‘คุณจารุพงษ์เพิ่งเข้ามาตอนบ่ายค่ะ แล้วก็กำลังจะออกไปทานข้าวเพราะยังไม่ได้ทาน อารยาไม่กล้าขัดน่ะค่ะ นภาเองก็หาทางถ่วงเวลา พาน้องที่มารอสัมภาษณ์ไปทานข้าวก่อน เพราะฝ่ายบุคคลส่งมารอตั้งแต่สิบเอ็ดโมง บ่ายแล้วก็ยังไม่ได้สัมภาษณ์สักที นภาจนใจจริงๆ ค่ะ’
รถคันโตแบบขับเคลื่อนสี่ล้อของเพชรหยุดลงหน้ารีสอร์ตในตำแหน่งของตัวเองอย่างแรง รู้ว่ากำลังถูกจารุพงษ์เล่นแง่ ด้วยความที่เป็นไม้เบื่อ
ไม้เมากันมาตั้งแต่กลับมาช่วยผู้เป็นป้าบริหารงานเต็มตัว เพราะเหมือนไปดับฝันจารุพงษ์เข้า อีกฝ่ายจึงมักจะคอยขัดเขาทุกเรื่อง ครั้งนี้ก็คงอีกเช่นกัน
ความจริงเพชรไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานของจารุพงษ์ แต่ด้วยญาติสาวขอร้องมา เขาเองก็ขอกับทางผู้เป็นป้าไปแล้วว่าวาสิฐีฝากฝังเพื่อนมา ป้าเขาก็อนุญาตอย่างไม่มีปัญหา
ร่างสูงก้าวอย่างรวดเร็วผ่านตึกหลักไปจนถึงอาคารของผู้บริหาร แล้วก็พุ่งผ่านประตูโดยมีนภามายืนรอรับหน้าอยู่
“คุณพงษ์ออกไปหรือยังครับ”
“ยังค่ะ นภาหาเอกสารด่วนให้อารยาเอาเข้าไปให้เซ็นก่อนน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรมากกว่านั้น ประตูห้องก็เปิดออก เพชรหันหน้าไปมองก็เห็นร่างสูงที่เตี้ยกว่าตนเองประมาณหนึ่งคืบของจารุพงษ์ออกมา ใบหน้าหล่อเข้มด้วยผิวสีแทนชะงักเมื่อเห็นเขาก่อนจะยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างถือดี พร้อมพาร่างกำยำล่ำสันเดินมาหา แต่แล้วก็ผ่านเลยไปที่ประตูทางออกจนเพชรต้องหยุดเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อน”
เสียงเข้มทำให้อารยาที่ตามเจ้านายของตนออกมาด้วยใบหน้าจ๋อยสะดุ้งนิดๆ ทว่าคนถูกเรียกกลับเฉยไม่หยุดเท้าด้วยซ้ำ
เพชรพยายามระงับอารมณ์จากการถูกกวนให้ขุ่นขณะพูดกับอีกฝ่าย
“ถ้าคุณจะออกไปข้างนอก ผมคิดว่าคุณควรจะทำงานในหน้าที่ของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนนะคุณจารุพงษ์”
คนที่ถูกเอ่ยชื่อหยุดกึก หันกลับมายกยิ้มมุมปากให้กับเพชรอย่างหยันๆ
“หน้าที่ผมเหรอ แน่ใจเหรอครับท่านรอง เพราะผมจำได้ว่าคนที่สั่งให้รับพนักงานต้อนรับคนใหม่คือท่านรอง ไม่ใช่ผม...”
