EP.06 ติดเด็ก

3117 คำ
EP.06 ติดเด็ก หลังจากที่น้ำตาลได้มาเล่นบ้านไทม์เป็นครั้งแรก เจ้าเด็กน้อยเมื่อกลับบ้านก็บ่นถึงแต่พี่ไทม์ไม่หยุดจนคนเป็นแม่ต้องรับฟังด้วยความสงสัย ไม่ว่าลูกชายวัยเจ็ดขวบจะพูดถึงพ่อหนุ่มคนนั้นทีไรก็มักจะมีแต่รอยยิ้ม ราวกับเล่าเรื่องที่ชอบ เล่าเรื่องสนุกก็ไม่ปาน บอกว่าบ้านพี่ไทม์ใหญ่ ตู้เย็นบ้านพี่ไทม์มีของกินเต็มไปหมดไม่เหมือนตู้เย็นที่นี่ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกันคงเทียบไม่ติดเพราะห้องสี่เหลี่ยมภายในอพาร์ทเมนต์แห่งนี้มีแค่แม่กับน้ำตาลอาศัยอยู่กันสองคน ในตู้เย็นจึงไม่ได้มีของสดหรือขนมแช่เอาไว้เผื่อใครมากมายนัก น้ำตาลไปเห็นตู้เย็นที่มีของกินแทบล้นตู้ที่บ้านของไทม์จึงตื่นเต้นเป็นพิเศษ แถมน้ำตาลยังเล่าให้แม่ฟังอีกว่าพี่ไทม์ใจดีมาก ทำอาหารก็อร่อย ทีวีบ้านพี่ไทม์มีหนังให้ดูหลายเรื่อง พ่อแม่พี่ไทม์ก็ใจดีมาก พอได้ยินว่าน้ำตาลอยากได้เต็นท์ไปกางนอนเล่นที่สวนหญ้าหน้าบ้านเหมือนในการ์ตูนที่เพิ่งดู พ่อของไทม์ก็รับปากว่าถ้ามาคราวหน้าจะทำเต็นท์ให้ออกไปเล่นกับไทม์ข้างนอก หลายสิ่งหลายอย่างน้ำตาลไม่เคยมี ไม่เคยได้สัมผัสกับความสะดวกสบายหรือการตามใจจากผู้ใหญ่เท่าไหร่นัก เขาเติบโตมากับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่คอยดูแลมาจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าครอบครัวของน้ำตาลไม่ได้อบอุ่นแต่แรก พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็ก ถ้าถามหาพ่อกับน้ำตาลตอนนี้เด็กน้อยก็คงจำหน้าพ่อไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ และการได้ไปบ้านพี่ไทม์ครั้งแรกทำให้น้ำตาลรู้สึกอบอุ่นอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน อยู่ที่นั่นไม่เหงาเลย ไทม์ดูแลน้องไม่ห่าง พ่อกับแม่ของไทม์ก็ใจดีคอยเล่นกับน้องเหมือนเป็นลูกคนเล็กของบ้าน ทั้งที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก “แม่ครับ น้ำตาลอยากไปหาพี่ไทม์อีก” พอเริ่มติดใจ ความต้องการของเด็กก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้ไปเล่นที่บ้านของไทม์เป็นครั้งที่สอง “ทำไมถึงติดพี่ไทม์นัก พี่เขาทำอะไรน้ำตาลหรือเปล่า ชอบอะไรเขาไหนบอกแม่หน่อย” แล้วการเล่าเรื่องของไทม์ก็ถูกเล่าซ้ำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม คำว่าพี่ไทม์ใจดี พี่ไทม์ทำอาหารอร่อย ทีวีบ้านพี่ไทม์มีหนังสนุก การ์ตูนเยอะ ที่บ้านพี่ไทม์มีของกินไม่อั้น สิ่งเหล่านี้ถูกเล่าออกมาจนนับครั้งไม่ถ้วน “น้ำตาลเหงา