เพราะเมื่อวานเจ้าของฟาร์มมาแบบกระทันหัน ฉันเตรียมตัวแทบไม่ทัน เมื่อแม่กับพ่อกลับจากในเมืองฉันรีบขอตัวรีดชุดสครับกับชุดหมีสำหรับเข้าฟาร์ม เตรียมใส่กระเป๋าเป้
ก่อนออกจากบ้านเช้านี้ฉันกินข้าวฝีมือแม่ หิ้วข้าวกล่องอาหารกลางวันที่แม่เตรียมไว้ให้เอาไปด้วย แม้ฟาร์มกับบ้านจะใกล้กันแต่ก็ไม่ควรเข้าออกบ่อย ให้เสี่ยงต่อการนำเชื้อโรคเข้าฟาร์ม
และในฐานะที่พ่อของฉัน นอกจากจะเป็นกำนันแล้วยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นมัคทายกอยู่กับหลวงตามาหลายปี ฉันคิดว่าพ่อน่าจะพอมีวิชาอยู่บ้าง
"พ่อคะ...เป่ากระหม่อมเอาฤกษ์เอาชัย ท่องคาถาเมตตามหานิยมให้หน่อยค่ะ เจ้านายจะได้รักจะได้หลงหัวปักหัวปำ"
"อื้ม..."
พ่อถอนหายใจออกมาซะดังคงจะนึกรำคาญฉัน แต่ก็ยอมทำโดยดีพนมมือบริกรรมคาถา ทำปากขมุบขมิบท่องนะโมสามจบก่อนจากนั้นร่ายคาถายาวเหยียดจนถึงท่อนสุดท้าย พ่อก็เป่าพรวดจนน้ำลายฝอยออกมา ดีนะที่ฉันเป็นมวยยกมือท่วมหัวบังไว้ก่อน
"เพี้ยง...สาธุ"
"ตั้งใจทำงานนะลูก"
นี่พรของแม่ใช่ไหมฉันยกมือไหว้แม่ก่อนออกจากบ้าน ถือเคล็ดด้วยการก้าวเท้าซ้ายออกไปก่อน
"ค่ะแม่...หนูตั้งใจอยู่แล้วหนูไหวลูกแม่เก่งจะตาย"
ฉันเอาของใส่ในช่องลับใต้เบาะ เสียบกุญแจรถฟีโน่คู่ใจกดปุ่มสตาร์ทบิดคันเร่งมุ่งหน้าสู่ ไร่ภูเคียงเดือน
@ ไร่ภูเคียงเดือน
ไร่ภูเคียงเดือนอยู่ห่างจากบ้านของขวัญชีวาราว ห้าร้อยเมตรโดยประมาณ เมื่อเห็นป้ายบอกชื่อฟาร์มตัวใหญ่ด้านซ้ายมือจึงเลี้ยวเข้าไป แต่ก่อนจะเข้าด้านใน ต้องจอดรถให้พนักงานพ่นยาฆ่าเชื้อที่รถเสียก่อน
"ติดต่อใครครับ" พนักงานสอบถาม
"ดิฉันหมอขวัญชีวาสัตวแพทย์มาทำงานวันแรกค่ะ"
"อ้อ...เชิญครับ ออฟฟิศอยู่ซ้ายมือ คุณภูเบศร์ผู้จัดการฟาร์มน่าจะถึงแล้วนะครับ"
"ค่ะ...ขอบคุณค่ะ"
ขณะนี้ฉันเข้าถึงด้านในฟาร์มเรียบร้อยแล้ว จากที่เคยแค่มองผ่านตามานานหลายปี ตัวไร่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้านซ้ายมือเป็นพื้นที่ของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ด้านขวามือตั้งแต่เชิงเขาจนถึงภูเขาทั้งลูกเขียวขจีเป็นพื้นที่ปลูกชา และมีบ้านหลังใหญ่อยู่ตรงเนินเขา
ฉันเลี้ยวซ้ายเข้าพื้นที่ฟาร์มต้องแปลกใจกับความใหญ่โตโรงเรือนขนาดใหญ่เรียงราย มีต้นไม้ปลูกแซมเขียวจี
