04 – เหตุผลที่บอกไม่ได้

3578 คำ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ฉันถูกโอบกอดและจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันได้ยินเสียบหอบหายใจของตัวเอง มันดังถี่ขณะที่ชายหนุ่มตรงหน้าใช้ปากและฟันขงเขาดูดดึงริมฝีปากของฉันจนใจสั่นไม่เป็นจังหวะ เขาไม่มีท่าทีว่าจะหยุดการกระทำแสนหยาบคาย ส่วนฉันก็กลายเป็นคนใจง่ายที่ยินยอมเขาโดยการไม่ปฏิเสธ ฉันได้ยินเสียงของชายหนุ่มตรงหน้ากลืนน้ำลาย ลมหายใจของเราผสานกัน และฉันไม่รู้ว่าฉันหยุดร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไร เสียงสะอึกสะอื้น น้ำตาได้จางหายไปจากใบหน้าเรียบร้อยแล้ว ฉันแพ้ภัยตัวเองเพราะรสจูบที่แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน เขาจับแขนทั้งสองข้างของฉันคล้องลำคอ เอียงคอรับสัมผัสทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธเขาแทบตาย เขาดึงฉันออกมาจากมุมห้องและค่อยๆ ดันลงนอนราบไปบนเตียงทั้งที่ริมฝีปากยังคงสัมผัสกันและกัน ฉันเป็นผู้หญิงที่แย่มากเลยนะว่าไหม.. “อือ” เขาถอนจูบออกไปแล้ว ฉันลืมตาขึ้นมองใบหน้าที่เรียบนิ่งของเขา ทันใดนั้นสติของฉันที่กระเจิงหายก็คืนกลับมา ฉันใช้มือสองข้างดันอกเขาถอยห่าง พร้อมยันกายลุกขึ้นขยับชิดหัวเตียง ใช้มือปัดเส้นผมปรกหน้า และใช้หลังมือเช็ดปากแรงๆ น้ำตาที่หยุดไหลในคราแรก มันกลับไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ของตัวเองก้องอยู่ในหู ข่งกันเสียงสายฝนที่ตกกระหน่ำ ไม่รู้ว่าฉันควรสงสารหรือสมเพชตัวเองดี ปากก็ปฏิเสธด่าทอผู้ชายตรงหน้าไม่มีชิ้นดี แต่ร่างกายกลับยอมให้เขาทำตามอำเภอใจอย่างง่ายดาย “เราจะกลับหอแล้ว” ฉันบอกเขาโดยที่ไม่มองหน้า ไม่มีการตอบรับใดๆ ออกมา มีเพียงแต่เสียงถอนหายใจของชายหนุ่มตรงหน้าว่าเหนื่อยใจ “ฝนตกหนักแบบนี้จะกลับได้ยังไง นอนที่นี่แหละ” เขาไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามเหมือนเดิม แต่เมื่อสังเกตใบหน้าของเขาก็พบว่าสันกรามขึ้นชัดเพราะอีกคนกำลังกัดฟันแน่น เขาคงพยายามข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้แน่นอน จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อยืดตัวใหญ่สีขาวและบ๊อกเซอร์สีดำสนิทวางไว้บนปลายเตียง “นี่เสื้อกับกางเกง ส่วนเสื้อเธอก็ถอดใส่ตะกร้าเอาไว้ เดี๋ยวฉันจะส่งซัก” “นี่ไม่ฟังกันเลยหรือไง ก็บอกว่าจะกลับหอ” ฉันไม่มีทางนอนกับเขาเป็นครั้งที่สอง แม้ว่าฝนจะตกหนักแค่ไหนแต่ฉันก็ยืนยันว่าจะกลับ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่ฟังคำพูดของฉัน แถมยังทำหน้าดุใส่อีกต่างหาก “ก็บอกแล้วไงว่าฝนตก