จารุพงษ์เดินกลับเข้ามาใกล้เพชรก่อนจะพูดต่อ
“ใครรับ คนนั้นก็สัมภาษณ์สิ”
“คุณเป็นผู้จัดการฝ่าย”
“พูดแบบนี้เท่ากับท่านรองก็รู้ดีนี่ แล้วทำไมถึงก้าวก่ายหน้าที่คนอื่นไม่ทราบ”
คนที่ตั้งใจจะก่อกวนสวนขึ้นมาทันควันทำเอาดวงตาคู่คมของเพชรลุกวาบ ปกติเขามักไม่เปิดช่องว่างให้จารุพงษ์เล่นงานได้ เป็นครั้งแรกที่โดนอีกฝ่ายฉีกหน้า ชายหนุ่มขบกรามแน่น ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นว่ายั่วให้เขาขุ่นเคืองได้สำเร็จ
“คุณจารุพงษ์ อย่าโยกโย้ให้มันมากนัก กลับเข้าไปในห้องของคุณซะ คุณอารยา เรียกตัวคนที่คุณจารุพงษ์ต้องสัมภาษณ์ตามเข้าไป”
เพชรไม่อยากต่อปากต่อคำให้มากความ ขณะที่อารยากำลังจะเอ่ยปากบอกบางอย่าง จารุพงษ์ก็สวนขึ้นเสียงดัง
“ขอโทษครับท่านรอง ผมหิว ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยง ถ้าใครอยากจะสัมภาษณ์ก็คงต้องรอไปก่อน”
“เขามารอคุณนานแล้ว ถ้าคุณหัดมาทำงานให้ตรงเวลา ก็สามารถออกไปทานข้าวได้ตรงเวลา แต่นี่คุณมาช้า เพราะฉะนั้นคุณต้องสัมภาษณ์ก่อน”
ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าสั่งอย่างเด็ดขาด ทำให้จารุพงษ์ฉุนเฉียวขึ้นหลังจากตั้งใจหาเรื่องจนกลายเป็นต้องมานั่งรับคำสั่งจากอีกฝ่าย
“ผมคนนะครับ คนมันหิว จะห้ามไม่ให้ไปกินข้าว มันจะไม่ใช้อำนาจในทางที่ผิดไปหน่อยเหรอท่านรอง คิดว่าตัวเองใหญ่จะยัดเด็กเส้นก๋วยจั๊บคนไหนเข้ามาก็ได้หรือไง ถ้าคิดแบบนี้ ผมก็คงไม่ต้องสัมภาษณ์แล้วล่ะคร้าบ ท่านรองสั่งคำเดียว คนของท่านก็ไปยืนเชิดหน้าอยู่หน้าฟรอนท์ได้วันนี้พรุ่งนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ...”
ครืดดด
เสียงเปิดประตูกระจกขัดขึ้นในช่วงที่อารมณ์ของชายหนุ่มสองคนกำลังพุ่งสูงขึ้น และก็สามารถดึงสายตาทุกคู่ให้หันไปมองได้เช่นกัน
คนเข้ามาใหม่ปิดประตูอย่างเบามือแล้วหันมาเผชิญหน้าจึงเห็นว่าทุกคนต่างมองเธอกันเป็นตาเดียว ระหว่างที่เธอขอตัวไปเข้าห้องน้ำคนที่จะสัมภาษณ์เธอคงมาแล้ว
ศศิทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกจ้องแต่แล้วดวงตาคู่สวยก็โตขึ้นเล็กน้อย เมื่อใบหน้าคมขาวที่มีไรเคราจางๆ ของชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นใบหน้าที่เธอเคยพบเจอมาก่อน
‘ใช่เขาจริงๆ ด้วย’
เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนเธอรู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลาผู้ชายที่เดินผ่านตรงหน้าฟรอนท์ และชื่อที่เขาเรียกขณะคุยโทรศัพท์ก็ทำให้เธอหันมองตาม ทว่าชายหนุ่มห่างออกไปประมาณหนึ่งจึงเห็นหน้าไม่ชัด
วาสิฐีฝากฝังเธอกับคนที่นี่ ซึ่งศศิเข้าใจว่าเป็นคุณนภาเพราะเธอเคยคุยโทรศัพท์ด้วย แต่ทำไมเพื่อนรุ่นน้องของเธอถึงโทรหาผู้ชายคนนี้?
