03 – ทั้งรักทั้งเกลียด
‘สาวใหญ่แอบถ่ายคลิปหนุ่มเปลือยผ้า ยอมรับแอบชอบชายหนุ่มมานานจึงถ่ายคลิปเก็บไว้ดู’
“โห เดี๋ยวนี้ผู้หญิงทำขนาดนี้เลยเหรอวะ” หลายวันมานี้มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องการแอบถ่ายไม่เว้นวัน ปรายฝนพูดพลางถอนหายใจออกมาในกับข่าวออนไลน์ประจำวันและเป็นที่พูดถึงอย่างมาก เธอวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะม้าหินอ่อน ก่อนจะใช้ข้าวเหนียวจกลาบหมูน้ำตกเข้าปาก ตามด้วยเครื่องดื่มอัดลมสีเข้ม หลังจากเลิกเรียนวิชาตัวสุดท้ายของวัน ฉันและปรายฝนก็ตกลงกันว่าจะออกมาหาข้าวกินแถวหน้ามหาลัย อาหารหลักของเราสองคนที่ขาดไม่ได้ ก็คือส้มตำไก่ย่าง โดยเฉพาะร้านคุณป้าหน้ามหาลัย ถือว่าเป็นร้านส้มตำที่อร่อยที่สุดในย่านนี้เลยก็ว่าได้
ฉันมองเพื่อนรักที่กินส้มตำด้วยความเอร็ดอร่อย ผิดกับตัวฉันที่นั่งเหม่อลอยมองไปนอกร้าน นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนจนหัวจะระเบิดตายอยู่แล้ว พยายามเลิกคิดมากแต่ฉันก็ทำไม่ได้ จนปรายฝนเริ่มเอะใจและยื่นมาโบกไปมาเพื่อเรียกสติฉันคืนมา
“ฮาร์ท ไม่กินเหรอวะ เดี๋ยวหมดนะมึง เนี่ยอีกนิดคือไม่เหลือซากแล้วนะ” ปรายฝนชี้ไปที่ไก่ย่างหนังชุ่มเกรียมสีน้ำตาล ฉันมองไก่ชิ้นสุดท้ายก่อนจะส่ายหัวตอบกลับ
“กินไปเลยมึง ไม่หิวว่ะ” ถ้าจะเรียกให้ถูกก็คงต้องบอกว่ากินอะไรไม่ลงมากกว่า ปรายฝนมองหน้าฉันด้วยความสงสัย ทั้งที่ฉันเป็นคนเอ่ยช่วยเธอมากินแท้ๆ แต่ตัวเองกลับไม่ได้แตะต้องส้มตำของโปรดสักนิด ไหนจะอาการไม่พูดไม่จาเพราะมัวแต่คิดมากเรื่องผู้ชายใจดำคนนั้นอีก รวมไปถึงตอนเรียนก็ไม่รู้ว่ากำลังเรียนเรื่องอะไร อาจารย์พูดถึงไหน จนปรายฝนต้องคอยสะกิดฉันอยู่หลายครั้ง
อยากจะระบายออกมาให้ปรายฝนฟัง แต่ก็กลัวเพื่อนจะผิดหวังที่ฉันเป็นคนแบบนี้
“เป็นไรหรือเปล่ามึง ตั้งแต่เช้าแล้วนะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า บอกกูได้นะเว้ย มีอะไรจะได้ช่วยๆ กัน” ปรายฝนดูดนิ้วชี้และนิ้วโป้งที่เลอะไก่ และใช้มือนั้นตบบ่าฉันเบาๆ เชิงให้กำลังใจ แต่ฉันคิดว่าการแสดงออกทางสายตามันคงจะดีกว่าการใช้มือข้างนั้นมาปลอบประโลม
ถ้าหากรายการวิทยุมีพี่อ้อยพี่ฉอด ร้านส้มตำป้าฉ่อยก็มีปรายฝนคนนี้ที่ตั้งไมค์คอยรับฟังปัญหาของฉัน
“ดึงดราม่าเพื่อ? กูไม่หิวอะ มึงก็เห็นว่าตอนเรียนกูกินไก่ไปสามน่อง ข้าวหนึ่งห่อ แล้วก็ลูกชิ้นทอดอะฝน ถ้าให้กูยัดต่อตอนนี้คือเกินคน มึงกินไปเลย...ถ้าเหลือเดี๋ยวกูต่อเอง”