ฉันไม่ไปส่งหรอกนะ” “เรากลับเองได้” ว่าแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินออกจากประตูห้องนอน ทว่าสีครามกลับเดินเข้ามาขวางไม่ให้ฉันออกไปได้ “ถ้ากลับ คลิปหลุด จะเอาไง?” ไม่วายหยิบโทรศัพท์ขึ้นโชว์แสดงตนเองว่าถือไพ่เหนือกว่า ฉันได้แต่กัดปากกลั้นเสียงกรี๊ดของตัวเองที่อยากจะร้องออกไปให้กระแทกหน้า แน่นอนว่าฉันทำแบบนั้นไม่ได้ จะทำยังไงกับผู้ชายคนนี้ดี ไหนจะเรื่องคลิปวิดีโอในโทรศัพท์ของเขาอีก หากฉันสามารถลบวิดีโอในโทรศัพท์ของเขาได้ ฉันก็จะเป็นอิสระ “เออ! ไม่กลับก็ได้” “ไปอาบน้ำได้แล้ว ส่วนเสื้อเดี๋ยวฉันส่งซักให้” “ไม่ต้องเดี๋ยวเราซักเอง” ถึงวันนี้ฉันจะยอมจำนนเพราะเขามีคลิปวิดีโอนั่น แต่ถ้าหากวันไหนฉันสามารถลบมันออกจากโทรศัพท์เขาได้ ฉันไม่มีทางก้มหัวอ่อนข้อให้เขาเด็ดขาด “อย่าดื้อ เดี๋ยวฉันจะส่งซักคืนนี้” ก้าวถอนหลังพร้อมมองหน้าสีครามอย่างระหวาดระแวง ก่อนจะย่อตัวหยิบเสื้อและกางเกงจากปลายเตียง “อาบน้ำซะ เดี๋ยวฉันไปรอข้างนอก ผ้าขนหนูอยู่ในตู้ตรงอ่างล้างมือ” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกไปจากห้องนอน ทิ้งให้ฉันยืนงง และมองสำรวจโดยรอบว่าห้องนี้เป็นอย่างไรบ้าง ห้องของเขาเป็นห้องขนาดใหญ่ ที่มีส่วนของห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัวและห้องน้ำชัดเจน หากเทียบกับห้องพักของฉัน บริเวณห้องทั้งหมดของฉันคงเป็นแค่ส่วนห้องนอนของเขาเท่านั้น หลังจากที่สีครามเดินออกไป ฉันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง พร้อมกับทำท่าต่อยลมเพราะฉันไม่สามารถตอบโต้สีครามได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชีวิตนี้จะได้นอนกับผู้ชายถึงสองครั้งสองครา หากไม่นับรวมพ่อ “กูควรดีใจหรือเสียใจดีวะเนี่ย แม่ง” ฉันยังตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าตอนนี้ยังชอบสีครามอยู่เหมือนเดิม แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกดีใจสักนิดที่ตัวเองเสียตัวให้คนที่ชอบในขณะที่ไม่ได้สติ แล้ววันนี้ก็ต้องมานอนในห้องที่มีความทรงจำเลวร้ายที่ไม่อยากจำอีกครั้ง เดินรอบห้องมองสำรวจอย่างถือวิสาสะ อย่างแรกที่เห็นได้ชัดว่าห้องนี้มีงานวาดข้างที่ยังไม่เสร็จ แล้วก็มีพวกเฟรมที่วาดค้างและเป็นสีอะคริลิก บนโต๊ะทำงานมีกระดาษนับหลายสิบใบที่ร่างภาพไว้ ส่วนชั้นวางใกล้ๆ มีกล้องหลายตัว ส่วนใหญ่เป็นกล้องฟิล์มเสียมากกว่า แล้วก็มีม้วนฟิล์มครึ่งโหลที่ยังไม่ได้แกะใช้ รวมไปถึงมีกองหลังการ์ตูนญี่ปุ่นวางกองไว้ มันจัดวางไม่ค่อยเป็นระเบียบสักเท่าไร และชั้นวางสุดท้ายก็คือกรอบรูปภาพถ่ายครอบครัว