ตอนแม่ไปทำงานน้ำตาลไม่มีเพื่อนเล่นเลย” นี่ก็เป็นเรื่องจริงอีกอย่างที่สะท้อนใจคนเป็นแม่ แม่ที่เป็นสาวโรงงานและต้องเข้างานตั้งแต่เช้า กลับบ้านตอนค่ำ แน่นอนว่าน้ำตาลก็ต้องอยู่ที่ห้องเช่าคนเดียวตามลำพัง ใช้เวลาทั้งวันไปกับการวาดรูป ระบายสี เล่นตุ๊กตา กิจกรรมสันทนาการที่มีแต่ตัวเองกับของเล่นอีกนิดหน่อย เล่นคนเดียว หัวเราะคนเดียว คนเป็นแม่ย่อมเข้าใจและเห็นใจ เพราะทุกปิดเทอมน้ำตาลก็บ่นเหงาแบบนี้ทุกครั้ง เมื่อตอนที่ยังเด็กกว่านี้เคยมีญาติมาช่วยเลี้ยงตอนปิดเทอม แต่พอแต่งงานออกเรือนไปก็ไปอยู่บ้านสามีที่ต่างจังหวัด ทำให้ไม่มีคนช่วยเลี้ยงน้ำตาล ญาติในกรุงเทพฯก็ไม่มีเสียด้วยสิ ด้วยความสงสารลูกจึงคิดหาทางออกในทันที “น้ำตาลไปอยู่กับพี่ลูกจันทร์ที่ชะอำก่อนไหม แฟนพี่ลูกจันทร์เป็นเจ้าของรีสอร์ทติดทะเลเลยนะ เราจะได้เล่นน้ำด้วยไง” “พาพี่ไทม์ไปด้วยได้ไหมล่ะครับ” “พี่ไทม์ไม่ได้ไปกับเราหรอกลูก แต่เมื่อก่อนพี่ลูกจันทร์ก็เลี้ยงน้ำตาลมานะ น้ำตาลเล่นกับพี่ลูกจันทร์ได้ คงไม่เบื่อหรอก” “ไม่มีพี่ไทม์ก็ไม่สนุกแล้วแม่” แม่ถอนหายใจพลางดึงน้ำตาลมานั่งตักแล้วกอดลูกชายตัวเล็กไว้หลวม ๆ “น้ำตาล เรากับพี่ไทม์น่ะแม่ว่าอย่าเพิ่งสนิทกับเขามากกว่านี้ดีไหมลูก ที่จริงเขาไม่ใช่ญาติพี่น้องกันด้วยซ้ำ เขาดีกับน้ำตาลตอนนี้ก็ใช่ว่าต่อไปเขาจะดีแบบนี้ แม่ไม่ได้ห้ามให้เล่นด้วยกัน แต่ถ้าจะสนิทกันไปมากกว่านี้แม่ก็ไม่กล้าไว้ใจ” “ครับ แต่พี่ไทม์เป็นคนดี ถ้าแม่ไม่ให้น้ำตาลไปหาพี่ไทม์ งั้นให้พี่ไทม์มาหาน้ำตาลที่นี่แทนได้ไหม ไม่ต้องทุกวันก็ได้” ถามว่าเข้าใจลูกแค่ไหน แน่นอนว่าย่อมเข้าใจพอสมควร น้ำตาลโตมาจนอายุเจ็ดขวบน้องไม่มีพี่ที่สนิทหรือเพื่อนสนิทมากพอที่จะชวนกันเล่นนอกเวลาได้ อยู่โรงเรียนมักจะโดนแกล้งบ่อยด้วยซ้ำ พอมีพี่ชายใจดีมาเล่นด้วยน้ำตาลเลยติดใจอยากจะเล่นแต่กับไทม์ แล้วไทม์ในสายตาแม่ก็เป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้เห็นความเอ็นดูน้องน้ำตาลจากสายตาของไทม์ก็จริง แต่ถ้าถามว่าควรสนิทกันขนาดนี้ทั้งที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องกันไหม ก็คงไม่ ทว่าแม่ก็พอจะรู้ชื่อเสียงเรียงนาม รู้ที่อยู่อาศัย มีรูปบัตรประชาชนของไทม์แล้วด้วย หากเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมากับน้ำตาล คนที่จะถูกสงสัยเป็นคนแรกก็ไม่พ้นไทม์ สองคนนี้จะสามารถสนิทกันได้มากกว่านี้อีกไหม คนเป็นแม่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะตัดสินใจในความสัมพันธ์นี้เช่นกัน เพราะน้ำตาลยังเด็กมาก หากรู้สึกว่าไทม์คิดไม่ดีกับน้องเมื่อไหร่แม่ก็พร้อมจะเป็นคนตัดไทม์ออกไปจากชีวิตของน้ำตาลโดยไม่ต้องหาเหตุผลมาต่อรองเลย 。