“เอ่อ นี่...น้องศศิ คนที่รอสัมภาษณ์กับคุณจารุพงษ์น่ะค่ะ”
นภาเป็นคนเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมา อารยารีบเดินมาจับมือของศศิแล้วพาเข้าไปใกล้สองหนุ่มในระยะที่เหมาะสมแล้วเอ่ยแนะนำกับ
หญิงสาว
“คุณเพชร...เป็นรองประธานกรรมการของที่นี่จ้ะ ส่วนท่านนี้คือคุณจารุพงษ์ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการจ้ะ”
ศศิยกมือไหว้ทั้งสองคนตามลำดับที่อารยาบอก ขณะสบสายตาคู่คมของหนุ่มใบหน้าขาวคมเธอรู้สึกภายในใจวูบโหวง ทั้งที่เขาไม่มีท่าทางใดแสดงออกว่ารู้จักเธอมาก่อน แต่เมื่อสบกับแววตาวาววามของผู้ชายอีกคนกลับรู้สึกขนท้ายทอยลุก เพราะเขามองเหมือนกับผู้ชายหลายคนที่เธอพบเจอมา แม้จะหวั่นใจแต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด คิดดังนั้นหญิงสาวจึงยิ้มน้อยๆ อย่างมีมารยาทให้กับทั้งสองหนุ่ม
จารุพงษ์ยิ้มกว้างตอบเจ้าของใบหน้าสวยจับใจในทันที ความคิดอยากหาเรื่องขัดคนที่เขาหมั่นไส้หมดลงเมื่อเห็นว่าผู้ถูกส่งมาน่าพิสมัยกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ชายหนุ่มรีบผายมือเชิญหญิงสาวอย่างกระตือรือร้น
“มาสัมภาษณ์ งั้นเชิญทางนี้เลยครับ ผมกำลังรออยู่พอดี เชิญเลยเชิญ”
นภากับอารยาแอบเหลือบมองหน้ากันอย่างรู้ทัน ส่วนเพชรยกมุมปากหยันอีกฝ่าย ทว่าจารุพงษ์ไม่สนใจใครนอกจากสาวสวยถูกใจคนเดียว
ศศิมองคนที่ทำหน้าระรื่นอย่างหนักใจ แต่ก็ยอมก้าวตามเมื่อนภากับอารยาพยักหน้าให้ โดยอารยาผายมือให้เธอเดินตามเจ้านายของตนเข้าไปในห้อง
ดวงตาคู่คมมองตามประตูที่ปิดลงด้วยสายตาที่ไม่มีใครอ่านออก ก่อนเจ้าตัวจะหันกลับมาบอกกับเลขาของผู้เป็นป้า
“ถ้าเขาสัมภาษณ์กันเสร็จแล้ว ก็ฝากคุณนภาช่วยดูแลอีกทีนะครับ ผมขอตัวก่อน ยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยงเหมือนกัน”
เสียงเข้มนั้นดูราบเรียบ ก่อนจะเหลือบไปยังประตูห้องของจารุพงษ์อีกครั้ง เมื่อเห็นอารยาก้าวออกมายิ้มอย่างโล่งอกให้นภาแล้วร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวเดินออกประตูไปเหมือนไม่ใส่ใจอะไรอีก โดยไม่มีใครรู้ว่า การที่
จารุพงษ์ยอมสัมภาษณ์คนที่เขาส่งไปง่ายๆ ทันทีที่เจอหน้าทำให้ชายหนุ่มกลับหนักใจขึ้นมาเสียมากกว่า
การสัมภาษณ์งานค่อนข้างอึดอัดสำหรับศศิเพราะสายตาแสดงออกชัดเจนของผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการ แถมยังใช้เวลาไม่นาน
อีกฝ่ายก็เริ่มออกนอกเรื่อง
“เอ้อ นี่ก็เกือบจะบ่ายสองแล้ว ผมหิวมากเลย ความจริงกำลังจะออกไปกินกลางวันพอดี”
“เอ่อ ขอโทษค่ะ”
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ผมไม่ได้จะบอกว่าเป็นเพราะคุณเลยนะครับ จริงๆ แล้วผมตั้งใจจะถามว่า คุณหิวหรือเปล่า เห็นคุณนภาบอกว่ามารอสักพักแล้ว”
“คือว่า...”