ในภาพมีด้วยกันสี่คน มีเขา พ่อ แม่ และพี่สาว หน้าตาของเขาเหมือนพ่อของเขามาก แม้ว่าในรูปภาพคุณพ่อของเขาจะมีรอยยิ้มแสนใจดีต่างจากลูกชายในชีวิตที่ชอบทำใบหน้าขึงขัง แต่เขาทั้งสองก็มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันจนแยกไม่ออก ส่วนแม่ของเขาก็ดูใจดีไม่ต่าง ดวงตาชั้นเดียวของสีครามคงได้มาจากหญิงวัยกลางคนคนนี้แน่ และคนสุดท้าย... “พี่น้ำเงินเหรอ?” หญิงสาวในภาพถ่ายคงเป็นพี่สาวของสีครามไม่ผิดแน่ ใบหน้าคล้ายกันอย่างกับแกะออกมาจากพิมพ์ ท่าทางบุคลิกเหมาะสมที่จะเป็นพี่น้องกัน หากเธอไม่ไว่ผมยาวหรือแต่งหน้าสีจัด ฉันคงคิดว่าเขาอาจจะเป็นคนเดียวกันก็ได้ พี่สีน้ำเงินเป็นพี่สาวของสีคราม ตอนนี้เธอเป็นนางแบบอยู่ในสังกัดประเทศเกาหลี ที่ฉันรู้ดีขนาดนี้ก็เพราะไปติดตามพี่เขาผ่านอินสตาแกรม เธอมักลงรูปคู่กับสีครามอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็เป็นภาพฟิล์มที่เธอแอบถายน้องชาย ฉันมักจะเข้าไปดูภาพถ่ายสีครามจากอินสตาแกรมของเธอทุกครั้ง และมันก็ทำให้ฉันได้เห็นอีกมุมของสีคราม ว่าเวลาอยู่กับพี่สาว เขาเป็นคนน่ารักมากๆ ไม่เห็นจะเหมือนตอนนี้เลยสักนิด “ทำอะไร?” เสียงดังจากประตูห้องนอนทำให้ฉันที่กำลังจะเอื้อมมือไปจับกรอบรูปสะดุ้งและรีบหันไปมองเจ้าของห้อง ฉันไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาในเวลานี้ ทั้งที่เขาบอกเองแท้ๆ ว่าจะให้ฉันอาบน้ำและตัวเองก็จะไปรออยู่ด้านนอก “เปล่า” ปรายฝนบอกฉันเสมอ ว่าฉันเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง ดวงตาที่ลอกแล่ก ยังไงก็แสดงออกถึงความมีพิรุธจนฝ่ายที่ฉันโกหกต้องจับได้แน่นอน และฉันก็พึ่งเข้าใจคำพี่ปรายฝนบอกก็วันนี้ ว่าฉันคงโกหกไม่เนียนอย่างที่เพื่อนสนิทว่า ตอนนั้นเองสีครามสืบเท้าก้าวเข้ามา เขาเดินตรงเข้ามาโดยไม่ลาสายตาออกจากฉันแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งเดินมาใกล้เท่าไร ใจฉันก็หวาดหวั่น เมื่อเขาเดินมาประชิดตัวและขยับใบหน้าเข้ามา จนฉันต้องรีบก้มหน้าหลับตา เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเกินเลย สัมผัสได้ถึงลมอุ่นข้างใบหู พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ แก้มของเราทั้งสองสัมผัสกันจนรู้สึกถึงความร้อนของร่างกาย ฉันลืมตาขึ้นและเงยหน้ามองผู้ชายที่ยกยิ้มพร้อมกับซองบุหรี่ในมือ เขาแค่หญิงซองบุหรี่เท่านั้นเองหรือ แต่ฉันดันคิดไปไกลถึงไหนต่อไหน... อยากจะทึ้งหัวตัวเองให้หยุดเพ้อเจ้อ ที่คิดละเมอไปไกลว่าอีกคนจะขืนใจ “ฉันต้องอาบน้ำด้วยไหม?” “ไม่ต้องมายุ่ง อาบเองได้” “งั้นก็รีบไปอาบ ถ้าช้าฉันจะอาบให้จริงๆ ด้วย” คำขู่ของสีคราม