CHAPTER 01
‘คุณหนูเมเบล’ เป็นชื่อที่ทุกคนเรียกฉัน เป็นคำนิยามที่เมื่อใครเอ่ยขึ้นมาแล้วจะคาดหวังว่าฉันจะต้องเป็นคนที่เพอร์เฟ็กส์ทุกระเบียบนิ้ว
และใช่..
ฉันถูกเสี้ยมสอนให้เป็นคนที่อยู่ในกรอบมาโดยตลอด
เมื่อมีความสุขฉันยิ้มได้เพียงแค่มุมปาก เมื่อเศร้าฉันทำได้แค่ร้องไห้เงียบ ๆ และเมื่อโกรธฉันก็ทำได้แค่นิ่งและค่อย ๆ ให้ความรู้สึกนั้นจางหายไปเอง
“เมเบล วันนี้ฉันเห็นคู่หมั้นแกควงดาวสายการบินไปกินข้าวเที่ยงด้วยแหละ”
‘อีฟ’ เพื่อนร่วมห้องที่เรียนกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
ฉันเก็บอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างใส่กระเป๋าแล้วเงยหน้าไปมองเพื่อนที่หยิบข่าวสารมาบอกกัน
“อื้ม เราจัดการได้”
นั้นคือคำตอบที่ฉันมักจะตอบเพื่อนไปแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“พรุ่งนี้มีนัดทำรายงานบ่ายโมงตรงแกอย่าลืมนะ ฉันจะรอดูคู่หมั้นแกมาส่งนะ”
อีฟยิ้มให้ฉัน แม้จะดูเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันแต่ทุกคนที่อยู่รอบตัวฉันไม่มีใครจริงใจกับฉันสักคน ทุกคนล้วนเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ ไม่จากฉันก็จากครอบครัวฉัน แค่นั้นเลย
ฉันหยิบมือถือออกมาต่อสายหา ‘คริส’ คู่หมั้นที่ถูกจับหมั้นตั้งแต่ฉันลืมตาขึ้นมาดูโลก แต่คริสกลับไม่รับสายกัน
ฉันไม่ได้แสดงท่าทีโกรธหรือโมโหแต่อย่างใดเพราะถูกฝึกมาเยอะจนกลายเป็นคนเย็นชา
ไม่ถึงห้านาทีรถสีดำคันหรูที่คุ้นเคยก็ขับมาจอดรออยู่หน้าคณะ
ประตูรถฝั่งคนขับถูกเปิดออกปรากฏให้เห็นชายร่างสูงที่มีหูฟังอินเทอร์คอมเสียบไว้ที่หูเสมอ
เขายืนตัวตรงแล้วมองตรงมาที่ฉันด้วยสายตาที่ถือดีพอสมควร แตกต่างจากบอดี้การ์ดคนอื่นที่มักจะเคารพฉันแต่ ‘ฮาร์ดิน’ ไม่ใช่หนึ่งในนั้น
เขาเป็นบอดี้การ์ดที่มีอำนาจและถือดีจนฉันอยากกางเล็บแล้วข่วนใบหน้าหล่อ ๆ นั้นให้เละคามือ
เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ฉันมีอารมณ์โกรธทุกครั้งที่ขัดขืนเขาไม่ได้
“ขึ้นรถครับ ผมจะไปส่งคุณแทนคุณคริส”
แม้จะฟังดูเหมือนพูดสุภาพแต่สายตาที่มองมากลับแปลได้อีกความหมาย
‘รีบขึ้นรถมา ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน’
นั้นคือความหมายที่ฉันแปลได้จากผู้ชายคนนี้
“ฉันจะกลับบ้านเอง”
ฮาร์ดินไม่ไหวติง เขาจ้องฉันอย่างดุดันแล้วบีบบังคับฉันผ่านสายตาคู่ดุคู่นั้น
“คุณก็รู้ว่าถ้าผมรายงานพ่อคุณว่าคุณไม่กลับกับคู่หมั้นตัวเองจะเกิดอะไรขึ้น”
แววตาฉันมีกระแสความไม่พอใจแสดงออกเพียงเล็กน้อยก่อนจะกลืนหายไป
“แต่พี่คริสไม่ได้เป็นคนมารับฉัน”
“ผมเป็นตัวแทน”
ฮาร์ดินแย้งขึ้นเสียงแข็ง แววตาเขาเริ่มหมดความอดทน
ผู้ชายคนนี้ความอดทนต่ำและอารมณ์ฉุนเฉียว
ฉันเมินสายตาจากคนตรงหน้าแล้วเดินไปหน้ารถที่จอดอยู่
ฮาร์ดินเปิดประตูรถให้ฉัน ฉันจ้องมือที่กำประตูรถเอาไว้ก่อนจะลากสายตาขึ้นไปมองหน้าผู้ชายที่ใบหน้าคมชัดแทบทุกส่วน
“นายเป็นบอดี้การ์ด อย่าลืมสิ”
พูดเพียงเท่านั้นฉันก็ขึ้นไปนั่งประจำที่ของตัวเอง
ฮาร์ดินปิดประตูแล้วขึ้นมานั่งตำแหน่งคนขับรถของตัวเอง