“เกรงว่าจะไม่เหลือ”
“เออ จะกินเท่าไหนก็แล้วแต่มึงเลย ตอนนี้คืออิ่มมาก” ฉันลูบท้องพลางส่งเสียงลากยาว เพื่อบอกให้อีกคนรู้ว่าฉันอิ่มแค่ไหน ปรายฝนเลิกคิ้วเชิงถามฉันว่าแน่ใจหรือไม่ ก่อนที่เธอจะปั้นข้าวเหนียวและจิ้มลงไปในส้มตำปลาร้าไม่เกรงว่าคนอื่นจะมองเธอยังไง
ก็ทั้งร้านมีฉันและปรายฝนนั่งอยู่เพียงสองคน ป้าฉ่อยเจ้าของร้านก็สนิทกับปรายฝน เพราะฉะนั้นเพื่อนของฉันจึงไม่ห่วงสวยแม้จะแต่งหน้าแน่นแค่ไหนก็ตาม ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น หน้าจอปรากฏเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย ตัดสินใจรับสาบเพราะเกรงว่าอาจจะเป็นใครสักคนที่ฉันรู้จักและโทรมาเพื่อติดต่อธุระ
“ฮัลโหลค่ะ”
(อยู่ไหน?) เสียงทุ้มห้าวคุ้นทำให้ฉันต้องละโทรศัพท์ออกมาเพื่อดูเบอร์โทรอีกครั้ง หวังว่าปลายสายจะไม่ใช่คนที่ฉันคิดอยู่ในตอนนี้นะ
“ใครคะ?”
(ฉันบอกให้เธอรอไม่ใช่หรือไง อยู่ไหนเดี๋ยวไปรับ) ชัดเจนเลยว่าเป็นใคร...ก็ไอ้บ้าสีครามคนในร้าย ใจดำ ที่ฉันพยายามหนีหน้าเท่าที่จะทำได้ โดยการไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขาเมื่อเช้า
“กินข้าวอยู่ ไม่ต้องมา เดี๋ยวกลับหอเอง” ฉันต้องป้องปากพูดเสียงกระซิบเพื่อไม่ให้ปรายฝนได้ยิน เพราะกลัวว่าหากเรื่องนี้ถึงหูเพื่อนจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่อยากพูดเล่าย้ำอดีตให้ตัวเองเจ็บใจเล่น และไม่อยากให้เพื่อนฉันต้องมาคิดว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับฉันมันแย่มากแค่ไหน ถ้าปรายฝนรู้เข้า...คงจะผิดหวังในตัวฉัน ไม่ต่างอะไรจากฉันที่ผิดหวังในตัวเองจนอยากจะร้องไห้ออกมาทุกวินาที
(คลิป) คำขู่นี้อีกแล้ว นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ฉันไม่อยากบอกปรายฝน คลิปบ้าๆ ที่ไอ้คนแบบนั้นแอบถ่ายเก็บเอาไว้ตอนมีอะไรกัน หากคลิปนี้มันถูกปล่อยออกมา มีหวังฉันคงต้องออกจากมหาลัย พ่อแม่ก็อาจจะผิดหวัง
ส่วนสีครามก็คงจะมีความสุขที่เล่นกับความรู้สึกของฉัน เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษอย่างที่ฉันคิดไว้เลย
“สารเลว” ไม่มีคำไหนที่เหมาะสมกับเขาเท่ากับคำนี้อีกแล้ว ฉันไม่มีทางสู้ผู้ชายคนนั้นได้ ตราบใดที่เขายังมีคลิปวีดีโอแอบถ่ายอยู่ในมือ แต่อย่างน้อยฉันก็ขอด่าเขาให้หายโกรธแค้น ทั้งที่ต่อให้เอาคำด่าทั้งโลกมารวมกันก็คงไม่พอด้วยซ้ำ
(จะให้ปล่อยคืนนี้เลยไหม?)
