึ้นและดำเนินไปอย่างราบรื่นมาตลอด ทยากรกับฐากูรได้ขึ้นไปรับรางวัลแรกเป็นที่เรียบร้อย
แต่เมื่อมีการประกาศรางวัลที่สองของทยากร เขาก็เกือบจะไม่ลุกขึ้นไปรับรางวัลแล้ว ความอ่อนเพลียชักนำให้คนตัวเล็กนั่งหลับจนคอพับอยู่กับที่ ดีหน่อยที่ได้สติก่อนจึงรีบเดินขึ้นเวทีเป็นครั้งที่สอง
คราวนี้ฐากูรที่นั่งอยู่ด้านล่างพร้อมกับปรบมือให้นั้นสังเกตเห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายใบหน้าซีด ท่าทางการเดินก็ดูเชื่องช้ากว่าปกติที่เป็นคนกระฉับกระเฉง
‘ทำไมสภาพเป็นงั้นวะ แล้วภาพที่เห็นคืออะไร เขาเป็นลมเหรอ?’
เขาอดจินตนาการประกอบกับภาพที่เห็นตอนจับมือไม่ได้ ตั้งแต่แยกย้ายกันมานั่งคนละที่ ฐากูรก็เอาแต่จับตามองอีกฝ่ายเป็นพิเศษ เขาลุ้นตลอดเวลาว่าภาพที่เห็นจะเกิดขึ้นตอนไหน ทยากรจะล้มลงกับพื้นเมื่อไร หากอยู่ใกล้ก็หวังว่าเขาจะช่วยทัน แต่ถ้าอยู่ไกลก็ยังหวังอยู่ว่าจะมีคนช่วยอีกฝ่ายเช่นกัน
“คุณฐาไม่ละสายตาจากเขาอีกแล้วนะครับ”
ร่างสูงสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกวายุซึ่งเป็นเลขาเอ่ยทักขณะที่เขาเอี้ยวคอมองตามทยากรที่เดินลงมาจากเวทีจนเข้าไปนั่งที่เก้าอี้
“ผมก็มองเฉย ๆ”
“วันนี้วางแผนหลอกล่ออะไรเขาอีกหรือเปล่าครับ บอกมาได้เลยนะครับ ผมจะได้เตรียมการไว้ให้”
“ผมไม่เคยแกล้งเขาสักหน่อย รอบก่อนก็เป็นอุบัติเหตุนี่ หึ ๆ”
วายุพยักหน้ารับพลางถอนหายใจเล็กน้อย ก็อุบัติเหตุที่ฐากูรกล่าวถึงนั้นเป็นแผนการที่คิดเองทั้งหมด แล้ววายุก็เป็นตัวกลางคอยจัดการให้ทุกอย่างแนบเนียนตามคำสั่ง ทั้งติดต่อคนนอกให้หาคนมาขับรถชนรถหรูของทยากร ทั้งต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและต้องทำทุกอย่างให้เจ้านายพอใจอีก อุบัติเหตุที่ฐากูรลิขิตวันนั้นมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ
เวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่จนกระทั่งการประกาศรางวัลได้ยุติลง วันนี้ทั้งฐากูรและทยากรได้มาคนละสองรางวัล เมื่อจบงานแล้วจึงเดินออกมาคุยกันที่ด้านหน้าห้องจัดเลี้ยง
ร่างบอบบางเดินถือถ้วยรางวัลออกมาด้วยท่าทางเนือย ๆ ก่อนจะรวบถ้วยรางวัลไว้ในอ้อมอกด้วยลำแขนข้างเดียว
“ผมโอนเงินให้นะครับ ขอเลขบัญชีหน่อย”
มือเรียวล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมกดโอนเงินค่านาฬิกาให้ฐากูร ทว่าตอนที่ก้มหน้าพิมพ์เลขทีละตัวนั้นกลับเห็นทุกอย่างพร่าไปหมด แป้นพิมพ์กลายเป็นสีขาวล้วนจนไม่เห็นปุ่ม โทรศัพท์ที่ถืออยู่ก็เริ่มเลือนรางลงทุกขณะ จนกระทั่งภาพทุกอย่างดับวูบลงกลายเป็นมืดสนิท
“คุณทอย!!”
