ตอนที่ 10
ใบหน้าคมคร้ามชักสีหน้าออกอาการไม่พอใจ ดวงตาคมคายมองต่ำดุดันเนื่องจากอารมณ์หึงหวงหรือไรไม่อาจทราบได้ หลังเห็นนายตำรวจในชุดสีกากีพูดคุยทำทีใกล้ชิดสนิทสนมบุหงา เสื้อผ้าเปียกชื้นแนบไปกับลำตัวอวดทรวดทรงองค์เอวของเรือนกายระหง นั่งกอดเข่าตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บอยู่ภายในห้องขัง
หลังส้มป่อยมารายงานว่านังบุหงามันถูกตำรวจจับในวงไพ่ไม่มีคนไปประกันตัว เขาก็รีบบึ่งมาหาทันที พลางขบคิดในใจว่ามันช่างหาเรื่องใส่ตัวดีแท้ เขาไม่เคยเห็นแม่หญิงนางใดหาเรื่องเดือดร้อนมาสู่ตนได้เก่งเยี่ยงนาง
“พ่อครู...” บุหงาทำสายตาอ้อนวอนหลังได้รับการประกันตัว เธอเดินขัดแข้งขัดขาเขาเสียจนแทบล้มหน้าคะมำ
“อะไร...เอ็งเลิกเดินขัดขาข้าเสียที เดินเกาะแกะจนข้าเดินไม่สะดวกผ้าขาวม้าข้าจะหลุดจนโชว์ความยิ่งใหญ่อยู่รอมร่อ” พ่อครูหรี่สายตามองคนร่างเล็ก
“พ่อครูอย่าบอกพ่อฉันนะไม่งั้นฉันอดออกบ้านแรมเดือนแน่ ๆ นะพ่อครูน้า”
“เป็นสาวเป็นนางไปยุ่งเกี่ยวกับพวกผีพนัน เอ็งทำถูกแล้วรึนังบุหงา รู้อย่างนี้ข้าไปบอกตาบัวมาประกันตัวเสียก็ดี ลิ้มรสไม้หวายเผื่อจะเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง”
“ฉันแค่ไปนั่งเฝ้าอีแหวนเล่นเฉย ๆ ไม่ได้เป็นคนเล่นซะหน่อย อีกอย่างขืนพ่อครูให้พ่อฉันมาประกันฉันคงทำกับข้าวไปส่งพ่อครูไม่ได้อีก” เธอเถียงคอเป็นเอ็นไม่ยอมรับผิดในข้อกล่าวหา
“แล้วตังในนมเอ็งนั่นคือกระไร” พ่อครูเหลือบมองเงินที่โผล่พ้นขอบคอเสื้อภายใต้เนื้อหนังเนียนละเอียดอวบคู่นั้น เนื้ออกอิ่มเบียดกระดาษเงินหลายใบจนมันโผล่ขึ้นมาเป็นหลักฐานมัดตัวบุหงา
บุหงาก้มมองเงินที่โผล่พ้นออกมามือเล็กรีบยัดเงินจำนวนนั้นลงสู่ร่องอกอวบทันควัน พลางส่งยิ้มเจื่อนกลบความผิด ขายขี้หน้านักนังบุหงา
หน็อย...โผล่มาขายขี้หน้าข้ารึ!