“อยู่ร้านป้าฉ่อยหน้ามอ” สุดท้ายฉันก็พ่ายแพ้ต่อคำขู่ของเขาอีกจนได้ ฉันตอบกลับและตัดสายทิ้งทันที วางโทรศัพท์ปึงปังกระแทกบนโต๊ะม้าหินอ่อน ทำให้ปรายฝนที่กำลังอ้าปากกินไก่ย่างสะดุ้งจนไก่หลุดมือ
“ฮาร์ท! กูตกใจหมด เป็นไร?”
“โทษๆ ไม่มีไร” ตอบออกไปเช่นนั้น พลางกอดองนั่งพิงพนักม้าหินอ่อนอย่างหงุดหงิดใจ เวลาผ่านไปราวสิบนาทีเห็นจะได้ ฉันเห็นมอเตอร์ไซค์หลายคันขี่ออกมาจากรั้วมหาลัย มาจอดเทียบฟุตปาธหน้าร้าน เด็กนักศึกษาในชุดไปรเวทถอดหมวกกันน็อกออกมา ฉันหรี่ตามองพวกเขาเพราะคับคล้ายคับคาว่าคงเป็นเด็กคณะอาร์ต เรียกเอกเพ้นท์เหมือนสีคราม พลันสายตาของฉันหันไปมองมอเตอร์ไซค์ที่เขามาจอดเทียบหน้าร้านคันสุดท้าย ฉันจำได้ดีว่ามันเป็นมอเตอร์ไซค์ของใคร แต่แปลกใจที่มีผู้หญิงซ้อนท้ายติดมาด้วย
“มึงๆๆ พวกอินดิโกป้ะวะ พรหมลิขิตมากมึงเอ๊ย...ผู้หญิงคนนั้นกูเหมือนเคยเห็นในสตอรี่ของอินดิโกเมื่อวานเลยอะ” สีครามเดินเข้ามาในร้านพร้อมกลุ่มเพื่อน ข้างกายของเขามีผู้หญิงที่เรียนอยู่เอกเดียวกัน ฉันจำได้ว่าฉันเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ตามหนังสั้น หนังประกวด ไม่ก็เอ็มวีเพลงจากวงอินดี้ และเธอก็ค่อนข้างเป็นที่รู้จักช
“ถ้าจำไม่ผิด เหมือนจะชื่อพายอะ กูเคยให้มึงดูไอจีเขาด้วยนี่ คนที่ถ่ายรูปดีๆ ขายาวๆ อะ” ปรายฝนพูดจ้อ พร้อมเปิดอินสตาแกรมของหญิงสาวที่เธอเอ่ยขึ้นมาให้ฉันดู
“นี่ไงๆ”
“อือ” ฉันปลายตามองหน้าจอโทรศัพท์ของปรายฝนเพียงเล็กน้อย ตอบเอออออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะมองไปที่ผู้ชายคนนั้น เขากำลังยีหัวผู้หญิงที่ชื่อพายอย่างหัวเราะชอบใจ ต่างจากตอนอยู่กับฉัน เขามักพูดจาข่มขู่เรื่องคลิปอะไรนั่น อีกทั้งรอยยิ้มที่แสดงออกมามันมีแต่ความเย้ยหยัน ไม่เหมือนรอยยิ้มที่เขาแสดงออกกับผู้หญิงคนนั้นสักนิด
ไม่ได้หึง ไม่ได้หึงสักหน่อย ดีเสียอีกที่เขาสนใจคนอื่น จะได้เลิกยุ่งกับฉันสักที
“ครามเลยนะเว้ย มึงจะไม่หวีดกับกูหน่อยเหรอ?” หากเป็นเมื่อก่อนฉันไม่ปฏิเสธว่าฉันคงจะกรี๊ดเขากับปรายฝนจนคอแหบขอแห้ง แต่ตอนนี้สีครามไม่สามารถทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นได้อีกแล้ว ฉันผิดหวังและรู้สึกแย่กับเขาจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้...ถึงยังไงฉันก็ยังตัดใจชอบเขาไม่ได้ทันที ยิ่งชอบมากก็ยิ่งเกลียดมาเช่นกัน