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ฐากูรกระโจนเข้าไปหาก็ตอนที่ทยากรล้มลงถึงพื้นแล้ว ภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่คือภาพเดียวกับที่เห็นตอนจับมือไม่มีผิดเพี้ยน มันคือภาพเดียวกัน!!
“เรียกรถพยาบาลไหมครับคุณฐา เขาป่วยเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ช่วยเก็บถ้วยรางวัลของเขาให้ที เดี๋ยวผมพาเขาไปเอง”
ฐากูรสอดแขนเข้าที่ข้อพับเข่าของอีกฝ่ายก่อนจะอุ้มขึ้นแนบอก เขารีบพาทยากรลงมายังชั้นล่างโดยมีวายุคอยอำนวยความสะดวกจนกระทั่งมาถึงรถสปอร์ตคันหรู เพียงอึดใจเดียวทยากรก็ได้เข้าไปนั่งอยู่บนเบาะโดยสารเป็นที่เรียบร้อย
“เดี๋ยวผมขับรถตามไปครับ”
“คุณกลับไปรอผมที่บริษัทก็ได้ เตรียมการประชุมตอนเย็นไว้ด้วย เดี๋ยวผมรีบกลับไป”
“ได้ครับคุณฐา”
สั่งงานเสร็จเขาก็รีบเดินอ้อมมาฝั่งคนขับแล้วสตาร์ตรถเพื่อพาทยากรไปโรงพยาบาลในทันที วันนี้เขาต้องขับรถเองเพราะนำรถมาคนละคันกับวายุ เมื่อคืนเขาออกไปสังสรรค์กับเพื่อนมาแล้วไม่ได้เข้าบ้าน แวะเปลี่ยนชุดที่คอนโดเสร็จก็เลยมางานนี้ต่อ จึงไม่ได้ใช้รถตู้ประจำตำแหน่ง
สายตาคมเหลือบมองคนข้างกายเป็นระยะในทุก ๆ ช่วงจังหวะที่รถติด ตอนนี้ฐากูรยังรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่หาย คราวนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าภาพที่เห็นตอนจับมือมันเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยก็จริงมาสองในสามครั้งที่เคยจับมือกัน
แต่ความคาใจกับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้มันก็ยังคงมีอยู่ เขาอยากรู้ว่าตอนนี้หากทยากรไม่มีสติแล้วจับมือกับเขาจะเห็นภาพอะไรอีกไหม
หมับ!
มือใหญ่เอื้อมไปกุมมืออีกฝ่ายพร้อมกับขับรถไปด้วย แต่ไม่ว่าจะกุมเฉย ๆ หรือสอดประสานนิ้วอย่างแนบชิดกว่าเดิมก็ไม่เห็นมีภาพอะไรฉายขึ้นมาในหัวเลยสักนิด คำตอบของสิ่งที่ฐากูรสงสัยคือเขาจะเห็นภาพลางบอกเหตุก็ต่อเมื่อต่างคนต่างมีสติเท่านั้น
‘โคตรแปลก ทำไมถึงมีลางบอกเหตุแค่กับคนนี้วะ แล้วก็บอกแค่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเขาสินะ’
เขาชักมือกลับมาจับพวงมาลัยรถพลางคิดไปต่าง ๆ นานา ใบหน้าหล่อคิ้วขมวดแน่น บ่งบอกว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
เวลาผ่านไปอีกประมาณสิบห้านาทีที่การจราจรบนท้องถนนยังติดขัดเป็นระยะ ดีหน่อยที่ใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว อีกประมาณสิบนาทีทยากรก็คงจะถึงมือหมอ