◕‿◕。 ภายในห้องนอนที่สะอาดสะอ้าน ไทม์ยังคงง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค ที่เหลือสอบอีกสามวิชาก็จะปิดเทอมหนึ่งแล้ว ร่างสูงเอนหลังพิงเก้าอี้ ปิดเปลือกตาลงด้วยความอ่อนล้า ไทม์โหมอ่านหนังสือและพยายามลองเขียนอธิบายในหัวข้อต่าง ๆ ที่อาจารย์เปรยมาว่าหัวข้อนี้จะออกสอบ แค่ลองทำความเข้าใจและเขียนอธิบายดูก็กินเวลาตั้งแต่บ่ายสามจนเกือบสองทุ่ม อ่า ใกล้สองทุ่มแล้ว อีกสองนาที... ไทม์เดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าให้สดชื่น เขาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดหน้าพลางยืนจ้องโทรศัพท์มือถือไปด้วย และแล้วแสงไฟหน้าจอก็สว่างขึ้นพร้อมกับชื่อคนโทรมาตรงกับคนที่ไทม์กำลังรออยู่ ...SUGAR… ตรงเวลาแทบทุกวัน เวลาประมาณสองทุ่มน้ำตาลจะโทรมาหาไทม์ เมื่อไทม์เห็นแล้วไทม์จะตัดสายน้องแล้วโทรกลับทันทีเพื่อไม่ให้แม่น้องเปลืองเงินค่าโทรศัพท์ [ฮาโยวววว พี่ไทม์ทำอะไรอยู่ค้าบบบ] ปลายสายพูดจาเจื้อยแจ้วน่ารักจนไทม์อดยิ้มตามไม่ได้ เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วกดเปิดสปีกเกอร์โฟน เร่งเสียงให้ดังจนสุดเพื่อให้เสียงใสกึกก้องภายในห้องนอนของเขา ไทม์จะได้ได้ยินเสียงน้องชัด ๆ “พักอ่านหนังสือครับ แล้วหนูทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง” [หนูกินแล้ว แม่ทำไข่ตุ๋นให้กิน นี่น้ำตาลเพิ่งเช็ดผมเสร็จครับ] “อาบน้ำแล้วสิเรา ตัวหอมไหมน้า” [อาบแล้ว ตัวหอมฉุยเลย] แค่เริ่มต้นคุยกันได้ไม่กี่ประโยคกลับทำให้ไทม์ยิ้มปนหัวเราะออกมาเป็นระลอก ต่อให้เครียดกับการอ่านหนังสือสอบขนาดไหน แค่ได้คุยกับเจ้าตัวเล็กความเครียดที่สะสมมาทั้งวันก็มลายหายไปจนหมด พวกเขาคุยกันต่ออีกสักพัก ครั้งนี้น้ำตาลมีเรื่องมาปรึกษาพี่ไทม์ด้วยหลังจากแม่คล้อยหลังเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว เพราะน้องจำได้ว่าพี่ไทม์เคยคุยกับไทม์เรื่องหวงกับห่วง ไทม์บอกว่าหวงน่ะส่วนมาใช้ได้กับแฟน จึงสงสัยว่าถ้าหวงกับพี่ได้ไหม ยกตัวอย่างเช่นน้ำตาลหวงไทม์ หรือไทม์หวงน้ำตาล ไทม์จึงอธิบายไปว่าความรู้สึกห่วงหรือหวงมันต้องมีเหตุผล อย่างเช่นตอนนี้น้องไม่จำเป็นต้องมาหวงอะไรไทม์เลย ตามวัยแล้วน่าจะหวงของเล่นเสียมากกว่า แต่น้องก็ยืนยันหนักแน่นว่าหวงพี่ไทม์กว่าของเล่น สุดท้ายคนพี่ก็อ่อนข้อให้น้อง เอ่ยปากอนุญาตให้น้องหวงตัวเองได้เสียอย่างนั้น ส่วนอีกเรื่องที่น้องมาปรึกษาไทม์ก็คือแม่จะส่งน้ำตาลไปอยู่กับพี่ลูกจันทร์ในช่วงปิดเทอม