“มึง กูอยากกลับแล้วอะ กูเพลียๆ ว่ะ อยากนอน” ฉันหาข้ออ้างบอกกับปรายฝน แท้จริงแล้วฉันไม่อยากทนมองเห็นคนใจร้ายที่นั่งห่างจากฉันเพียงไม่กี่เมตร ดูเข้าสิ...ตอนเช้าทำตัวเจ้ากี้เจ้าการสั่งฉันเหมือนหวงกัน แต่ตอนนี้เขากลับนั่งอยู่กับใครอีกคน
“เหรอๆ แป๊บหนึ่งนะ ขอกินไก่ชิ้นนี้ก่อน” สิบนาทีต่อมา ปรายฝนเดินไปล้างมือที่ห้องน้ำ ส่วนฉันก็เดินไปจ่ายเงินกับป้าฉ่อย จากนั้นเราสองคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน โดยปรายฝนใช้รถโดยสารสาธารณะ ส่วนฉันก็เดินกลับหอพักโดยไม่ง้อวินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย เพราะเขาชอบคิดเงินเดินราคา หรือไม่ก็รีบบิดเร่งความเร็วและเบรกจนฉันแทบหงายหลัง
ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มมีเมฆสีเทาเคลื่อนตัวมาบดบัง เสียงฟ้าร้องดังลั่น สลับกับสายฟ้าแลบ ทำให้ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ ถนนในซอยเริ่มเงียบแล้ว ร้านค้าแต่ละร้านก็ทยอยเก็บจนหมด ฉันเดินไปตามทางพลางเตะฝุ่น และถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
ฉันไม่อยากคิดเรื่องของสีคราม แต่มันก็ไม่สามารถเอาความคิดนี้ออกจากหัวได้
นึกถึงเขาและเพื่อนผู้หญิงที่ชื่อพายทีไร ใจฉันมันก็รู้สึกปวดเหมือนมีใครมาบีบด้วยความรุนแรง ถึงปากจะต่อว่าเขาเลวแค่ไหน แต่เอาเข้าจริงฉันไม่ได้เกลียดชังอะไรเขาเลย ฉันคงชอบเขามานานเกินกว่าจะตัดใจได้อย่างรวดเร็ว อยากเกลียดแทบตามก็เกลียดไม่ลง...ถึงอย่างนั้นฉันก็คิดไว้แล้วว่า ฉันจะเลิกชอบเขาให้ได้ภายในสองวัน
รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางเลิกชอบเขาได้รวดเร็วขนาดนั้น แต่ฉันก็อยากทำให้ได้
ตัดใจจากคนที่ชอบ ทำไมถึงได้ยากขนาดนี้ก็ไม่รู้
‘เฮ้อ’ นี่คงเป็นเสียงถอนหายใจครั้งที่ร้อยของวัน ฉันไม่รู้ว่าสีครามเข้ามาแสดงตัวกับฉันว่าคือผู้ชายคนนั้นทำไม ทั้งที่มันควรจะต่างคนต่างไปหลังจากมีความสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืน เขาอยากรับผิดชอบฉันเหรอ...หากต้องการรับผิดชอบ แล้วเขาจะใช้เรื่องคลิปมาข่มขู่กันทำไม
หรือว่าการแกล้งให้ฉันหัวเสียหัวหมุน มันคงจะสนุกสำหรับเขาน่าดู
ฉันอยากรู้ว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่เชื่อว่าตัวเองจะเป็นคนที่เข้าหาสีครามก่อน ไม่มีทาง...สีครามอาจจะโยนความผิดนี้ให้กับฉัน เพื่อให้ตัวเองพ้นความผิด และสามารถเอาเรื่องคลิปมาข่มขู่ให้ฉันต้องทนอยู่ในความสัมพันธ์บ้าๆ บอๆ