“ต้องขอโทษจริงๆ ก็อย่างที่บอกตอนแรกล่ะครับ ผมไม่รู้ว่าฝ่ายบุคคลจะส่งตัวคุณมาให้สัมภาษณ์”
ชายหนุ่มรีบย้ำขึ้นมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด โดยที่ศศิยังไม่ทันได้อธิบายจนจบประโยคด้วยซ้ำ
“แต่ก็นั่นแหละนะ คำสั่งท่านรองทั้งคน”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้วก็หยุดมองหน้าเธอ แววตาราวสงสัยชั่วแวบก่อนจะเลือนหายไป ตาคมกลับมาแพรวพราวเช่นเดิม
“ว่าไงครับ”
“คะ?”
ศศิพยายามจะไล่ตามคำพูดของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ทันอยู่ดี
“ก็เรื่องข้าวกลางวันไงครับ คุณน่าจะหิวแล้วเหมือนกัน งั้นผมว่าเราไป...”
“เอ่อ พอดีว่าคุณนภากับคุณอารยาพาดิฉันไปทานช่วงพักกลางวันแล้วน่ะค่ะ”
“อ้าว...งั้นเหรอครับ”
ใบหน้าชายหนุ่มดูอึ้งไปชั่วขณะ แต่เขาก็ปรับสีหน้าได้เร็วพยักหน้าเหมือนเห็นดีด้วย ราวไม่ต้องการให้เสียมาดของผู้บริหารต่อหน้าพนักงานใหม่
“งั้นก็ดีแล้ว”
หญิงสาวมองคนที่กำลังจะเป็นเจ้านายของตนอย่างรอคอยว่าเขาจะสอบถามอะไรหรือบอกอะไรเธอเพิ่มเติม แต่เขากลับเงียบแล้วจ้องมองมาด้วยสายตาชื่นชมอย่างเดียว กระทั่งเธอไม่รู้จะวางหน้านิ่งต่อไปอย่างไรจึงถามออกไป
“ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะถามเพิ่ม หรือว่า...อยากทราบเรื่องความสามารถที่ดิฉันทำได้นอกเหนือจากนี้อีกไหมคะ ดิฉันยินดีตอบนะคะ ถ้าหากคุณสงสัย”
เธอพยายามเลือกคำที่ดูไม่เสียมารยาทและดูสุภาพมากกว่าเร่งรัดให้จบบทสนทนา ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้สึกว่าเธอไม่ต้องการสัมภาษณ์ต่ออีกแล้ว
“อ๋อ...ไม่มีแล้วล่ะครับ”
“ค่ะ”
เขาตอบออกมาดื้อๆ แล้วยิ้มมุมปากทำให้เธอได้แต่ตอบรับ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีกทำเอาคนเกรงใจจำต้องถามออกไป
“ถ้าอย่างนั้น...ก็...สัมภาษณ์เสร็จแล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ”
อีกฝ่ายรับคำราวไม่ใส่ใจ ดูจะเอ่ยไปอย่างนั้นเอง เพราะเขาเอาแต่มองเธอด้วยสายตาพึงพอใจไม่ยอมคลาด คนทำตัวไม่ถูกยิ่งวางสีหน้าลำบากเข้าไปอีก ชายหนุ่มเองก็คงมองออก ท่าทางของเขาจึงเหมือนรู้ว่าตนเองเผลอแสดงอาการสนอกสนใจเธออย่างออกนอกหน้า จนต้องกระแอมแก้เก้อ