เมื่อรถเคลื่อนมาถึงไฟแดงรอยูเทิร์นเพื่อเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล ฐากูรก็หันไปมองคนข้างกายอีกครั้งด้วยความเคยชิน แต่ครั้งนี้กลับเห็นทยากรลืมตาขึ้นมามองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ต่างคนต่างตกใจกันและกัน
“ฟื้นแล้วเหรอ คุณโอเคไหม จะถึงโรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวเข้าไปให้หมอตรวจหน่อยนะ”
ทยากรพูดอะไรไม่ออกกับภาพตรงหน้าที่เห็น เขาตกใจที่ภาพมันทับซ้อนกันได้ราวกับจับวาง มุมมองตรงที่เขานั่งมันคือมุมมองเดียวกับภาพที่เห็นตอนจับมือไม่มีผิดเพี้ยน
ในใจลึก ๆ เขาก็เผลอเชื่อไปแล้วว่าเหตุการณ์ในภาพอาจจะเกิดขึ้น แต่พอมันเกิดขึ้นจริงก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ รอบก่อนก็เป็นจริง รอบนี้ก็เป็นจริงอีก
“เอ่อ ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกครับ ผมไม่เป็นไร แค่เป็นลมเอง”
“ก็ให้หมอตรวจดูหน่อยสิ อาจเป็นอะไรเกี่ยวกับความดันหรือเกล็ดเลือดก็ได้นะ”
“ผมเป็นบ่อย ผมรู้ว่ามันไม่เป็นไร”
“เป็นบ่อยยิ่งต้องตรวจหรือเปล่าคุณ”
คนตัวเล็กขยับตัวนั่งพิงเบาะในท่าที่สบายขึ้นมาหน่อย เขาหลุบตามองหน้าตักแวบหนึ่งเพื่อใช้ความคิด ตอนนี้ค่อนข้างกดดันเพราะถ้าพ้นยูเทิร์นตรงนี้ไปก็จะถึงโรงพยาบาลแล้ว เขาไม่อยากเข้าไปให้เสียเวลาเนื่องจากรู้อาการของตัวเองดี ซึ่งถ้าบอกความจริงไป คิดว่าฐากูรก็คงเข้าใจและไม่เร้าหรือเขาอีก
“คือผมจะอ่อนเพลียทุกสามเดือนน่ะ มันเป็นก่อนวันนัดฉีดยาต้านฮีทตลอด”
ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองทยากรก่อนจะพยักหน้ารับรู้ เขาทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อยูเทิร์นรถได้แล้วจึงขับเลยโรงพยาบาลไป
“ปกติไปฉีดยาที่ไหนเหรอครับ?”
“ที่ผ่านมาผมอยู่อังกฤษก็จะฉีดที่โน่น พอมาที่นี่ผมยังไม่ถึงกำหนดฉีดเลย แต่นัดหมอไว้เป็นวันพุธหน้า”
“ไปวันนี้ไหม เดี๋ยวผมพาไป มีโรงพยาบาลที่รับฉีดอยู่แถวนี้นะ ที่นี่โอเมก้ามาใช้บริการเยอะครับ เขาจัดตั้งหน่วยแพทย์ไว้คอยรักษาคนที่มีพันธุกรรมพิเศษด้วย”
“คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ไง ไม่ใช่โอเมก้าที่ต้องคอยฉีดยาบ่อย ๆ สักหน่อย”
“จะอัลฟ่าหรือโอเมก้าก็เป็นคนเหมือนกัน ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมยึดถือความเท่าเทียมของมนุษย์ แล้วผมก็ทำโครงการส่งเสริมเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดเลยมีเครือข่ายกว้างขวางน่ะ รู้หมดแหละครับว่าที่ไหนรองรับเรื่องแบบนี้”
“...”