ไม่สมเหตุสมผลสักนิด ต่อให้ฉันคิดเรื่องระหว่างฉันและเขา มันก็ไม่มีข้อสรุปไหนที่จะสามารถอธิบายว่าเขาต้องการอะไรจากฉันได้
แต่ที่ฉันแน่ใจ คือเขาทำตามใจของตัวเองล้วนๆ โดยไม่สนใจความรู้สึกฉันสักนิด
“ปวดหัวโว้ย ไอ้บ้าสีคราม อย่าให้เจอนะ!” ฉันสบถด่าอย่างหงุดหงิดพร้อมขยี้หัวตัวเองจนผมเผ้ายุ่งเหยิง ตอนนั้นเองเสียงแตรจากมอเตอร์ไซค์ดังจนฉันต้องใช้มือกุมอกด้านซ้ายเพราะใจมันเกือบหล่นลงไปที่ตาตุ่ม เด็กเกเรที่ไหนถึงได้มีบีบแตรใส่คนอื่นกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ฉันหันไปมองเด็กเกเรคนนั้น และมันทำให้ฉันตกใจยิ่งกว่าเดิม
“สีคราม...” เด็กเกเรที่ว่าก็คือผู้ชายคนใจร้ายที่ฉันไม่หลบหน้ามากที่สุด เตรียมตั้งท่าวิ่งหนี แต่เสียงของชายหนุ่มคนนั้นกลับรั้งฉันเอาไว้ วาจาข่มขู่แบบนั้น ทำให้ฉันไม่กล้าขัดขืน
“เดินหนีอีกก้าว อย่าหาว่าไม่เตือน” คำขู่นี้มันใช้ได้ผลกับฉันทุกสถานการณ์จริงๆ ต่อให้จะดื้อเหมือนม้าพยศ คำพูดของเขาก็จะกำหราบฉันได้อยู่หมัด
“ขึ้นรถ” ชั่งใจอยู่ชั่วครู่และมองหน้าเขาด้วยความขุ่นเคือง ฉันรู้ว่าหากขัดขืน เขาคงจะยกเรื่องคลิปวิดีโอขึ้นมาพูด ทำให้ฉันจนมุมเหมือนเดิม สีครมรู้จักอ่อนของฉัน แม้ว่าจะแสดงออกมาไม่ต่อต้านหรือไม่กลัว แต่สุดท้ายฉันก็เป็นแค่คนขี้ขลาดคนหนึ่ง
ฉันเดินกระทืบเท้าตึงตังไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะหักเลี้ยวรถกลับ ไม่ได้ตรงไปส่งฉันที่หอพักอย่างที่คิด อีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงปากซอยทางเข้าหอพักแล้ว แต่ชายหนุ่มคนนี้เขาต้องการทำอะไรกันแน่
“นี่ จะพาเราไปไหน เราจะกลับหอ!” แหกปากตะโกนดังแค่ไหนสีครามก็ไม่สนใจสักนิด
มอเตอร์ไซค์เคลื่อนไปตามทางถนนเส้นหลักและเลี้ยวเข้าซอยข้างมหาลัย ฉันกำเสื้อฮาวายของครามแน่นเพราะกลัวตก รถเคลื่อนมาจอดบริเวณลานจอดรถชั้นล่างของคอนโดฯ ที่ฉันเคยหนีออกมา ฉันลงจากรถและจะวิ่งหนีจนสุดชีวิต แต่สีครามก็รู้ทันเกมจึงได้คว้าแขนเอาไว้
“เราจะกลับหอเรา”
“ไม่ให้กลับ” เขาเอ่ยเสียงเรียบและลากฉันขึ้นไปบนห้อง ไม่พักคำขอร้องจากฉันสักนิด ฉันอยากกลับหอพักตัวเอง ฉันไม่อยากมาที่นี่ ความรู้สึกย่ำแย่ที่เคยถูกย่ำยีมันกลับเข้ามาทำให้ฉันนึกเกลียดตัวเองอีกครั้ง...