“พ่อครูแอบมองนมฉันหรอ นี่คิดอะไรไม่ดีกับฉันหรอ” บุหงาเปลี่ยนเรื่องอย่างชาญฉลาด
“หึ...” ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอไม่ตอบอะไร เดินทิ้งระยะห่างจากบุหงาพอสมควร คนร่างเล็กวิ่งตามหลังมาดักด้านหน้า บุหงาเขย่งขาเอียงกระซิบบอกพ่อครูเสียงหวาน
“ตกลงพ่อครูห้ามบอกพ่อฉันนะ สัญญามาก่อนถ้าสัญญาแล้วฉันจะแยกกับพ่อครูตรงนี้แหละจ๊ะ”
“แล้วเอ็งจะไปที่ใด” ชายหนุ่มเลิกคิ้วเอ่ยถาม
“ไปนอนบ้านอีแหวนไงจ๊ะ ฉันขอพ่อไปนอนเป็นเพื่อนอีแหวนพ่อก็เลยให้ฉันออกมา ไม่งั้นฉันไม่มีทางได้ออกมาเที่ยวเล่นหรอก” บุหงาตอบหน้าตาใสซื่อ
“ขอกี่วัน”
“ไม่ได้บอกกี่วันจ๊ะ งั้นฉันลานะจ๊ะ ขอบคุณพ่อครูที่มาประกันตัวฉันนะ” บุหงายกมือไหว้ชายหนุ่มคนตรงหน้าก่อนจะหันกายเดินเบี่ยงไปอีกทาง ทว่าเสียงเข้มเอ่ยท้วงจะให้เธอหยุดรอก่อน
“เดี๋ยว” ชายหนุ่มรั้งท่อนแขนเรียวก่อนเธอจะเดินหนี
“หืม?”
“ถ้าอยากให้ข้าเก็บเรื่องวันนี้เป็นความลับก็ไปนอนบ้านข้าคอยรับใช้ข้า” พ่อครูเอ่ยสีหน้าราบเรียบแม้จะรู้สึกตื่นเต้นกับประโยคที่เอื้อนเอ่ยออกไป ภายใต้สีหน้านิ่งสงบหัวใจกลับเต้นโครมคราม ทำเหมือนเขาเป็นตาแก่หลอกเด็ก
“พ่อครูจะบ้าหรอฉันเป็นสาวเป็นนางจะให้ไปนอนบ้านผู้ชายสองต่อสองได้ไงกัน มันผิดผี!”
“เอ็งก็เลือกเอาจะกลัวผิดผีหรือจะกลัวไม้หวายตาบัว” ชายหนุ่มยกยิ้มเจ้าเล่ห์หลังข่มขู่หญิงสาวคนตรงหน้า
“พ่อครู!” บุหงาเอ่ยเสียงสูง
“ไม่ไปใช่ไหมงั้นข้ากลับล่ะ...”
“พ่อครู!” เขาไม่เข้าใจคำว่าผิดผีหรือไง!
“ไม่ไป?”
“ไป!” บุหงากระแทกเสียงใส่ชายหนุ่ม เธอเดินนำหน้าตรงกลับตำหนักพ่อครู ใบหน้างามบูดเบี้ยวไม่สบอารมณ์ ไม่ว่าเขาจะชวนคุยอะไรก็ตาขวางพาลหงุดหงิด ขืนยอมให้เขาเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ ชาตินี้เธอก็อย่าฝันว่าจะได้ออกไปที่ไหนได้อีก หากพ่อจับได้ว่าเธอโกหกก็คงไม่รอดที่จะถูกมองว่าเป็นคนโกหกไปตลอด
ตกเย็นบุหงาทำกับข้าวไปส่งให้พ่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต้องปั้นหน้ายิ้มกลบเกลื่อนความหงุดหงิดภายในใจ ก่อนกลับแวะไปเตี๊ยมกับอีแหวนให้เข้าใจตรงกันหากตาบัวแวะมาถามไถ่
“ไปทำอะไรเสียนานจนตะวันจะตกดินพึ่งจะกลับ” ชายหนุ่มยืนกอดอกอยู่บนระเบียงบ้าน สายตาคมกริบคาดโทษ ดูท่าจะยืนรอเธอนานแล้ว
“ไปจัดการปัญหาสิจ๊ะพ่อครู ใครจะไปว่างไม่มีอะไรทำเหมือนพ่อครูกันล่ะ” บุหงาเดินขึ้นบันไดไม้อย่างระวัง เสียงหวานเหน็บแนมคนร่างสูง พลันเห็นสำรับอาหารที่เธอตั้งไว้ยังไม่ถูกแตะจึงเอ่ยถามชายหนุ่ม
“พ่อครูกับพี่มิ่งยังไม่กินข้าวหรอจ๊ะ”
“ไอ้มิ่งมันลากลับบ้านแม่มันป่วย ข้าไม่อยากกินคนเดียวก็เลยรอเอ็ง”
“ไปกินสิจ๊ะเดี๋ยวฉันกินเป็นเพื่อนขอไปเอาน้ำก่อน”
ไม่นานบุหงาก็เดินกลับมาพร้อมขันเงินลายไทยบรรจุน้ำฝนที่กรองแล้วลอยดอกมะลิหอมเย็นชื่นใจ เธอวางมันตรงหน้าเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตาดวงตาเหยี่ยวคู่นั้นความรู้สึกวูบวาบโลดแล่นหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
“มองหน้าฉันทำไมจ๊ะกินสิกับข้าวเย็นหมดแล้ว”
“......” พ่อครูยักไหล่ ก่อนจะใช้ช้อนแงะปลาม้าทอดกรอบ ราดพริกน้ำปลาตบท้ายก่อนจะป้อนเข้าปาก ชายหนุ่มลิ้มรสฝีมือของเธออย่างพึงพอใจ ด้านข้างยังมีผัดฉ่าปลาดุกรสชาติเผ็ดร้อน กินเข้าไปเลือดลมเดินดีเหลือเกิน หยาดเหงื่อร้อนผุดท่วมกรอบหน้าหลังทานผัดฉ่าปลาดุก
“ถ้าเผ็ดก็อย่าตักพริกแกงสิจ๊ะตักแต่เนื้อปลาก็พอ” เธอว่า มือน้อยยกขันน้ำยื่นให้พ่อครูที่บัดนี้หูแดงหน้าแดงจากพริกแกงรสชาติเผ็ดร้อนตามฉบับเมืองสุพรรณ
“ข้าไม่เผ็ดกินได้สบายนี่อะไรอร่อยดีข้าชอบ”
“ผัดดอกชมจันทร์จ๊ะ กินแก้เผ็ดไปพลาง ๆ ก่อนนะจ๊ะเดี๋ยวฉันไปยกขนมมาให้ กินตบท้ายน่าจะดี” เธอพูดจบก็รีบกลับลงไปในครัวถือขนมขึ้นมาพะรุงพะรัง
“นี่ขนมแปรฉันทำไว้เมื่อวาน เมื่อกี้กลับบ้านเลยเอาติดไม้ติดมือมาด้วยพ่อครูลองชิมดูสิ” บุหงาคะยั้นคะยอให้เขาชิมนู้นชิมนี่จนหนังท้องตึงต้องรีบยกมือปรามเป็นการใหญ่
“พอแล้วก่อนข้าจะท้องแตกตาย”
“ไม่อร่อยหรอจ๊ะ” เธอลืมความโกรธไปเสียสิ้น มีเพียงความอยากให้คนตรงหน้าลิ้มลองฝีมือของเธอ
“อร่อยแต่ข้าไม่ใช่วัวใช่ควายนะนังบุหงาถึงจะได้กินหมด”
“พ่ออิ่มแต่พวกฉันยังไม่อิ่มนะพี่บุหงา อย่าลืมเอาไปให้พวกฉันด้วยนะจุดธูปหนึ่งดอกเรียกชื่อพวกฉันเหมือนเดิม” ส้มป่อยปรากฎกายอิงศรีษระแนบท่อนแขนเรียวอย่างออดอ้อน
“พี่ไม่ลืมของพวกเอ็งหรอกน่าส้มป่อย รัก ยม” เธอยิ้มอ่อนหวานจากใจจริง กุมารทองน้อยสามตนชอบเอาอกเอาใจเธอแลกกับขนมเป็นประจำ ใครจะไม่รักได้ลง
“ให้มันน้อย ๆ หน่อย ทำอย่างกับว่าข้าเลี้ยงอด ๆ อยาก ๆ” ชายหนุ่มส่งสายตาพิฆาตมองเจ้าส้มป่อยที่กำลังออดอ้อนออเซาะหญิงสาวออกนอกหน้า
“ไม่อดอยากหรอกจ๊ะพี่บุหงาก็แค่ใช้งานข้าก่อนจึงจะได้กินขนม” ส้มป่อยแสร้งตีหน้าเศร้าฟ้องบุหงา
“ไอ้ส้มป่อย!” พ่อครูถลึงตาตบเข่าฉาดใหญ่ ไอ้ผีเด็กตนนี้มันชอบหักหน้าเขานัก
“นี่ก็คงหลอกพี่บุหงามาถูบ้านถูเรือนทำกับข้าวแลกกับปิดเรื่องวันนี้เป็นความลับใช่มั้ยจ๊ะ เนี่ยแหละจ๊ะพ่อจ๋าชอบทำแบบนี้” ส้มป่อยเพยิดหน้ามองพ่อจ๋าที่เริ่มขบเม้มริมฝีปากอย่างอดกลั้น กุมารน้อยขายพ่อตนให้เธอฟัง
“คิก..คิก” บุหงาลอบขำ เธอเหลือบมองสีหน้าของพ่อครูที่ขมึงทึงตึงเครียด
“เนี่ยฉันว่าพ่อจ๋าอยากได้พี่บุหงาเป็นมะ/ไอ้ส้มป่อย!!!” ชายหนุ่มเรียกชื่อกุมารทองน้อยช่างพูดน้ำเสียงดุดันก่อนมันจะเอ่ยจบประโยค มันจะพูดว่าเขาอยากได้นางเป็นเมียจนตัวสั่นอย่างนั้นหรือ… วันนี้ไม่หวดมันเขาคงนอนไม่หลับ ปากมากเกินไปแล้วไอ้ส้มป่อย!
ไอยศูรย์ผุดลุกไปหยิบไม้หวายลงอาคม ส้มป่อยร้องจ้ากอย่างรู้ชะตากรรมหลบหลังบุหงา ชะเง้อคอเอียงมองเล็กน้อย ก่อนมันจะรีบวิ่งหนีหลบไม้หวายซ้ายทีขวาที ปากก็ร้องเรียกให้บุหงาช่วย
“พี่บุหงาช่วยฉันด้วย!”
“มานี่ไอ้ส้มป่อยกูจะฟาดมึงให้รู้ความก็วันนี้!” เขาวิ่งไล่หวดกุมารทองน้อยรอบตำหนัก โดยมีบุหงานั่งมองระคนลอบยิ้ม เขาทะเลาะได้แม้กระทั่งกุมารทองที่ตนเลี้ยง
“จ้ากกก! พ่อจ๋าฉันเจ็บ” มือสากเอื้อมไปบิดหูเล็กราวกับดอกเห็ดของส้มป่อยเต็มแรง แขนแกร่งง้างไม้หวายเตรียมฟาดลงบนแก้มก้นเต่งตึงของมัน