พี่ลูกจันทร์ก็คือลูกพี่ลูกน้องของแม่น้ำตาล เป็นพี่เลี้ยงของน้ำตาลมาตั้งแต่เล็ก แต่พอแต่งงานก็ไม่ได้เจอกันเลย น่าจะสามปีผ่านมาได้แล้ว น้ำตาลบอกไทม์ว่าไม่อยากไปอยู่กับพี่ลูกจันทร์ อยากอยู่กับพี่ไทม์แต่แม่ไม่ยอมให้มาอยู่ที่นี่ แม่เกรงใจด้วย แล้วเราก็ไม่ใช่ญาติพี่น้องกัน น้องก็บอกพี่ตามตรงอย่างที่แม่บอก เด็กน้อยติดงอแงอ้อนพี่ไทม์อยากให้พี่ไทม์ลองขอแม่ให้หน่อย แต่ไทม์โตกว่าย่อมเข้าใจสิ่งที่แม่คิดได้ดีกว่าน้อง เขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมน้ำตาลที่กำลังดื้อให้สงบลงด้วยคำพูดไม่กี่คำ “หนูไม่อยากไปทะเลเหรอ พี่อยากไปนะ บรรยากาศคงดีมากเลย ได้เล่นน้ำด้วย” [ก็ที่นั่นไม่มีพี่ไทม์ หนูไม่อยากไป อยากเล่นกับพี่ไทม์อยู่ที่นี่] “หนูอย่าดื้อน้า พี่อยากให้หนูได้ไปเที่ยว อยู่แต่ในห้องมันอุดอู้ด้วยแล้วหนูก็จะเหงา อีกอย่างพี่สอบเสร็จก็อาทิตย์หน้าเลย ช่วงนี้เราก็ไม่ได้เจอกันอยู่ดีนี่ครับ” [พี่ไทม์ไล่หนูไปอยู่กับพี่ลูกจันทร์ พี่ไทม์ไม่อยากเจอหนูใช่ไหม] น้ำตาลเริ่มทำเสียงหงอย ทั้งอ้อนทั้งงอแงไปพร้อมกัน เหมือนรู้ว่าการอ้อนพี่ไทม์จะทำให้ได้สิ่งที่ต้องการเสมอ น้ำตาลเองก็ไม่เคยมีใครให้อ้อนนอกจากแม่ พอเจอไทม์ที่ตามใจเด็กเก่งก็เหมือนน้ำตาลจะได้ที “เดี๋ยวพี่ไปหาหนูที่ชะอำตอนสอบเสร็จดีไหม พาพ่อแม่พี่ไปพักผ่อนด้วย” [พูดจริงนะ อย่าหลอกหนูนะ พี่ไทม์โกหกน้ำตาลจะโกรธพี่ไทม์มาก ๆ เลยนะ] “ไม่ได้โกหกสักหน่อย แล้วหนูจะไปวันไหนครับ” [วันอาทิตย์นี้ครับ แม่หยุด เดี๋ยวแม่ไปส่ง] การพูดคุยกันเริ่มดีขึ้นเพราะน้ำตาลอารมณ์ดีมากเมื่อรู้ว่าพี่ไทม์จะตามไปชะอำด้วย ภาพในหัวน้องได้จินตนาการเอาไว้แล้วว่าจะเล่นทรายกับไทม์ที่ริมชายหาด ก่อประสาททรายด้วยกันเหมือนในการ์ตูน ทั้งที่น้ำตาลก็ไม่เคยไปทะเลมาก่อนเหมือนกัน ภาพในหัวคือภาพจำหลังจากได้ดูหนังหรือกาตูนที่มีฉากริมทะเล ที่จริงเหตุผลหนึ่งที่น้ำตาลไม่อยากไปครั้งนี้เพราะเขากลัว น้องไม่เคยไป รู้แค่ทะเลมันเป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่มาก มองไปสุดลูกหูลูกตา มีเพื่อนในห้องเคยไปแล้วมาเล่าให้ฟังก็เลยจำมา ดีหน่อยที่ไปอยู่กับพี่ลูกจันทร์ที่ถือว่าสนิทกันระดับหนึ่งคงดูแลน้องได้ความกลัวเลยลดน้อยลง แต่น้ำตาลก็ยังเป็นกังวลอยู่ดีเพราะในหนังที่เคยดูมันมีปลาฉลามอยู่ในทะเล ต่อให้เป็นฉลามก็ฉลามเถอะ มีพี่ไทม์ซะอย่าง พี่ไทม์เก่งที่สุด ปกป้องเขาได้แน่นอน น้ำตาลคิดแบบนี้ก็อุ่นใจขึ้นมาทันที เวลาผ่านไปนับยี่สิบนาที ได้เวลาส่งเด็กน้อยเข้านอนแล้ว ในแต่ละวันเขาจะคุยกันประมาณนี้ให้พอหายคิดถึง