เฟรมวาดภาพ สีอะคริลิคในกล่องวางบนผ้าเปื้อนสีเกรอะกรัง กีตาร์โปร่งสีดำวางพิงมุมผนังสีครีมไว้กับกองหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเล่ม ขณะนั้นสายฝนตกลงมาอย่างหนัก กระทบกระจกหน้าต่างจนพร่าเลือน ฉันยืนกำมือแน่นอยู่กลางห้อง กับผู้ชายอีกหนึ่งคนที่มองฉันไม่วางตา แววตาคู่นั้นไม่สะทกสะท้านหรือรู้สึกผิด ต่างจากฉันที่พยายามข่มความรู้สึกของตัวเอง ไม่ให้ร้องไห้ออกมา ทั้งโกรธ โมโห และผิดหวัง ฉันเกลียดสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้
“เราจะกลับหอ พาเรามาที่นี่ทำไม?” ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่มตรงหน้า เขาเมินคำถามและนั่งลงบนเตียง โดยที่ดวงตาก็ยังจ้องมองฉันอยู่แบบนั้น
“นี่! หูหนวกหรือไงวะ กูบอกว่าจะกลับหอไง!” ทนไม่ไหวแล้วนะ...สีครามแสร้งทำเป็นหูทวนลมทุกครั้งที่ฉันพูด หากพาฉันมาที่นี่เพื่อทำให้ฉันรู้สึกแย่ เขาก็ควรจะพาฉันกลับหอพัก ไม่ใช่มานั่งจ้องหน้าแสดงท่าทางว่าตัวเองเหนือกว่า เหลืออดที่จะพูดดีกับผู้ชายคนนี้แล้ว สีครามไม่สมควรได้รับคำพูดเพราะๆ จากฉัน และฉันจะไม่มีวันพูดดีกับเขาเด็ดขาด
“เธออย่าเสียงดังได้ไหม!” สีครามว่าเสียงดุ เขาไม่พอใจที่ฉันตะโกนพูดจาเสียงดังและหยาบคาย เขาแสดงสีหน้าออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบการกระทำของฉัน จนตอนนี้ฉันพยายามข่มน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลออกมา แต่ฉันก็พ่ายแพ้ ฉันเสียน้ำตาให้กับสีคราม เขาทำเหมือนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะฉัน
ฉันผิด ทั้งที่เขาเองต่างหากที่ลากฉันมาถึงที่นี่
“เราอยากกลับห้อง” คำหยาบคายถูกกลืนลงคทันที เมื่อสัมผัสได้ว่าสีครามน่ากลัวมากแค่ไหน ไม่อยากแสดงความอ่อนอให้เขาเห็นเลย มันน่าสมเพชมากกว่าที่เขาจะมาสงสาร
“นอนที่นี่ พรุ่งนี้เธอไม่มีเรียนไม่ใช่หรือไง?” ฉันรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากอยู่ใกล้คนอย่างสีคราม ไม่อยากอยู่ในห้องที่มีแต่ความทรงจำเลวร้ายที่ผ่านมาเพียงชั่วข้ามคืน อยากลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ทำไมเขาต้องลากฉันเข้ามาอยู่ในวังวนที่น่าสมเพชตัวเองด้วย
ตอนนั้นสีครามก็ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อฮาวายของตัวเอง และโยนมันลงตะกร้าผ้าสำหรับซักล้าง ร่างกายที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิด ทำให้ฉันต้องรีบก้มหน้าไม่อยากมองสภาพเปลือยท่อนบนของเขา จากนั้นสีครามก็ลุกขึ้นเต็มความสูง ปลดเข็มขัดออกจากกางเกงและเดินไปวางบนชั้นวางของบริเวณตู้เสื้อผ้า