“พ่อครูอย่าตีส้มป่อยมันเลย มันก็ถือว่ายังเด็ก” บุหงาเอ่ยเสียงหวานชโลมจิตรั้งแขนแกร่งให้ผ่อนลงมา
“เด็กเปรตละสิไม่ว่า” พ่อครูเพิ่มแรงบิดใบหูเล็กของส้มป่อยอีกครา ทีนี้เสียงร้องเจื้อยแจ้วดังขึ้นจนแสบแก้วหู ใบหน้ากลมป้อมเหยเกด้วยความเจ็บปวด พ่อจ๋ามือหนักจะตายไป
“อ้ากก..พ่อจ๋า จะ…เจ็บ” ส้มป่อยเขย่งฝ่าเท้าตามแรงบิดของผู้เป็นพ่อ
“ฉันขอนะพ่อครู” บุหงาอ้อนวอนชายหนุ่มเสียงหวานจนเขาคล้อยตามยอมผ่อนแรงลง เสียงหวานเอื้อนเอ่ยมีหรือเขาจะไม่ทำตาม เขาค่อย ๆ ผละฝ่ามือออกจากใบหูเล็ก ก่อนจะขู่ตามหลังอย่างคาดโทษ
“มีรอบหน้าข้าจะเฉือนหูเอ็งออก”
“จ้าพ่อ” ส้มป่อยลูบใบหูของตนป้อย ๆ พ่อจ๋าออกอาการอยากได้พี่บุหงาปานนั้น เขาพูดผิดตรงไหน
“งั้นฉันเก็บสำรับแล้วจะลงไปอาบน้ำเลยนะจ๊ะพ่อครู เดี๋ยวค่อยขึ้นมาปูที่นอนกางมุ้ง”
“จะปูทำไมเอ็งก็เข้าไปนอนที่ห้องข้า”
“อ่อจ๊ะ” เธอคิดว่าเขาคงเสียสละให้เธอนอนในห้องส่วนเขาจะนอนนอกห้องกระมัง ยังถือว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง ส้มป่อยได้แต่มองตามตาละห้อยคันปากอยากจะบอกพี่บุหงาว่ามันคือแผนการของพ่อจ๋า แต่ก็จำต้องรีบยกมืออุดปาก หลังเห็นรอยยิ้มเย็นยะเยือกของพ่อจ๋าที่ส่งมา
บุหงานุ่งกระโจมอกมวยผมขึ้นสูงถือตะเกียงแขวนไว้บนราวกิ่งต้นมะยม นั่งลงบนขอนนั่งไม้ หยิบขันตักน้ำในโอ่งดินราดกาย สบู่ก้อนกลิ่นหอมลูบไล้ทำความสะอาดเรือนร่าง มะขามเปียกถูกนำมาถูขัดผิวสวยให้ผ่องใส น้ำเย็นจากโอ่งคลายความร้อนจากอากาศอบอ้าวได้เป็นอย่างดี ดูท่าวันพรุ่งฝนคงจะตกวันนี้อากาศจึงอบอ้าว
บุหงาขัดเนื้อตัวเชื่องช้าตามนิสัยก่อนจะตกใจจนเกือบหงายตกเก้าอี้ หลังชายหนุ่มเดินเข้ามาไม่ให้สุ่มให้เสียง มิหนำซ้ำยังตักน้ำในโอ่งอาบต่อหน้าเธออีกต่างหาก
“พ่อครูฉันยังอาบไม่เสร็จนะ!”
“ใครใช้ให้เอ็งอาบนาน ข้าเหนียวตัวรอไม่ไหวหรอก” เขาเอ่ยหน้าตายทำทองไม่รู้ร้อน
“ฉะ ฉันเสร็จแล้วก็ได้”
“เสร็จกระไร” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม
“อย่าพูดจาสองแง่สองง่ามกับฉันนะ...”