ไทม์พลิกตัวนอนคว่ำ คว้าโทรศัพท์มือถือมาปิดสปีกเกอร์โฟนแล้วนำมาแนบกับหูไว้ราวกับตั้งอกตั้งใจจะบอกฝันดีเด็ก หรือไม่ก็คงอยากได้ยินปลายสายบอกฝันดีเขาชัด ๆ “ว่างก็โทรมาได้นะ ตอนไหนก็ได้ เดี๋ยวพี่จะรีบโทรกลับ” [คงเวลาเดิมแหละครับ แม่ให้คุยแค่ตอนนี้] “งั้นหนูขึ้นไปนอนบนเตียงหรือยัง?” [นอนบนเตียงแล้วครับ ห่มผ้าเรียบร้อย] “ฝันดีนะครับเด็กดี” [ฝันดีนะพี่ไทม์] “อย่าลืมบอกฝันดีแม่ แล้วหอมแก้มแม่ด้วยนะครับ” [ได้เลยยยยยยย บ๊ายบายค้าบบบ] ปลายสายตัดไปหลังร่ำลากันเสร็จ แต่ไทม์ยังคงอมยิ้มอยู่เช่นเดิม ก่อนนึกอะไรบางอย่างได้จึงรีบเดินออกมาจากห้องนอน เดินตามเสียงทีวีมาจนถึงห้องรับแขกของบ้านที่มีพ่อกับแม่นั่งดื่มชากันอยู่บนโซฟา “ไง ยิ้มหวานมาเลย คุยกับน้ำตาลมาเหรอ” “พอเห็นเราชอบเด็กแม่ก็อดนึกถึงตอนที่ไทม์เลี้ยงเจ้าทอร์ชไม่ได้ ถึงขั้นถกเสื้อแอ่นอกให้ทอร์ชดูด แม่ล่ะขำ” พอพูดถึงเรื่องนี้ก็พาเสียงหัวเราะมาให้ทุกคน นึกย้อนไปก็กลายเป็นเรื่องตลกและยังคงเป็นเรื่องเล่าได้อีกหลายปี คนเป็นพ่อและแม่รู้จักลูกชายคนนี้ดีกว่าใคร ไทม์เป็นคนที่ชอบเด็กมาก ชอบดูแลใครก็ตามที่เด็กกว่า โดยเฉพาะหลานชายสุดที่รักของไทม์ที่ไทม์เป็นฝ่ายติดน้องจนถึงขั้นมาขอให้แม่ย้ายโรงเรียนไปอยู่ลำปาง เพื่อที่จะได้เรียนกับหลาน อยากดูแลหลาน ทว่าตอนนี้ทอร์ชเติบโตขึ้นมากแล้ว ไทม์เองก็ไม่ได้เจอเด็กที่ไหนน่ารักเท่าหลานตัวเองเลยจนมาเจอน้ำตาลนี่แหละ ความรู้สึกเอ็นดูมีท่วมท้นจนไทม์เองก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ว่าเอ็นดูน้ำตาลขนาดนี้ได้ยังไงกัน “พ่อ แม่ หลังสอบเสร็จเราไปเที่ยวทะเลกันเถอะ ไทม์อยากไป” “ปีก่อนพ่อชวนไปเห็นบ่นว่าไม่ชอบลมทะเล มันเหนียวตัว อยากขึ้นเหนือไปรับอากาศเย็น ๆ ปีนี้ทำไมถึงอยากไป?” “ไปหาน้ำตาล แม่เอาน้องไปฝากญาติไว้ ญาติน้องเป็นเจ้าของรีสอร์ทที่ชะอำ” “อ่า ได้ ๆ ไทม์ก็ดูเรื่องที่พักไว้แล้วกัน ไม่พักรีสอร์ทเขานะพ่อเกรงใจ” “โอเค ไว้เดี๋ยวไทม์มาบอกนะว่าเราจะไปวันไหนดี” “ไปสนิทกับลูกเขามาก แม่เขาจะไม่ว่าเราเหรอ ดูแม่น้ำตาลก็ดุเหมือนกันนะ เขาจะเข้าใจไทม์ไหมว่าไทม์ชอบเด็ก ไม่ได้ว่าคิดไม่ดีกับน้อง” ไทม์ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาพลางนึกหาคำตอบที่แม่ถามไปด้วย เอาเข้าจริง ๆ ไทม์ก็รู้สึกได้ว่าแม่ของน้องไม่ได้ไว้ใจเขามากนัก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว เขาคนนอก เพิ่งรู้จักน้ำตาลได้ไม่เท่าไหร่เอง ลูกชายอายุแค่เจ็ดขวบแม่ที่ไหนก็ต้องห่วงเป็นธรรมดาไทม์เข้าใจดี “ไทม์รู้ลิมิตน่ะแม่ เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน เดี๋ยวน้ำตาลขึ้นมัธยมก็ไม่สนใจไทม์แล้ว ดูทอร์ชดิ ไทม์เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กพอโตขึ้นแค่ขอหอมแก้มยังให้ไทม์ไม่ได้” “ก็ทอร์ชโตแล้ว แล้วนี่เคยไปหอมแก้มน้ำตาลแล้วหรือไง?” เคยสิ น้ำตาลก็เคยหอมแก้มไทม์เหมือนกัน แต่ทำไมนะปากเจ้ากรรมถึงไม่กล้าตอบความจริงให้พ่อแม่รู้ “หึ ไทม์ไม่เคยหอมหรอก” “ดีแล้ว เอ็นดูน้องได้แต่อย่าเกินเหตุ ลูกเขามีพ่อมีแม่” “รู้แล้วน่า งั้นไทม์ไปอ่านหนังสือต่อนะ” “เดี๋ยวก่อนนอนแม่อุ่นนมไปให้” “ครับ” ไทม์รีบเดินกลับเข้าห้องนอนเหมือนคนเหม่อลอย ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หนังตรงข้ามกับโต๊ะหนังสือพร้อมกับกำลังค้นหาคำตอบของคำถามหนึ่งในใจ ‘นี่เราเคยหอมแก้มน้ำตาลมากี่ครั้งแล้ว แล้วหอมทำไมนัก?’ คำตอบว่าหอมแก้มน้องทำไมน่ะง่ายมาก เพราะน้ำตาลน่ารักและไทม์เอ็นดูน้องมาก บางทีมันเขี้ยวก็หอม แต่ถ้าถามว่าหอมแก้มน้ำตาลไปกี่ครั้งแล้วไทม์กลับนับไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนไม่ได้หอมบ่อยแต่กลับคำนวณออกมาไม่ได้ แม้ภาพในหัวพอจำได้บ้างว่าตอนหอมแก้มน้องมันรู้สึกยังไง แก้มกลมนั่นนุ่มนิ่มแค่ไหน พอหอมเสร็จแล้วน้องหันมายิ้มหวานให้แบบไหน ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก “เชี่ย ใจเต้นแรงทำไมวะตัวกู” อาการใจเต้นแรงนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไทม์หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าเพราะอะไร จำได้ว่าเคยใจเต้นต่อหน้าน้ำตาลสองครั้ง ในตอนที่น้ำตาลพูดจาน่ารักบอกว่าคิดถึงไทม์ แล้วก็ตอนที่พาไปกินโจ๊กแล้วน้ำตาลบอกว่าอยากเป็นเมีย ตอนนั้นก็แอบใจเต้นแรงอยู่เหมือนกัน ซึ่งมันยังมีอีกหลายครั้งที่แอบกลับมาคิดถึงเรื่องน้องแล้วเผลอใจเต้นแรงอย่างเช่นตอนนี้ ตกลงว่าไทม์แค่ชอบเด็ก อ่อนโยนต่อเด็กทั่วไป หรือไทม์ชอบน้องกันแน่ คำถามนี้คงต้องหาคำตอบต่อไป ที่แน่ ๆ มันคือความรู้สึกดี ๆ ที่ไทม์มอบให้น้อง มันคือความเอ็นดูจากใจจริง น้ำตาลเองก็เป็นเด็กที่น่ารักมาก นุ่มนิ่ม เป็นเด็กดีพอที่จะให้ใครต่อใครหลงใหลได้ง่าย นี่ไทม์แทบจะตั้งหน้าตั้งตานับวันรอที่จะไปเจอน้องที่ทะเลเลยก็ว่าได้ อยากเห็นว่าเด็กคนนั้นจะมีแรงวิ่งเล่นซนริมชายหาดได้มากแค่ไหน ตอนเล่นน้ำทะเลจะเผลอกลืนแล้วบ่นว่าน้ำเค็มปี๋เหมือนไทม์ตอนเด็ก ๆ ไหมนะ แล้ว...รอยยิ้มน้องกับดวงอาทิตย์อะไรจะสดใสกว่ากัน ไทม์อยากพิสูจน์แล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม