๓
-เรื่องที่ต้องคุย-
ทั้งอัคนีและรัตติกาลต่างไม่พูดหรือสนทนาอะไรกันทั้งนั้น แต่ในรถก็ไม่ได้เงียบเพราะมีลูกชายตัวน้อยคอยพูดเจื้อยแจ้วอยู่อย่างไม่รู้เหนื่อย
“แม่ค้าบ หิวนมง่า”
รัตติกาลทำหน้าอึกอัก เพราะมีอัคนีอยู่ด้วย
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพ่อของลูกชายเธอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องมาเห็นหน้าอกของเธออีก “แม่ว่ารอถึงบ้านเราก่อนดีกว่านะครับ”
“ไม่อาว พายุง่วงเเล้ว”
“ให้ลูกกินไปเถอะ นมที่เตรียมมาน่ะ”อัคนีพูดแทรกขึ้น เขาเหลือบตามองคุณแม่นิด ๆ เพราะเห็นเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ไม่ได้เอามางั้นเหรอ”
“ค่ะ ปกติพายุกินนมจาก..เอ่อ..”
“จากไหนล่ะ อย่าบอกนะว่าลูกกินนมกล่องในซุปเปอร์”
“จะบ้ารึไง ฉันไม่ให้เขากินหรอกค่ะ”
“เเล้ว?”
“ฉันให้เขากินนมจากฉัน”พอได้ฟังคำตอบ ทำให้เขาถึงกับไปไม่เป็น
เขาไม่เคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อนนี่น่า จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเด็กสองขวบเศษยังกินนมจากอกแม่อยู่
"แม่~"เสียงออดอ้อนแกมสะอื้นนิด ๆ ทำเอารัตติกาลใจไม่ดี เธอลูบหัวลูกน้อยให้สงบลง เเต่ก็ไม่ได้ผล
มือป้อม ๆ ดึงชายเสื้อของผู้เป็นแม่ขึ้นเหมือนอย่างที่เคยทำ
“พายุครับ”เสียงรัตติกาลอ่อนลง ในใจก็นึกสงสารลูกแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อมันไม่ใช่ที่ที่จ้าวพายุจะมาดื่มนมเธอตอนนี้
“ให้ลูกกินเถอะ”
“ไม่ได้ค่ะ”
“เธอคิดว่าพี่ไม่รู้รึไงว่าเธอคิดอะไรอยู่ พี่ไม่ได้ลามกขนาดนั้นสักหน่อย”อัคนีพูดไปตามความจริง เขารู้ดีว่าที่รัตติกาลไม่ยอมให้ลูกชายดื่มนมเพราะมีเขาอยู่ตรงนี้ด้วย “ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นนะคะ”
“ถ้าไม่ได้คิดก็ให้ลูกกิน”
กล้าดีอย่างไรมาออกคำสั่งเธอกัน คิดว่าเป็นพ่อของลูกแล้วจะสั่งอะไรก็ได้รึไง
นั่นเป็นสิ่งที่สมองของเธอคิดและประมวลผลออกมา แต่มือของเธอก็ควานหาผ้าในกระเป๋าเพื่อที่จะเอามาบังไม่ให้เขาเห็น
ใจมักจะชนะสมองเสมอ เธอทนไม่ได้ที่ต้องเห็นลูกหิวแบบนี้
อีกอย่างนี่ก็เป็นเวลานอนของจ้าวพายุ ไม่ใช่สิ เลยมาเเล้วกระมัง
ในที่สุดมือบางก็เลิกชายเสื้อขึ้นมากองไว้เหนือหน้าอก ปลดตะขอด้านหน้าของบราออกทำให้เผยให้เห็นหน้าอกของเธอทั้งสองข้าง
เธออุ้มลูกชายให้อยู่ในท่านอน ประคองศีรษะของลูกให้หงายไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อที่ตัวเธอเองจะได้ไม่เจ็บปทุมถันด้วย