ทำให้ฉันต้องผลักตัวเขา แล้วก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันที หากเขาทำจริงขึ้นมา ไอ้บ้าสีคราม อย่างให้ถึงทีฉันบ้างนะโว้ย!! เวลา 01.21 นาฬิกา ฉันมองฝ้าเพดานสีขาวท่ามกลางความมืด เสียงสายฝนกระทบตึกสูงไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง อากาศหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศ และความชื้นจากสายฝน ไม่ส่งผมให้เจ้าของห้องรู้สึกสะทกสะท้านสักนิด สีครามใส่กางเกงนอนขายาวเนื้อบางและเสื้อยืดตัวโคร่ง ไม่ได้ห่มผ้าเพราะฉันยึดมันมาพันตัวไว้เรียบร้อย กว่าเราสองคนจะได้นอน ก็นั่งเถียงจนคอเป็นเอ็นเสียยกใหญ่ เรื่องของเรื่องคือฉันไม่อยากนอนร่วมห้องกับผู้ชายใจร้าย เลยหาข้ออ้างสารพัดเพื่อให้ตัวเองได้กลับบ้าน และพยายามเถียงให้สีครามรำคาญจนเขาอยากจะออกไปนอนข้างนอก แต่สิ่งที่ฉันทำลงไปก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สีครามข่มขู่ฉันด้วยคลิปวิดีโออีกครั้ง ว่าถ้าหากยังดึงดันหรือเถียง เขาจะลงมือปล่อยคลิปเสียตั้งแต่ตอนนี้ สุดท้ายฉันก็เป็นผ่านยอมอีกจนได้ พร้อมกับยึดผ้าห่มม้วนพันรอบกาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายเหมือนวันนั้น “คิดว่าชอบแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอวะ ไอ้โรคจิต!!” ฉันพลิกตัวหันตะแคงข้างไปด่าเขาด้วยเสียงลมในลำคอ มองหน้าคนที่แอบชอบขณะหลับใหล ก่อนจะเอื้อมมือพยายามบีบจมูกเขาให้หายโมโห แต่ก็ต้องชดึงมือกลับเพราะกลัวว่าอีกคนจะตื่นขึ้นมาและปล่อยคลิปวิดีโอ ฉันอยู่ห่างจากสีครามเพียงแค่ลมหายใจกั้นกลางเท่านั้น แอบชอบมาตั้งหลายปี ไม่คิดว่าเขาจะหันมาสนใจเลยด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรสีครามหันมาสนใจฉัน แต่แลกด้วยการมีอะไรกับเขาเพียงชั่วข้ามคืน...ถ้ารู้ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ ฉันจะไม่มีทางไปชอบเขาแน่ๆ หากไม่มีใจหรือรู้สึกชอบกัน ทำไมต้องเข้ามาพัวพัน และยื้อฉันไว้แบบนี้ด้วยคลิปวิดีโอนั่นด้วย เขาทำแบบนี้ไปทำไมกัน ฉันลืมตาขึ้นมาในตอนเช้าขณะที่สายฝนตกปรอยลงมาเป็นระยะ สภาพฉันในตอนนี้คือใต้ตาคล้ำและผมยุ่งเหยิงเพราะนอนดิ้น จนผ้าห่มที่ม้วนกายเมื่อคืนหลุดลงไปกองอยู่บนพื้นห้อง ยันกายลุกขึ้นพลางมองไปรอบห้อง ไม่มีวี่แววของเจ้าของ ได้โอกาสหนีออกจากที่นี่ แต่ถ้าออกไปในสภาพแบบนี้มีหวังคนอื่นได้ตกใจแน่นอน อยากจะเปลี่ยนกลับไปใส่เสื้อผ้าตัวเดิม แต่สีครามก็เอาไปส่งซักเมื่อคืน เหลือก็แต่เสื้อในและกางเกงในที่ซักแต่ตากเอาไว้ ป่านนี้มันคงจะแห้งและสามารถสวมปกปิดด้านใน แล้วก็ใส่เสื้อของสีครามทับออกไปอีกที ฉันรีบไปหยิบชุดชั้นในสวมใส่ ทับด้วยเสื้อและกางเกงของสีคราม ท้องฟ้าด้านนอกส่งสัญญาณว่าอีกประเดี๋ยวคงได้มีหยดน้ำตกลงมาไม่ขาดสาย ทันใดนั้นเมื่อฉันส่องตัวเองในกระจกและหมุนกายสำรวจ “เอาวะ กลับสภาพนี้ก็ได้” ฉันพึมพำกับตัวเองก่อนจะก้าวออกจากห้องนอน และไปเอื้อมมือไปเปิดประตูบานใหญ่ของห้อง ทว่า...