“วันนี้ผมได้รับคำสั่งให้พาคุณไปลองชุดคอลใหม่ของน้องสาวคุณคริส เตรียมตัวไว้ด้วยครับ”
“ฉันจะไปกับพี่คริส ฉันไม่ได้จะไปกับนาย”
น้องสาวพี่คริสเปิดร้านเสื้อผ้าแบรนด์ตัวเอง เธอเป็นเด็กอายุน้อยที่มีพรสวรรค์ด้านการออกแบบเลยเปิดร้านเสื้อผ้าตั้งแต่อายุยังน้อย
ส่วนพรีเซ็นเตอร์แบรนด์ก์ก็เป็นฉันที่เป็นคู่หมั้นของพี่ชายเธอ
“นี้เป็นคำสั่งครับ ผมไม่ได้ถามความเห็น”
ฉันกำมือเข้าหากระโปรง จิกปลายเล็บลงไปเพื่อเป็นการระบายความโกรธทั้งที่ใบหน้ายังเรียบตึงเหมือนเดิม
สักวันหนึ่งฉันจะต้องกรี๊ดใส่หน้าฮาร์ดินให้ได้
คอยดูเถอะ
ฮาร์ดินขับรถพาฉันมาถึงร้านที่มีเพียงพนักงานที่มาดูแลเรื่องเสื้อผ้าเพื่อหาไซซ์ที่เข้ากับฉันเพื่อถ่ายแบบโปรโมทสินค้า
“คุณเมเบลลองตัวนี้ดูนะคะแล้วออกมาให้ดิฉันดูว่าต้องแก้ส่วนไหนบ้าง”
“ค่ะ”
เมแกนพนักงานที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้ายื่นชุดคอลใหม่มาให้ฉันลองใส่ ฉันรับชุดนั้นมาแล้วเดินเข้าห้องลองชุดโดยมีฮาร์ดินเดินตามมาเฝ้าถึงหน้าห้อง
“เข้าไปดูฉันเปลี่ยนในห้องลองเลยมั้ยคะ เผื่อคุณจะกลัวว่าตัวเองจะทำงานบกพร่อง”
ปากฉันเริ่มเก็บเอาไว้ไม่อยู่
ฮาร์ดินดันลิ้นเล่นกับกระพุ้งแก้ม เขาเกาหัวคิ้วตัวเองเบา ๆ ก่อนจะดันฉันเข้าห้องลองเสื้อพร้อมตัวเอง
“ออกไป”
ฉันถอยหลัง ฮาร์ดินกดล็อกห้องแล้วเดินต้อนจนฉันชิดกับกำแพงห้อง
“เหมือนคุณจะท้าผม”
ฮาร์ดินจ้องหน้าอย่างท้าทาย เขายื่นมือมาขังฉันเอาไว้ทั้งสองข้าง
ฉันกำชุดที่อยู่ในมือเอาไว้แน่น
“ฉะ ฉัน..”
เมื่อถึงทางตันฉันกลายเป็นคนดีแต่ปาก
ฮาร์ดินบิดยิ้ม เวลาเขากวนประสาทเขาสามารถทำให้ฉันคลั่งได้เลย แต่เวลาเขาดุ แววตาจะเย็นชาและน่ากลัวจนฉันไม่กล้าพยศใส่
“คุณปากดีทั้งที่รู้ว่าผมเอาจริง”
ฉันหายใจติดขัด ฮาร์ดินขยับนิ้วแตะตรงกระดุมเม็ดแรกของเสื้อนักศึกษาที่ฉันใส่อยู่
“ฮาร์ดิน ถ้านายยังล้ำเส้นไม่เลิกฉันจะฟ้องพี่คริส!”
เสียงฉันเริ่มเข้มขึ้นแต่คนตรงหน้าไม่ได้แยแสแต่อย่างใด
ฮาร์ดินยกยิ้มอย่างดูแคลน สายตาเขาย่ำยีจนฉันรู้สึกร้อนผ่าว
“หน้าที่ดูแลคุณคือผมทั้งที่ควรเป็นคู่หมั้นคุณแต่เขายกให้ผมจัดการทุกอย่างได้อย่างไม่มีข้อจำกัดแล้วคุณคิดว่าถ้าคุณฟ้องเขาจะแยแสคุณมั้ย?”
ฮาร์ดินใช้คำพูดที่จี้ใจดำจนฉันโกรธจนร่างกายสั่นเทาแต่กลับระเบิดอารมณ์ออกมาไม่ได้
แต่ฉันกลับไม่อยากอดทนน่ะสิ
ฉันดึงมือฮาร์ดินที่แตะกระดุมเสื้อฉันอยู่ขึ้นมากัดจนจมเขี้ยวเพื่อระบายความโกรธแค้นของตัวเองก่อนดันออกไปแล้วมองผลงานตัวเองที่ต้นแขนเขามีรอยฟันฉันอยู่
“เก็บกดมากสินะครับ คุณหนู”
มือหนาที่มีรอยฟันขยับมากุมใบหน้าฉันเอาไว้
“ผมชักอยากเห็นแล้วสิว่าคุณจะทนถูกทิ้งได้นานสักเท่าไหร่กัน”
ฮาร์ดินทิ้งคำพูดใจร้ายเอาไว้แล้วเดินออกจากห้องไปเหลือทิ้งไว้แค่ฉันกับชุดในมือที่ตอนนี้ฉันยกมันขึ้นมาอุดปากแล้วกรี๊ดใส่แบบไร้เสียงเพื่อระบายออกมาราวกับคนเก็บกด
Talk
เรื่องนี้ไรต์ตั้งใจแต่งเพื่อพัฒนา Nc ของตัวเองนะคะ ะนั้นเรื่องราวของสองคนนี้ก็จะค่อนข้างแซ่บซี๊ดส์กว่าเรื่องอื่น ๆ
ใครชอบรีบกดติดตามเลยน้า ><