“ฉีดยาวันนี้เถอะนะครับ คุณจะรอไปจนถึงวันพุธไหวแน่เหรอ ผมว่าการเป็นลมตอนช่วงนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องปกตินะ”
ทยากรเม้มปากแน่น เขาเชื่อแล้วว่าฐากูรรู้เรื่องพวกนี้พอสมควร อย่างน้อยก็คงศึกษาข้อมูลมาไม่น้อยว่า การที่โอเมก้ามีภาวะอ่อนแออย่างที่เขาเป็นก่อนถึงช่วงกำหนดฉีดยาต้านอาการฮีทนั้นมันไม่ปกติ โอเมก้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ซึ่งทยากรก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้เป็นมาตลอด
คุณหมอที่อังกฤษบอกว่าไม่ใช่เรื่องอันตรายอะไรถ้าดูแลสุขภาพให้ดี มันขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคนด้วย คนที่เป็นเหมือนเขาก็มีแต่น้อยมาก ถึงไม่ใช่เรื่องอันตรายแต่ก็ยังไม่นับว่าเป็นเรื่องปกติ
“เอางั้นก็ได้ครับ แต่พาผมไปฉีดยาแบบนี้จะไม่เสียเวลาทำงานของนักธุรกิจชื่อดังอย่างคุณใช่ไหม?”
“เปลี่ยนจากคำพูดเหน็บแนมเป็นคำขอบคุณดีไหมครับ”
พวกเขาหันมาสบตากันทีหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนีไปคนละทาง บรรยากาศบนรถไม่ได้อึดอัดเสียทีเดียว รู้สึกว่าการที่พูดดีสลับพูดจิกกัดกันมันจะกลายเป็นเรื่องปกติในความสัมพันธ์ของพวกเขาไปเสียแล้ว
ระหว่างที่ในรถเงียบสงบอยู่นั้น ต่างคนก็ต่างใช้ความคิดตลอดทาง แม้ความคิดพวกเขาจะสวนทางกันเสมอ แต่มีสองอย่างที่เหมือนกันคือประหลาดใจกับภาพในหัวที่ตรงกับความจริง และพยายามคิดหาทางหลอกถามเรื่องงานจากอีกฝ่ายมาให้ได้มากที่สุดในขณะที่อยู่ด้วยกัน
อย่างหลังนี่เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะหาเรื่องคุย กว่าจะวกเข้าเรื่องงานได้แต่ละทีก็ยากแสนยาก พอคุยเรื่องงานก็เหมือนจะทะเลาะกันให้ได้เสียทุกครั้ง
แต่สำหรับฐากูร ต่อให้วันนี้เขาไม่ได้ข้อมูลเรื่องงานจากอีกฝ่ายก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าทยากรมีอาการแบบนี้ทุกสามเดือน จุดนี้เขาถือว่าเป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายแบบเห็นได้ชัดและอาจคงอยู่ตลอดไป
ฉะนั้นถ้าหากในอนาคตเขาคิดจะทำอะไรแบบที่ทยากรต่อต้านไม่ไหวก็คงจะต้องจัดการในช่วงเวลานี้ถึงจะเหมาะ
ตอนนี้เขาอยากขอบคุณภาพลางบอกเหตุที่เห็นวันนี้ด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้เขาจดจ้องทยากรอยู่ตลอดเวลา ที่ใส่ใจอุ้มพามาที่โรงพยาบาลก็เพราะอยากรู้นั่นแหละว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร ไหน ๆ ภาพที่เห็นก็เปรยมาแบบนั้นแล้วจึงต้องรู้ต้นเหตุให้ได้ถึงจะคุ้มค่า
ซึ่งการได้พาทยากรมาฉีดยาต้านอาการฮีทด้วยตนเองก็ถือว่าไม่เสียเวลาเปล่าด้วย แม้เขาจะต้องรีบทำเวลาเพื่อกลับไปประชุมต่อก็เถอะ ทว่าอย่างน้อยก็ได้ใช้เวลาร่วมกันต่ออีกหน่อย ได้แสดงให้ทยากรเห็นว่าอัลฟ่าอย่างเขาไม่เคยรังเกียจโอเมก้าเลย ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังทยากรก็ตาม
หากเขาทำให้อีกฝ่ายสงบใจเรื่องเหล่านี้ได้ บางทีหลังจากนี้อาจจะสนิทกันขึ้น พอสนิทก็จะไว้ใจ พอไว้ใจก็จะเล่าเรื่องที่ไม่เคยเล่าให้ฟัง หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นฐากูรจะได้ข้อมูลเด็ด ๆ จากบริษัทคู่แข่งอย่างที่เขาตั้งใจ