@ออฟฟิศสำนักงาน
ก็อก...ก็อก...ก็อก ไปถึงฉันเคาะประตูด้านนอกก่อน แอบส่องเข้าไปด้านใน ที่มีผู้ชายนั่งทำงานอยู่น่าจะเป็นผู้จัดการฟาร์มที่เขาว่า
"เชิญครับ"
ฉันก้าวขาเข้าด้านในทันที่ที่ได้รับอนุญาต "สวัสดีค่ะ ขวัญชีวาค่ะ"
สุภาพบุรุษตรงหน้าผายมือให้ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกัน เผยยิ้มเป็นมิตรชวนคุย ฉันนึกในใจผู้จัดการฟาร์มทำไมถึงได้ดูดีขนาดนี้
"คุณหมอขวัญชีวายังเด็กอยู่เลยนะครับ"
"ขวัญอายุยี่สิบสี่จะยี่สิบห้าแล้วค่ะคงไม่เด็กแล้วล่ะค่ะ กว่าจะเรียนสัตวแพทย์จบก็เข้าเบญจเพศพอดี"
"จริงสิครับพวกหมอเขาเรียนกันหกปี แต่ผมหัวไม่ไปสอบได้แค่สัตวบาลก็โอเคแล้วครับ"
ฉันดีใจที่ได้พบกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์จะสัตวแพทย์หรือสัตวบาลก็วงการเดียวกันคุยกันง่าย ถูกคอเสียด้วย
ขณะที่ฉันกำลังสานสัมพันธ์กับหนุ่มตรงหน้าอยู่ดีๆ พลันมีเสียงคนเดินกุกกัก พร้อมกับเสียงช้อนกระทบแก้วดังเข้ามาใกล้ กลัวจังว่าแก้วใบนั้นจะแตกคามือ
ในจังหวะที่รอลุ้นว่าเขาคือใครหัวใจฉันเต้นแรงอีกครั้ง เมื่อพบกับลุงที่หล่อระเบิด สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนผูกเนคไทเข้ากับสีเสื้อสวมกางเกงสแล เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า
เผลอหลุดคำพูดออกไป "เจ้าของฟาร์มหรือพนักงานแบงค์กันแน่"
ปิติที่มัวแต่ดีใจไม่ทันได้ฟังว่าหญิงสาวพูดอะไร
เขาฉีกยิ้มกว้างดูก็รู้ว่าดีใจขนาดไหน ลากเก้าอี้อีกตัวนั่งข้างผู้จัดการฟาร์ม
"อ้าว...คุณหมอตัวเล็กมาแล้ว ภูเซ็นสัญญาหรือยังเก็บประวัติไว้ด้วยนะ ถ้าเบี้ยวทิ้งงานเราจะได้ฟ้องร้องได้ถูก มีหลักฐานมัดตัวรับรองดิ้นไม่หลุด"
แหม...ตาลุงเขี้ยวลากดิน ฉันเก็บอารมณ์ไว้ก่อนยกมือไหว้เขาในฐานะเจ้านาย
"สวัสดีค่ะคุณปิติ ถ้าไม่บอกว่าเป็นเจ้าของฟาร์มหนูนึกว่าเป็นทนายเขี้ยวลากดินซะอีก"
ปิติยืดอกนั่งหลังตรงสีหน้าบ่งบอกว่าโกรธ กระดกกาแฟทีเดียวหมดแก้ว ทั้งที่ยังร้อนๆ
"เดี๋ยวปากพัง"
เขาวางแก้วลงคว้าขวดน้ำเปล่ามาดื่มเพื่อดับพิษร้อน ยัยตัวเล็กนี่แสบใช่เล่นแต่เขามีงานไว้รอเธอแล้ว ยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะสะกิดที่สีข้างผู้จัดการระหว่างที่เขารวบรวมเอกสารประวัติการทำงาน
"ภูลูกสุกรมาส่งกี่โมง"