“เอ้อ...คือผมเองก็กำลังจะบอกว่าการสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้วครับ เอาเป็นว่าเรา เอ้ย...เดี๋ยวผมจะเรียกคุณอารยาพาคุณไปพบฝ่ายบุคคลก็แล้วกันนะครับ อ้อ แล้วก็เริ่มงานได้ทันทีตามที่เขียนในใบสมัครใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้นะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะที่รับดิฉันเข้าทำงาน”
ศศิยกมือไหว้พร้อมเอ่ย
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับ”
รอยยิ้มที่ส่งมาให้นั้นหญิงสาวอดยอมรับไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์มาก แม้จะเทียบกับอีกหนึ่งหนุ่มที่เธอพบข้างนอกแล้ว เจ้านายโดยตรงของเธอด้อยว่าตรงสีผิวกับความหล่อล้ำเลิศหาตัวจับยาก ทว่ายิ้มพราวกับนัยน์ตาชวนฝันหยาดเยิ้มส่งให้จารุพงษ์ดูเป็นมิตร ซ้ำยังชวนให้
ขัดเขินกว่าแววตาคมปลาบราวกับดุตลอดเวลาของชายหนุ่มคนนั้น
แต่นั่นไม่ได้มีผลกระทบต่อความรู้สึกของศศิแต่อย่างใด เธอตอบขอบคุณอีกครั้ง ก่อนร่างอรชรจะลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังเดินไปเปิดประตูก้าวออกไป
สายตาคู่คมวาววามมองตามอย่างเสียดาย แล้วก้มลงหยิบเอกสารตรงหน้าที่ฝ่ายบุคคลส่งมาให้เปิดอ่านอย่างสนใจ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดแตะมันด้วยซ้ำ เนื่องจากไม่พอใจที่เพชรก้าวก่ายงานของตน ทว่าเมื่อได้เจอตัวจริงของคนที่รองประธานกรรมการออกหน้าฝากฝังมาก็อดอยากรู้จักเธอมากขึ้นไม่ได้
“ศศิ ภูวดล...คุ้นๆ แฮะ จะว่าไปหน้าก็ดูคุ้นนะ เคยเห็นที่ไหนหว่า”
จารุพงษ์ทวนเพียงชื่อนามสกุล ต่อจากนั้นเขาแค่เปิดผ่านๆ ไม่เสียเวลาอ่าน ก่อนจะเซ็นที่ส่วนอนุมัติรับพนักงานใหม่ ขณะบ่นพึมพำในสิ่งที่ตนเข้าใจไปเอง
“สวยหุ่นเซี๊ยะน่าขย้ำเสียขนาดนี้ ใครจะยอมปล่อยให้หลุดมือ ไม่รับเอาไว้วะ ว่าแต่...ไอ้เพชรมันฝากของมันมาเอง อย่าบอกนะว่าเป็นเด็กมัน แต่แล้วไง ถึงใช่ก็ไม่สนโว้ย อยากได้เสียอย่าง”
หลังบอกกับตัวเองแล้วก็ยิ้มมุมปากหยามหยัน
“ดีเสียอีก หึ...ทำให้กูขายหน้าในที่ประชุม แถมยังชอบเป่าหูนังแก่เรื่องงบประมาณที่กูทำเรื่องเบิกบ่อยๆ สักวันกูจะแย่งเด็กมึงเอามานอนด้วยให้ได้เลย ช่วยไม่ได้นี่หว่า ให้ไปทำอะไรไม่ทำ ดันส่งหมูมาเข้าปากกูเอง อยากเห็นจริงๆ ว่ามึงจะทำหน้ายังไง ไอ้เพชร”
แววตาคมฉาบความแค้นอย่างหมายมาดขณะจ้องมองที่รูปของสาวสวย จารุพงษ์มักถือคติที่ว่า การจะตะครุบเหยื่อให้อยู่มือ ต้องทำให้เหยื่อตายใจเสียก่อน ไม่ว่ารายไหนรายนั้น ผู้หญิงทุกคนไว้วางใจผู้ชายที่สนิทสนม ซึ่งคนพวกนั้นมักจะเป็นคนใกล้ตัว เช่น เพื่อน รุ่นพี่...หรือเจ้านายที่ใจดี
======