กึ่กๆๆ!! “ทำไมเปิดไม่ออกอะ” ประตูล็อก...ถึงแม้ว่าลูกบิดประตูจะสามารถเปิดออก แต่ด้านนอกมีแม่กุญแจคล้องบานประตู ทำให้ฉันไม่สามารถเปิดประตูได้ “ไอ้บ้าสีคราม ล็อกประตูทำไมวะ กูจะกลับหอโว้ย ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต!!” ฉันทุบประตูและตะโกนเรียกชื่อเจ้าของห้องด้วยความหงุดหงิด พร้อมกับใช้เท้าเตะประตูอย่างหัวเสีย ผู้ชายคนนี้มันจะอะไรนักหนากับฉันวะ...ทำตัวเป็นโรคจิตแบล็กเมลไม่พอ นี่ยังเล่นบทจำเลยรักนายหัวกับโสรยาอีกหรือไง เอออะขู่ เอะอะกักขังหน่วงเหนี่ยว แบบนี้มันน่าแจ้งตำรวจให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถ้าฉันแจ้งตำรวจ แล้วสีครามปล่อยคลิปขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ ถ้าให้เลือกทางไหนฉันก็เสียเปรียบผู้ชายคนนี้ทุกทาง จะให้ปรึกษาปรายฝนก็ไม่กล้า แล้วถ้าปรึกษาพ่อกับแม่ฉันก็กลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่จนไฟลามทุ่ง โอ๊ย...ไอ้ฮาร์ท ทำไมชีวิตถึงได้ซวยแบบนี้วะ “ไอ้บ้าคราม!” ฉันตะโกนต่อว่าบานประตูอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องเปิดออก พร้อมสีครามในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งสีดำกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า มีที่คาดผมสีชาคาดเส้นผมด้านหน้าไม่ให้ปรกบริเวณหน้าผาก เขาผงะตัวเล็กน้อย และแสดงสีหน้างุนงงกับการกระทำของฉัน “อะไรของเธอ?” “เราต่างหากที่ควรถาม ว่าทำไมถึงจับเราขังแบบนี้!” กำมือแน่น ตะคอกเสียงใส่ใบหน้าของอีกคน แต่เขาไม่ได้แสดงถึงความหวาดกลัว หรือรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปสักนิด เขาเดินเข้ามาและปิดประตูลงกลอนอีกครั้ง “เดี๋ยวเธอหนีฉันแบบวันนั้นอีกไง” “แต่เราจะกลับหอไง” “กินข้าวก่อน เดี๋ยวไปส่งตอนบ่าย” ผู้ชายนิสัยไม่ดีตรงหน้าจูงมือฉันไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวติดกับห้องครัว เขาวางถุงโจ๊กที่พึ่งไปซื้อจากด้านล่างหอพัก พร้อมกับปาท่องโก๋อีกหลายตัว อีกทั้งมีโอวัลตินร้อนหนึ่งถุง เขาเดินไปหยิบชามจากในครัวออกมา พร้อมเทโจ๊กก่อนจะเลื่อนมาให้ฉัน แม้ท้องจะร้องดังแค่ไหน แม้จะต้องกลืนน้ำลายสักกี่ครั้ง ฉันก็ไม่มีวันกินโจ๊กที่ผู้ชายคนนี้ซื้อให้หรอก