“สมองเอ็งมีแต่เรื่องพรรคนั้นหรือไง ข้าถามเพราะเห็นกากมะขามเปียกติดตรงหลังเอ็ง”
“......” บุหงาเหลียวหลังมอง มือปัดป้ายพยายามคว้านหากากมะขามเปียกที่เธอใช้ขัดผิวเมื่อครู่ ทว่าหาอย่างไรก็หาไม่เจอ
“มานี่ข้าจะเอาน้ำรดให้” พ่อครูดึงร่างเล็กถอยร่นกลับมาที่เดิม ตักน้ำในโอ่งรินรดร่างสาวที่ยืนห่อตัวหวังต้องการบดบังร่างกายจากสายตาคมกริบ
มือร้อนลูบไล้แผ่นหลังเนียนสัมผัสเพียงนิด ดวงหน้างามร้อนผะผ่าวราวกับสัมผัสเปลวเพลิง มือหยาบปัดกากมะขามเปียกออก ก่อนจะรดน้ำตามอีกรอบเป็นอันเสร็จ
“สะอาดแล้ว”
“ขอบใจจ๊ะ”
บุหงาเปลี่ยนสวมเสื้อขาวผ้าซิ่นสีน้ำตาลเดินเข้ามาภายในห้องนอนของพ่อครู ดวงตากวาดมองนึกชม ไม่คิดว่าพ่อครูจะเป็นคนที่รักสะอาดถึงเพียงนี้ ที่นอนหมอนมุ้งก็พับเก็บเป็นระเบียบ เธอวางตะเกียงบนตู้ข้างเตียง
หญิงสาวทอดกายนอนบนเตียงไม้สักราคาแพงปูทับด้วยเตียงนอนหนานุ่ม ผ้าห่มผืนหนาถูกดึงมาห่มคลุมกาย เสียงจั๊กจั๋นยามค่ำคืนบรรเลงขับขานราวกับเพลงกล่อมก่อนนอน อาจจะเพราะความเหนื่อยที่ต้องผจญมาทั้งวัน บุหงาผล็อยหลับลงในเวลาไม่นาน
กลิ่นกรุ่นดอกไม้หอมลอยโชยตามสายลมพลันปรากฎดินแดนโบราณ ผู้คนแต่งกายเยี่ยงคนยุคเก่า สถานที่ที่เธอยืนเหมือนพระราชฐานชั้นในตกแต่งประดับประดาโอ่อ่า หญิงสาวยืนฉงนท่ามกลางหมู่คนนับร้อยที่จ้องมองมาด้วยแววตายากคาดเดา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เธอสวมใส่ฉไนจึงดูดีมีฐานะกว่าทุกผู้ เครื่องประดับพลอยนิลจินดาเต็มตัวดูระเกะระกะ
“ลีลาวดี...” สุรเสียงอ่อนนุ่มร้องเรียกชื่อใครบางคน ชายหนุ่มผิวคร้ามแดด สวมเสื้อผ้าหรูหราสูงศักดิ์ หนวดยาวเกรอะกรังเดินฝ่าวงล้อมเข้ามากุมมือเธออย่างถือวิสาสะ
“......” บุหงาพินิศเพ่งมองใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า โครงหน้ากรามแน่น คมเข้มตรงฉบับชายไทย ความสูงเทียมเท่าพ่อครู ทว่าแววตาหมองหม่น
“พี่คิดคำนึงถึงน้อง” ใบหน้าคมคร้ามโน้มลงมาหมายจุมพิตประทับบนริมฝีปากอิ่ม บุหงาเบือนหน้าหนีสัมผัสนั้นอย่างไว ประกายแสงสีขาวฟาดลงมาจากบนฟากฟ้าแยกชายหนุ่มนิรนามผู้นั้นออกห่างจากนาง ชายผู้นั้นแหงนมองบนท้องฟ้ากัดฟันกรอด ก่อนจะหันกลับมามองนางอันเป็นที่รักยิ่ง เขาพยายามสะกัดประกายแสงสีขาวที่ฟาดลงมาไม่ขาดสายด้วยพลังงานวิญญาณทั้งหมดที่มี เพียงเพื่อที่จะได้สัมผัสและพูดคุยกับนาง
“ปล่อยฉันเถอะจ๊ะ ฉันไม่ใช่ลีลาวดีท่านคงจะจำผิดแล้วล่ะ” บุหงาหน้าเสีย พยายามดึงมือกลับแต่ไม่มีทีท่าว่าชายหนุ่มปริศนาตรงหน้าจะยอมปล่อย สีหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าข่มความรู้สึกเจ็บปวดมหาศาลภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม เขาต้องทนรับประกายแสงสีขาวที่ฟาดลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ามือแกร่งกลับเลือกที่จะกุมมือแน่งน้อยเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยมือ
“......” ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มรับนุ่มนวล มือสากหยิบปิ่นปักทองฝังพลอยเม็ดงามขึ้นมาปักบนมวยผมที่เกล้าขึ้นของเธอ
“อย่าลืมตามหาปิ่นเล่มนี้นะ เมื่อเจ้าหาเจอพี่ก็จักสามารถอยู่ใกล้น้องได้ มันถูกฝังอยู่ใต้ต้นลีลาวดีที่พี่เคยปลูกให้น้อง”
“......” บุหงาหน้านิ่วฟังไม่รู้ความที่เขาต้องการจะสื่อ
“ครั้งนี้ได้สัมผัสน้องพี่ก็สุขใจมากแล้ว หาปิ่นทองให้เจอนะลีลาวดี เวลาหมดลงแล้ว” ชายปริศนาหยิบดอกลีลาวดีทัดหู กดจมูกโด่งฝังลงบนพวงแก้มจนเธอไม่ทันเบือนหนีก่อนเสียงนั้นจะลอยจางห่างไกล ใบหน้าเศร้าโศกติดตาบุหงาจนความรู้สึกดำดิ่ง ประกายแสงสีขาวยังคงฟาดลงบนกายแกร่งของชายผู้นั้นอย่างต่อเนื่อง
ภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่ถูกทดแทนด้วยความมืดมิดจนน่าวังเวง แหงนมองโดยรอบกลับไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด หรือนี่จะเป็นเพียงฝัน...
บุหงาสะดุ้งตื่นหลังท่อนแขนแกร่งของใครบางคนพาดวางลงบนเอวบาง เธอนอนตะแคงหันหลังจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของผู้บุกรุก แสงไฟจากตะเกียงที่มอบดับมานานหลายชั่วโมง บ่งบอกว่าผู้บุกรุกคงเข้ามานานแล้ว ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดลำคอขาวผ่อง
บุหงาขยับกายหันหลังกลับมา ยกเท้ายันถีบร่างหนาที่นอนซุกใบหน้าแนบหลังเธอเมื่อครู่เต็มแรง จนเกิดเสียงดังอึกทักทั่วบ้าน ตามมาด้วยเสียงหลงที่ร้องโอดครวญดังลั่นบ้าน บุหงาตกใจเสียงจนแทบลืมหายใจ
โคร้มม!
“โอ๊ย! เอ็งถีบข้าทำไมนังบุหงา” พ่อครูที่โดนถีบอย่างจังหล่นตกเตียงกระแทกพื้นเต็มแรงส่งเสียงร้องโอดครวญ ไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้กับเขามาก่อน
วิญญาณทุกตนให้ความเคารพยำเกรง แม้นแต่เทวดาชั้นฟ้ายังให้ความเคารพ ภูติผีปีศาจต่างต้องหลบให้เขาผู้เป็นใหญ่ในโลกหลังความตาย แต่ว่า...เขากลับถูกบุหงาหญิงสาวแดนมนุษย์ใช้เท้าถีบตกเตียง!
“พะ…พ่อครูหรอจ๊ะ” บุหงาที่มองไม่เห็นชายหนุ่มในความมืดอ้าปากค้าง
“เออสิวะ”
“ฉันนึกว่าเป็นโจร! แล้วพ่อครูเข้ามาทำไมล่ะแถมยังมานอนกอดกลมฉันอีก”
“ห้องข้าไยจะเข้ามาไม่ได้!”
“แต่พ่อครูยกให้ฉันนอนแล้วนะ”
“ก็นอนด้วยกันไงเล่า!”
“จะบ้าหรอพ่อครูฉันเป็นสาวเป็นแส้ยังไม่ได้ออกเรือน เกิดชาวบ้านรู้เข้าแล้วฉันขายไม่ออกจะทำไง” บุหงากระเถิบหนี ทว่าร่างสูงยันกายลุกขึ้นมากระชากข้อเท้าให้เธอกลับไปนอนดังเดิม ชายหนุ่มสอดกายในผ้าห่มกระชับวงแขนให้เธอดิ้นไม่หลุด
“ขายไม่ออกก็ช่างประไรเดี๋ยวข้าซื้อเอง”
“......”