ภูเบศร์พลิกข้อมือดูเวลา "แปดโมงเช้าครับอีกเดี๋ยวคงมาถึง"
ฉันควรจะรู้สึกอย่างไรดี ตาลุงที่ฉันว่าจะจีบเอามาทำสามีหล่อเท่ห์ทรงลุงถูกใจที่นั่งยิ้มอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ติดว่าหล่อล่ะก็อย่าหาว่าขวัญชีวาใจร้ายก็แล้วกัน
"สุกรขุน2500ตัวคุณสองคนประสานงานกันดีๆแล้วกัน ผมมีธุระต้องเข้าจังหวัดเช้านี้"
จู่ๆเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้จับเนคไทให้เข้าที่เข้าทางเหล่ตามาที่ฉัน มองดูก็รู้ว่าเขาทำสายตาดูถูกเหยียดหยาม
"ตัวเล็ก...ไหวหรือเปล่า"
ฉันช้อนตาประสานสายตากับเขา ชนิดที่ไม่ยอมให้สบประมาทง่ายๆ พูดเสียงหนักแน่นว่า
"ไหวค่ะ...ดิฉันสัตวแพทย์หญิงขวัญชีวา ทำได้สบายอยู่แล้วเชื่อหมอเถอะค่ะ หมอเรียนมา"
เจ้าของฟาร์มพยักหน้า เมื่อได้คำตอบที่พอใจทำท่าจะจากไป ฉันจึงชวนคุณภูเบศร์คุย
"ทำไมเราไม่เพาะพันธุ์เอง ซื้อพันธุ์ลูกสุกรมาแบบนี้ก็ต้นทุนก็สูงสิคะ"
ภูเบศร์กำลังจะตอบแต่ไม่ทัน ปิติผู้มีโสตประสาททางการได้ยินเป็นเลิศ เดินย้อนกลับมาอีกครั้ง ดีดนิ้วดังเป๊าะต่อหน้าคนทั้งสอง
"ใช่แล้ว...ในเมื่อเรามีสัตวแพทย์ตัวเล็กเป็นของตัวเอง เราก็สามารถเพาะพันธุ์เองได้ ทำคลอดเองได้"
"ทำเลย...ตอนนี้มีหมอแล้ว"
"ตัวเล็ก...อยากได้เครื่องไม้เครื่องมืออะไรหรือต้องใช้ยา ต้องเตรียมอะไรเพิ่มผมไม่อั้น ทำรายการมา"
ปิติที่ทำท่าจะไปชะงักเท้าอีกครั้งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผู้จัดการฟาร์ม ทำสายตาเป็นประกายเหมือนนึกอะไรออก
"ภู... เดี๋ยวเสร็จเรื่องลูกสุกรแล้วช่วยรื้อโปรเจคฟาร์มโคนมไว้รอผมด้วยนะ บ่ายๆผมจะกลับ"
"บาย...ตัวเล็ก"
เจ้าของฟาร์มกระดี๊กระด๊าเดินจากไปในมือถือกระเป๋าเอกสารไปด้วย ผิวปากอย่างอารมณ์ดี
ส่วนฉัน...ฉันอยากจะร้องไห้ ฟาร์มโคนมบวกฟาร์มหมูร่างฉันจะรับไหวไหมเนี่ยแอบโกรธเขาขึ้นมา ตอนนี้ไม่เอาแล้วทรงลุงจะหล่อถูกใจขนาดไหน ถ้าเขี้ยวลากดินขนาดนี้ฉันคงต้องขอลา อยากจะฉีกสัญญาทิ้งก็ไม่ทันเสียแล้วหนึ่งปีเชียวนะขวัญชีวา
ภูเบศร์เห็นหญิงสาวใบหน้าดูซีดๆยื่นมือแตะที่หลังมือนุ่ม ให้กำลังใจ
"ผมจะช่วยคุณเองคุณหมอตัวเล็ก"
ออนไรท์
สงสารคุณหมอตัวเล็กจังค่ะ ลุงนี่ก็ช่างใจร้ายทำกันได้ลงคอ ตอนนี้ต้องร้อง มอ..มอ..ผสมอู๊ด...อู๊ด แล้วล่ะมั้ง