และนั่นทำให้ฉันหลุดสะอื้นออกมาอีกครั้ง ท่าทางของสีครามมันไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย เขากำลังเดินเข้ามาหาฉัน ทั้งที่ร่างกายไร้เสื้อผ้าปกปิดท่อนบน ฉันพยายามเดินถอยหลังจากการคุกคามของอีกฝ่าย แต่สภาพห้องก็เหมือนจะไม่เป็นใจ เพราะตอนนี้ฉันถอยหลังจนร่างกายชิดมุมกำแพง มันจึงทำให้สีครามสบโอกาส เขาใช้มือทั้งสองข้างยันกำแพงเอาไว้
“จะทำอะไร” ใบหน้าที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจปะทะบนแก้ม เขากำลังจะทำเรื่องแบบนั้น โดยไม่ถามเรื่องความยินยอมจากฉัน ฉันขยับใบหน้าหนีจนจนมุมแต่ผู้ชายตรงหน้าก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดคุกคาม จมูกโด่งเฉียดสัมผัสแก้มจนใจสั่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่อยากให้สีครามเห็นความอ่อนแอและความพ่ายแพ้ของฉัน
และฉันก็กำลังพ่ายแพ้ซ้ำซาก เมื่อฉันก็ยังตกหลุมรักสีครามจนถึงวินาทีนี้
“เธอมันเด็กไม่ดี”
“เราไม่ดีตรงไหน นายต่างหากที่ทำเราก่อน”
“เธอพูดคำหยาบ ฉันไม่ชอบ”
“นายทำเราก่อน ที่เราพูดไม่เพราะก็เพราะใครล่ะ! คนที่ข่มขู่คนอื่น ใช้วิธีสกปรกแบบนี้ ไม่มีสิทธิ์...อือ” ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค คำพูดก็ถูกกลืนหายไปในลำคอเพราะริมฝีปากของอีกคนกำลังฉกฉวยริมฝีปากของฉันอย่างน่าไม่อาย นี่มันไม่ใช่จูบที่ฉันคิดไว้...มันไม่ใช่แค่ริมฝีปากสัมผัสกันแผ่วเบา แต่อีกคนกลับดูดดึงริมฝีปากของฉันเล่น จนแข้งขาอ่อนแรงแทบยืนไม่อยู่
ฉันพยายามทุบอกให้เขาผละตัวออก ส่งเสียงร้องในลำคอให้เขาหยุดการกระทำ และพยายามตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่นั่นก็เหมือนเป็นการเปิดทางให้กับคนฉวยโอกาส เขาใช้ลิ้นเข้ามาในโพรงปาก สัมผัสแปลกใหม่ที่หลอมละลาย เขารวบแขนของฉันที่พยายามทุบตีไว้ทั้งสองข้าง เสียงน้ำลายและเสียงริมฝีปากคละเคล้าดังก้องในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉันไม่เคยจูบกับใครมาก่อนในชีวิต ไม่มีประสบการณ์และจัดการความรู้สึกพวกนี้ได้ เริ่มรู้สึกว่าแขนขาเริ่มอ่อนแรงและทรงตัวไม่อยู่ จากที่เคยปฏิเสธสัมผัสเปลี่ยนมาเป็นยอมจำนนทั้งที่หัวใจต่อต้านแทบตาย และแล้วมันก็กลายมาเป็นหยดน้ำตาที่รินไหล ฉันไม่มีทางสู้สีครามได้ ทั้งร่างกาย และเรื่องข่มขู่นั่นด้วย
ฉันไม่ได้รู้สึกดีที่เขาทำแบบนี้กับฉัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฉันชอบเขาจากใจจริง ความรู้สึกของฉันมันบริสุทธิ์ไร้ความเสแสร้ง แต่ทำไมสิ่งที่ได้ตอบแทนคือความใจร้ายของสีคราม