การกระทำของเธอและลูกน้อยอยู่ในสายตาของเขาตลอดถึงแม้ว่าเธอจะเอาผ้ามาบังไว้ก็ตาม แต่แสงไฟที่ส่องอยู่ก็ทำให้เขาเห็นได้อย่างชัดเจน
ถึงเขาจะบอกเธอเเบบนั้นแต่ก็อดอิจฉาลูกไม่ได้ที่ได้จับ ขยำเล่นหน้าอกของสาวเจ้าแบบนั้น
เสียงเพลงจากปากของเธอที่กล่อมลูกน้อยทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
จ้าวพายุหลับไปด้วยความเพลีย ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
รถคันหรูแสนแพงจอดที่หน้ารั้วเหล็กสีขาว เมื่อรถจอดสนิทรัตติกาลก็รีบเปิดประตูลงด้วยมือข้างเดียว เพราะอีกข้างอุ้มลูกน้อยอยู่
“อาทิตย์ไม่อยู่เหรอเนี่ยหรือว่าหลับไปแล้ว”เธอบ่นพึมพำกับตนเองเพราะทั้งบ้านมืดสนิทไม่มีแม้แต่ไฟเปิดไว้เลยแม้แต่ดวงเดียว
อาทิตย์ไม่ใช่คนที่จะปิดไฟหมดทั้งบ้านเเบบนี้ ถ้าเขาอยู่
“ให้พี่ช่วยไหม”อัคนีเดินลงมาจากรถเพราะเห็นว่าเธอยังยืนอยู่หน้าบ้าน ไม่เข้าไปสักที
อีกอย่างเธอกับเขามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว
“คุณช่วยเอากุญแจบ้านออกมาจากกระเป๋าให้ฉันหน่อยสิคะ”รัตติกาลเบี่ยงไปหาเขาให้เขาหากุญแจบ้านได้อย่างสะดวก
อัคนีควานหาของในกระเป๋า พอพบแล้วก็นำออกมาไขและเปิดให้เธอกับลูกน้อยเข้าไป
เธอต้องจำยอมให้เขาเข้ามาในบ้านด้วย เพราะตอนนี้เธอไม่สามารถที่จะทำอะไรได้สะดวกเพราะอุ้มลูกน้อยอยู่ในอ้อมอก
สาวเจ้าอุ้มลูกน้อยเข้าไปนอนในห้องที่มีป้ายชื่อของเด็กน้อยแขวนอยู่ เธอวางจ้าวพายุลงที่เตียงเด็กที่มีที่กั้นวัสดุทำจากไม้สีขาว เธอจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูกน้อยก่อนจะออกมาจากห้องนอนของเขา
เธอเดินลงมาข้างล่างเพื่อจะเอาเสื้อผ้าทั้งตระกร้าที่ใส่เเล้วของจ้าวพายุมาซักในห้องซักผ้า
แต่สายตาของเธอก็ดันมาสะดุดกับคนร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงโซฟาที่ห้องนั่งเล่น เธอวางตระกร้าผ้าลงแถวบันไดเเละรีบเดินเข้ามาดู
“กลับไปได้เเล้วค่ะ”
“ไม่กลับ”
“คุณอัคนี!”
อัคนีลุกขึ้นยืนและต้อนให้ร่างบางจนมุมห้อง
“คุณจะทำอะไร”เธอคิดผิดจริง ๆ ที่ให้เขาเข้ามาในบ้าน เธอควรจะระวังตัวมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็รู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ไว้ใจไม่ได้เลยสักนิดเดียว
“คิดว่าพี่จะทำอะไรเธอล่ะหื้ม?”
“ออกไป”
“ไม่ เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันทั้งนั้นค่ะ”
“มีสิ เรื่องจ้าวพายุไง”
“จ้าวพายุทำไม?”
“จ้าวพายุเป็นลูกของพี่นะ”
“ใครบอกว่าจ้าวพายุเป็นลูกของคุณ ที่ฉันไม่ปฏิเสธเพราะฉันเห็นลูกชอบคุณต่างหาก”
“เธอโกหก”
“ฉันไม่ได้โกหก”
“หึ ถ้าเธอไม่กล้าโกหกเธอกล้าพาลูกไปตรวจดีเอ็นเอกับพี่ไหมล่ะ”รัตติกาลเงียบ ไม่กล้าตอบรับหรือปฏิเสธอะไรทั้งนั้นเพราะถึงอย่างไร
ใจเธอก็รู้ดีอยู่แล้วว่าจ้าวพายุเป็นลูกของเขา
“พี่จะพาลูกกลับ”
“ไม่ได้นะ!! คุณจะเอาลูกฉันไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“ทำไมจะไม่ได้ พี่มีสิทธิ์”ร่างบางกลืนน้ำลาย สั่นไปทั้งตัวจะว่าอะไรเขาได้ล่ะในเมื่อเป็นสิทธิ์ของเขาจริง ๆ
“พี่เพลิงอย่าเอาลูกไปเลยนะ”เธอเสียงอ่อนลง แววตาของเธอทั้งขอร้องทั้งอ้อนวอน มือบางจับไปที่แขนของเขาเเล้วบีบเบา ๆ
แค่นั่นก็แค่ 'เกือบ' ทำให้เขาใจอ่อน
“งั้นพี่ขอถามสักคำ ทำไมไม่บอกพี่ว่าเธอท้อง”
ให้ตายสิ ทำไมเธอต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย เธอไม่มีสิทธิ์เถียงกับเขาเลยรึไง เถียงทีไรเขาก็ชนะตลอดตั้งอต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเขาอยู่ดีที่ชนะ
“ว่าไงวะ ตอบมาสิไนท์”
“เพราะคุณทำฉันก่อน”คำตอบของเธอทำให้เขาเงียบ ภาพเหตุการณ์วันนั้นย้อนคืนกลับมา
เมื่อรัตติกาลเห็นคนตรงหน้าเงียบไปก็เม้มปาก
ใจมันเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ให้ตายสิ
อุตส่าห์ลืมไปแล้วแท้ ๆ
ถ้าเธอตัดสินใจไม่ไปงานแต่งงานวันนี้ก็คงจะไม่เจอเขา แต่คงจะได้ผิดใจกับเพื่อนรักแทน
เธอเลือกอะไรได้บ้าง เธอรู้อยู่แก่ใจว่ากรนวัติเป็นเพื่อนรักของอัคนี เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเขาต้องไปงานนี้เเน่
แต่ไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องลูกเเละเขาไปกอดลูกแบบนั้น
“กลับไปได้แล้ว ฉันกับคุณไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”
“กลับงั้นเหรอ พูดมาได้ยังไงเรื่องลูกยังเคลียร์ไม่จบ”
“ฉันยอมรับว่าจ้าวพายุเป็นลูกของคุณ คุณสามารถมาหาเขาได้ตามที่คุณต้องการ ถ้าคุณอยากส่งเสียลูกเรียนคุณก็แค่เอาเศษเงินของคุณมา แต่อย่าเอาลูกไปจากฉันและอย่ามายุ่งกับฉันอีก”
“เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เราเหลือเพียงแต่หน้าที่พ่อกับแม่เท่านั้น”
เขายอมกลับออกมาแต่โดยดี ระหว่างทางกลับคอนโด เขาก็คิดแต่เรื่องของรัตติกาลและจ้าวพายุ
เรื่องของสองแม่ลูกอยู่ในหัวเต็มไปหมด
ทำไมเขาต้องทำตามที่เธอสั่ง
ลูกของเขาก็เป็นของเขา
เธอเองก็เหมือนกัน
เธอเป็นของเขา ไม่ใช่ของคนอื่น
“หึ พี่ไม่ยอมหรอกนะ พี่ต้องเอาลูกกับเธอไปอยู่กับพี่ให้ได้”
เขากลับไปแล้ว..
กลับไปพร้อมกับความเงียบที่ไม่มีคำตอบอะไรให้กับเธอ ตอนนี้เธอมีแต่ความกังวล
เขาแค่ยอมกลับแต่ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมทำตามที่เธอบอก
เธอรู้ว่าเขาเป็นคนรั้นแค่ไหน ทั้งดื้อ ทั้งรั้น ใครก็ปราบเขาไม่ได้
“เฮ้อ แม่จะทำยังไงดีพายุ”
หลายวันต่อมา อัคนีไม่ได้มาหาเธอกับจ้าวพายุอีกจนตอนนี้เธอลืมเรื่องนั้นไปหมดแล้วอีกใจก็นึกโล่งที่เขาไม่ตามตอแยอะไรอีก
แต่คนที่ถามถึงคือลูกชายตัวน้อยของเธอ พอวันนั้นตื่นมาไม่เจอพ่อก็แต่ถามว่า ‘ปะป๋าอยู่ไหน’ สามเวลาหลังอาหารทุกวันหรือไม่ก็ตอนตื่นนอนและวันนี้เธอก็ต้องเตรียมคำตอบวันอีกแล้วเพราะได้เวลาที่จ้าวพายุจะตื่นแล้ว
“แม่~”เสียงสะลืมสะลือเรียกหา ดังออกมาจากห้องของเจ้าตัวน้อย ทำให้เธอที่กำลังต้มโจ๊กใส่ข้าวโพดบดที่เหมาะกับวัยของลูกชายรีบปิดแก๊สเอาหม้อมาพักไว้ที่เคาท์เตอร์และรีบวิ่งขึ้นไปดูลูกโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งได้เข้ามาในบ้านของเธอเเล้วตอนนี้
อัคนีนำถุงของเล่นวางไว้ที่โซฟาและนั่งลงอย่างสบายใจที่เข้าบ้านคนอื่นได้
เขาไม่ได้ปืนเข้ามาหรอกนะ แต่เขาใช้วิธีสะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อคืนเขาสุ่มโทรไปเบอร์ของมารดาของรัตติกาล
ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้กุญแจสำรองบ้านเธอมาครอบครองด้วยความเต็มใจจากผู้ใหญ่ฝ่ายเธอเอง
“อาบน้ำแล้วก็ต้องทานข้าวนะครับเด็กดี เดี๋ยวจะได้ไปหาคุณตากับคุณยายกัน”เสียงของรัตติกาลดังมาจากข้างบนแเละเสียงก็ค่อย ๆ ดังขึ้นเพราะเธอกับจ้าวพายุกำลังเดินลงมาจากบันได
ภาพที่เขาเห็นตอนนี้ช่างงดงามเหลือเกิน ถ้าหากวันนั้นเขาไม่ประมาทคงจะมีความสุขมากกว่านี้
ความผิดบาปของเขามันคงเกินกว่าที่เธอจะให้อภัย เธอหนีหายไปสองปีเศษและที่สำคัญกว่านั้น
เธอหนีไปพร้อมกับลูกน้อย หนีไปที่ไหน ไปอยู่กับใครมาบ้างเขาก็หาเธอไม่พบจนถอดใจตามหา กลับไปตั้งใจเรียนจนจบและกลับบ้านที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยเพื่อไปพัฒนาธุรกิจของที่บ้าน
หลังจากวันนั้น วันที่เธอหนีไปเขายอมรับว่าเขาเสียใจมากและบอกกับตัวเองว่าจะไม่เจ้าชู้อีกต่อไป
และเขาก็ทำได้จริง ๆ เขาตั้งใจทำงานจนผลออกมาดีเยี่ยม เขาเริ่มไม่ดูแลตัวเองเหมือนอย่างเคย พอเลิกงานมาก็ไปกินเหล้ากับคนงานจนมารดาเอ่ยปากห้ามเด็ดขาดแต่มีหรือคนอย่างอัคนีจะยอม
“ปะป๋า”เสียงใส ๆ ของลูกชายเกิดขึ้น จ้าวพายุชี้ไปที่คนมาใหม่แต่เป็นคนที่เธอไม่คิดจะต้อนรับ รัตติกาลหันไปตามมือของลูกทำให้เธอเบิกตากว้างนึกสงสัยและตกใจว่าเขามาทำไม เข้ามาได้อย่างไร
“ปะป๋า อุ้ม ๆ ”สองแขนน้อย ๆ กับลำตัวเอนเข้าหาอัคนี ทำให้เขาต้องรีบมาอุ้มลูก ไปอยู่ในอ้อมอก
“คุณเข้ามาได้ยังไง”
“คิดถึงปะป๊าไหมครับ”คำถามของรัตติกาลถูกเมินนั่นมันทำให้เธออ้าปากค้าง “คุณอัคนีฉันถามคุณเข้ามาได้ยังไง”
“คิดถึงปะป๊ามากเลย ปะป๊าไปไหนมาไหนบอกว่าจะมาอยู่กับพายุไงครับ ปะป๊าหายไปไหนมา”
โถลูก ทำไมถึงทำกับแม่แบบนี้เนี่ย
เธอได้แต่คิดในใจนึกสงสารตนเอง ทำไมลูกถึงรักพ่อได้มากขนาดนี้เธอเป็นคนเลี้ยงมาแท้ ๆ แต่เจอหน้าพ่อก็แค่ไม่กี่วัน ก็ติดพ่อจนลืมแม่ไปเสียแล้ว