แค่โจ๊กหมูแต่นี้ มันไม่ทำให้ฉันใจอ่อน อยากจะหยิบชอ้อนตักกินหรอกนะ! “กินไปเถอะ ฉันไม่ได้วางยาเธอหรอก” กลัวเสียหน้าก็กลัว แต่เรื่องปากท้องมันก็สำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง ฉันยึดถือคำพูดที่ว่า ‘กองทัพต้องเดินด้วยท้อง’ เสมอ หากฉันหมดแรงหมดกำลัง คงไม่มีทางสู้สีครามได้ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจหยิบช้อนและตักโจ๊กเข้าปากทันที ระหว่างทานอาหารมื้อนี้ ฉันคอยลอบมองอีกคนว่ามีท่าทีอย่างไร “อิ่มแล้วหรือไง? ถึงได้มองอยู่ได้” “บ้า! ใครเขาจะไปมองกัน มั่วแล้ว” ฉันหลบสายตาคู่นั้น หันไปมองนอกหน้าแก้เก้อ ถูกสีครามจับได้เสียว่าฉันเผลอแอบมองเขาขณะกินข้าวมือเช้า แม้จะรู้ตัวว่าถูกจับได้และโกหกไม่เนียนว่าไม่ได้แอบมอง สีครามได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหัว ส่วนฉันก็หยิบช้อนตักโจ๊กเข้าปากแทน ความเงียบก่อนตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ สีครามก็ทำหน้าที่เก็บชามไปล่าง โดยปล่อยให้ฉันนั่งงงอยู่บริเวณส่วนโซฟาห้องนั่งเล่น เมื่อเขาล้างจานเสร็จ...ร่างสูงก็ก้มมาหยิบรีโมทและเลื่อนรายการทีวีเป็นช่องอื่นแทน เขานั่งดูทีวีด้วยท่าทีสบายอกสบายใจไม่ทุกข์ร้อน คงเป็นฉันคนเดียวที่รู้กสึกอึดอัดและลำบากใจเช่นนี้ จึงได้ตัดสินใจพูดความรู้สึกที่มีออกไป “นี่ ทำแบบนี้ทำไม?” ฉันหันหน้าไปมองเขา ก่อนที่สีครามจะหันหน้ากลับมามอง เขาไม่ตอบคำถาม เพียงแค่ใช้สายตาจ้องมองฉันก่อนจะหันกลับไปดูทีวีตามเดิม ไม่สนใจคำพูดของฉันเสียด้วยซ้ำ ส่วนฉันก็นั่งกัดฟัน ขบคิดว่าควรจะพูดอย่างไรต่อไปถึงจะให้สีครามหันมาสนใจฉันได้ “ทำแบบนี้ต้องการอะไร แบบนี้เราแจ้งตำรวจได้นะ ระวังติดคุกไม่รู้ด้วย” ขู่ขนาดนี้ยังจะหน้าด้านเฉยอยู่อีก! “นี่! ไม่กลัวตำรวจเลยหรือไง” “จะกลัวทำไม ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” “ก็ที่ทำกับเราอยู่เนี่ยมันผิด เรามีลูกมีพ่อมีแม่นะเว้ย บังคับให้เราอยู่ด้วยแบบนี้ มันต้องโดนสักข้อหาแหละ!” “นอนกับแฟนตัวเอง มันผิดกฎหมายด้วยหรือไง?” คำตอบของเขาทำให้ฉันไปไม่เป็น กะพริบตาถี่ๆ พยายามประมวลผลจากคำพูดของผู้ชายตรงหน้า เมื่อแน่ชัดกับคำตอบฉันก็รีบโวยวายออกไปทันที “แฟนอะไร อย่ามามั่วไปไหม ฟงแฟนอะไรมั่วซั่วแล้ว!” เขาเลิกคิ้วแสดงออกมาอย่างยียัว “อ๋อลืมไปว่าไม่ใช่แฟน...