เขาเกลียดอะไรฉัน ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ เหมือนกันฉันเป็นที่ระบายความสุข
เขาจูบลงมาที่ริมฝีปากของฉันและถอนจูบออก พยายามจะพยุงร่างของตัวเองให้ยืนได้ด้วยสองขา แต่คงเป็นสีครามมากกว่าที่ช่วยประคองฉันไว้ ฉันหอบหายใจอย่างหนักเพราะขาดอากาศหายใจช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ภาพจำของสีคราม ฉันคงเป็นผู้หญิงไร้ค่าและง่ายมากในสายตาเขา
“ทำแบบนี้ทำไม ต้องการอะไรจากเรา ทำแบบนี้ทำไมวะคราม!” หากคำตอบของเขาคือคำสารภาพรัก ฉันก็คงจะใจง่ายโดยให้อภัยเขาอย่างไม่มีข้อแม้ แต่คำตอบที่เขาเอ่ยออกมา ทำให้ฉันพูดไม่ออก ความรู้สึกจุกอยู่ในอก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้มันคืออะไรกัน
“เธอชอบฉันไม่ใช่หรือไง? จะร้องไห้ทำไมกับจูบแค่นี้” คำตอบเหมือนมีดกรีดลงกลางหัวใจ สีครามดูถูกฉันมากเกินไปแล้ว ฉันผลักเขาอย่างแรกจนเขาเซถอยไปด้านหลัง ก่อนจะยกมือขึ้นตวัดลงบนใบหน้า แต่ว่าเขาก็รู้ทันและจับมือฉันเอาไว้
เขารู้ได้ยังไงว่าฉันชอบเขา...แล้วทำเขาต้องทำเหมือนฉันใจง่ายขนาดนี้ด้วย
“ฮึก ครามดูถูกความรู้สึกของเรามากรู้ไหม เออเราชอบคราม ชอบมากด้วย...แต่เราก็ไม่เคยต้องการให้ครามทำแบบนี้ ถึงแม้ว่าครามจะมองว่าเราเป็นผู้หญิงใจง่าย ฮึก แต่เรื่องแบบนี้เราควรได้รับเหรอ ครามควรทำกับเราแบบนี้เหรอ ยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหมอะคราม” สีครามไม่ตอบโต้อะไร นอกจากมองหน้าฉัน โดยที่ไม่รู้ว่าสายตาของเขาคือสงสารหรือสมเพชอะไรฉันหรือเปล่า
“วันนั้นเราเมาไม่รู้เรื่อง จนยอมมีอะไรกับคราม แต่ก็ใช่ว่าเราจะยอมเธออีกเป็นครั้งที่สอง เราไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ถ้าหากครามมองว่าความรักของเรามันไร้ค่า และคนอย่างเราไม่สมควรจะมอบความรักให้คราม หรือมีค่าพอให้ครามมาชอบตอบ ขอได้ไหม...อย่ายุ่งกับเราอีกเลย ต่างคนต่างอยู่ คิดซะว่าเรื่องนี้มันไม่เคยเกิดขึ้น ฮึก เราไม่อยากมองครามว่าเป็นคนไม่ดีเลย ขอร้องล่ะ ต่างคนต่างอยู่ อย่ายุ่งเกี่ยวกันอีก” ฉันไม่เคยคิดว่าการเติบโตมาอย่างเข้มแข็งของฉันมันจะสามารถเปลี่ยนออกมาเป็นตน้ำตาได้มากมายขนาดนี้ ในรอบหลายสิบปีครั้งนี้คงเป็นการร้องไห้ที่หนักหน่วงที่สุด สีครามไม่ตอบอะไร นอกจากโอบกอดฉันเอาไว้
ทำไมล่ะ ทำไมไม่ผลักไสหรือไล่ฉัน มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาทำร้านฉันซ้ำๆ เพราะมันจะทำให้ฉันตัดใจจากเขาได้สักที
เขาคงเป็นสีครามเหมือนกับชื่อ เหมือนสีของท้องฟ้ายามฝนตกลงมา
“ใจร้าย เราไม่อยากชอบครามเลย ไม่อยากเลยสักนิด”
“ห้ามเลิก...ฉันไม่ยอมให้เธอเลิกชอบฉันหรอกนะใจ”