“ปะป๋าขอโทษนะครับ พอดีว่า ปะป๋าต้องไปจัดการธุระให้เรียบร้อยก่อนวันนี้ป๊ะป๋าจะมาอยู่ด้วยแล้วนะ”
“นี่คุณ ใครอนุญาต”
อัคนีทำหูทวนลมแล้วพาลูกไปดูของเล่นที่ตนซื้อมา ทำให้รัตติกาลนั้นยิ่งปรี๊ดแตก
“คุณอัคนี ฉันไม่ใช่ฝุ่นไม่ใช่อากาศนะ ช่วยกรุณาตอบคำถามฉันด้วยค่ะ”
เธอพยายามเลือกใช้คำที่สุภาพที่สุดสำหรับเขา
และนั่นมันก็ได้ผลอัคนีหันมาสบตากับคนถาม
“แม่เธอไง”
“คุณว่าไงนะคะ”
“พี่บอกว่า แม่เธอเป็นคนให้กุญแจบ้านพี่มาแม่เธอเป็นคนให้กุญแจบ้านพี่มา แล้วแม่เธอก็เป็นคนอนุญาตให้พี่มาอยู่กับลูก คำตอบแค่นี้ชัดเจนพอหรือยังครับคุณรัตติกาล”
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณมณีแม่ของเธอจะเป็นคนอนุญาตให้คนที่ทำร้ายจิตใจลูกสาวของท่านเข้ามาอยู่ในบ้านแสดงว่าคราวนี้เขามีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวลูก ซึ่งเธอเองก็ห้ามไม่ได้
เธอเดินหนีออกไปทางหลังบ้านแล้วกดสายตรงไปที่คุณมณีแม่ของเธอทันที
“ว่ายังไงลูก มีอะไรหรือเปล่าถ้าไม่มีอะไรด่วนแม่วางก่อนนะที่ร้านคนแน่นไปหมดเลย เออแล้วจะเข้ามาตอนไหนล่ะ”
“แม่คะเรามีเรื่องต้องคุยกันค่ะ และต้องเป็นตอนนี้ด้วย”
“เรื่องอะไรเหรอ มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา”
“แม่ให้กุญแจสำรองกับพี่เพลิงทำไม แล้วแถมยังอนุญาตให้เขาเข้ามาอยู่ในบ้านของหนูอีก ทำไมแม่ทำแบบนี้คะ แม่ก็รู้ว่าเขาทำอะไรกับลูกแม่ไว้บ้าง”
“ใจเย็น ๆ ก่อน ที่แม่ให้เขาเข้าไปอยู่ในบ้านของลูกเพราะเขาเป็นพ่อ เป็นพ่อของตาพายุ อีกอย่างลูกไม่เห็นเหรอว่าพายุมีเชื้อพ่อมากแค่ไหน เขาตัดกันยังไงเขาก็ตัดกันไม่ขาดหรอกนะลูก ถึงลูกจะพาพายุหนียังไงโชคชะตาก็พาให้มาเจอกันอีกอยู่ดีเพราะเขาเป็นพ่อลูกกัน”
“โอเคค่ะ หนูยอมรับว่าเขาเป็นพ่อลูกกัน แต่ถึงยังไงมันก็ไม่เหมาะอยู่ดีที่เขาจะมาอยู่ที่นี่นะคะแม่ เขาไม่ได้เป็นอะไรกับหนูแล้วสิ่งที่เรายังติดค้างกันอยู่ตอนนี้ก็คือเรื่องลูกค่ะ”
ทางฝั่งคุณมณีก็ได้แต่ถอนหายใจไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีทางนั้นก็ไม่ยอม ทางนี้ก็จะไม่เอา ทำท่านปวดหัวเสียเหลือเกิน
รัตติกาลตัดสายไปเพราะรู้ตัวแล้วว่าตนเองนั้นเริ่มจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ เธอไม่อยากไปอารมณ์เสียใส่มารดาเพราะมันเป็นเรื่องของเธอเองเธอต้องเป็นคนจัดการ
“ฉันจะเอายังไงกับเด็กสองคนนี้ดี คิดแล้วปวดหัวจริง ๆ ”
“เป็นอะไรไปมณี” คุณเรวัติสามีของคุณมณีซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของรัตติกาลและอาทิตย์ เอ่ยปากถามเพราะเห็นว่าภรรยากุมขมับหลังจากรับสายลูก
“เรื่องเดิม ๆ ไม่มีอะไรหรอก”
“ถ้าเป็นเรื่องยายไนท์กับคุณเพลิงหรือคุณอัคนีอะไรนั่นก็ปล่อยเขาไปเถอะมันเป็นเรื่องของเด็ก ๆ ”ท่านบอกอย่างปลง ๆ ถึงแม้ว่าท่านจะรู้วีรกรรมของอัคนี แต่ท่านก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อฟ้ามันลิขิตมาอย่างนั้นแล้ว