แต่คนมีอะไรกันแล้วมันต้องเรียกว่าเมียต่างหาก เนอะ” แย่แล้วไอ้ฮาร์ท คำพูดแบบนี้มันทำให้ใจของฉันสั่นและทำงานหนักจนจะพังอยู่รอมร่อ แต่เขาก็ยิ้มร้ายพร้อมกับเลื่อนใบหน้าเข้ามาจูบฉันและถอนออกไป ฉันรู้สึกได้ถึงความร้อนจากใบหูและแก้มทั้งสองข้าง เช่นเดียวกับดวงตาที่มองเขาอย่างสับสน แม้ว่าฉันจะแสดงว่าเขินอายมากแค่ไหน แต่ความโกรธ ขุ่นเคืองใจ ไม่สามารถปกิดได้มิด “พูดแค่นี้หน้าแดงเลยเหรอคะ หื้ม?” สีครามร้ายกาจเกินไปแล้ว “ไม่แดงนะ” ถึงจะปฏิเสธด้วยคำพูด แต่หลักฐานบนใบหน้าฉันยังคงอยู่ การเม้มปากเช่นนี้มันแสดงออกถึงความประหม่าและความไม่มั่นใจ ฉันพยายามสู้กับผู้ชายตรงหน้า แต่ใจของฉันมันกลับไม่ให้ความร่วมมือ เกลียดสิ ด่าเขาอีกเป็นพันๆ รอบ สู้ผู้ชายคนนี้ให้ได้ สีครามพูดจาโมเม หาว่าเธอเป็นแฟน และพูดจาเลยเถิดว่าเมียอีกต่างหาก...ไม่ใช่นะ ฉันไม่ใช่เมียอย่างที่ครามว่าสักหน่อย “เราเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะคราม คิดอยากจะพูดอะไรแบบนี้ก็ได้เหรอ ฮึก...” “นี่ครามพูดเหมือนเราเป็นผู้หญิงง่ายเลยอะ ยอมนอนกับผู้ชาย ยอมให้ครามพูดว่าเราเป็นเมีย ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเราจะชอบคราม แต่ไม่เห็นต้องมาเล่นกับความรู้สึกของเราแบบนี้เลย ครามช่วยเห็นใจเราหน่อยได้ไหม ถ้าการที่ครามจะพาเรามานอนที่นี่ด้วยเพราะคิดว่าเราง่าย หรือพูดจาแบบนี้ ขอร้องล่ะอย่าทำอีกเลย...เราไม่อยากเป็นคนแบบนั้นในสายตาครามจริงๆ นะ” ฉันร้องไห้เพราะเขาอีกแล้ว นอกจากฉากเศร้าในหนังรักโรแมนติก ไม่ก็ไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้ฉันเสียน้ำตาได้มากขนาดนี้ เขาพูดเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนเหมือนเรื่องล้อเล่น โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใจของเขาคิดยังไงกันแน่ สีครามหันหน้าและจับตัวฉันให้เผชิญหน้ากับเขา ฉันไม่คิดแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขา ไม่อยากมองดวงตาคู่นั้นให้ตัวเองรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว “เงยหน้าหน่อยใจ ทำไมร้องไห้เก่งแบบนี้วะ” เขาพูดพลางลูบหัวฉันไปด้วย “ฮึก..ก็เพราะใครเล่า!” เป็นความผิดของสีครามที่ทำให้ฉันตกหลุมรักและโกรธได้ในเวลาเดียวกัน “ที่ทำแบบนี้ฉันมีเหตุผล” “เหตุผลอะไร?” “อยากรับผิดชอบ” “ถ้าครามรับผิดชอบเพราะรู้สึกผิด...จริงๆ ไม่ต้องก็ได้ เราบอกแล้วไง คิดซะว่ามันเป็นแค่วันไนท์สแตนด์ เราไม่เป็นอะไรเลย เรื่องแค่นี้เราสบายมาก..ฮึก” เรื่องแบบนี้ถ้าต่างคนต่างลืม มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฉันสามารถลืมเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ เพียงแค่สีครามไม่เข้ามาก้าวก่าย หรือเข้ามาในชีวิต “ไม่ได้เพราะรู้สึกผิด แต่เพราะเป็นใจต่างหาก ถึงอยากรับผิดชอบ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม