JJ : ไปรับที่บ้านหน่อยนะ (15:30)
JJ : ก่อนทุ่มครึ่ง (15:30)
Fi : รับทราบ (15:31)
ฉันกดล็อกหน้าจอและเก็บมือถือเข้ากระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้านหลังคลาสสุดท้ายของวันจบลงเป็นที่เรียบร้อย บอกตามตรงว่าไม่มีอะไรแทรกซึมเข้าสู่รอยหยักในสมองฉันเลยสักนิด ไม่รู้ทำไมต้องวนเวียนอยู่แต่กับภาพจำไม่จรรโลงใจแบบนั้นด้วย
ตอนไปว่าอาการหนักแล้ว กลับมาก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย เฮ้อ…
“เออ อาทิตย์นี้มีสตรีมเกมใหม่ใช่ปะ”
“น่าจะนะ เห็นพี่ภีมพูดอยู่” ฉันเงยหน้าตอบเพชรที่เอี้ยวตัวกลับมาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเฉกทุกครั้ง เวลาคุยเรื่องเกมหรือสตรีมใหม่ ๆ ทีไร เพชรจะดูออกรสออกชาติมากเป็นพิเศษ มากกว่าเรื่องเรียนหลายเท่าตัว ส่วนเพื่อนใหม่อีกคนที่นั่งอยู่ข้างเขาก็คือ ปริม สาวหมวยแว่นหนา ซึ่งเธอก็มักจะใช้เวลาว่างในการเล่นเกมเช่นเดียวกัน แต่อาจจะซอฟท์กว่าฉันนิดหน่อย แบบไม่ถึงขั้นอดหลับอดนอนเล่น
เพราะงั้นเราเลยจูนกันติดง่าย…
อีกอย่างปริมก็ดูเป็นมิตรและจริงใจกว่าผู้หญิงอีกหลาย ๆ คนที่เข้าหาฉันเพราะบรรดาหนุ่มฮอตปรอทแตกรอบตัว
“เหรอ กี่โมงอะ”
“สองทุ่มครึ่ง” ฉันหันไปยิ้มให้ปริม ขณะลุกขึ้นยืนและคว้ากระเป๋ามาคล้องบ่า ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการโบกมือลา “ไปก่อนนะ…”
ตั้งใจว่าจะเดินออกไปโดยไม่หันมอง ทำเชิดใส่ราวกับเขาเป็นธาตุอากาศ หากแต่… ที่ตรงนั้นดันไร้ร่องรอยไอ้เพื่อนตัวดีนั่นเสียแล้ว
ลุกไปตั้งแต่ตอนไหนนะ
วุ้ย! ก็ช่างเขาสิ ต้องสนใจด้วยเหรอ...?
ปึก! อ๊ะ!
ฉันผงะถอยในตอนที่เลี้ยวออกจากประตูห้องแล้วปะทะเข้ากับแผงอกของใครบางคนจนเกือบเสียหลัก โชคดีที่เขาตวัดแขนรวบเอวฉันไว้ได้ทันก่อนจะล้มไม่เป็นท่า และอะไรก็ตามที่โถมเข้าใกล้กันเกินพอดีด้วยความเร็วเกินไปมันมักส่งผลกระทบต่อประสาทสัมผัสเสมอ ทำให้ฉันต้องกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับโฟกัส
พลันใบหน้าหล่อเหลาก็ชัดเจนมากขึ้น…
“...หมอก” สติถูกดึงกลับมาพร้อมกับใจที่เต้นรัว ไม่แน่ชัดว่าเกิดจากความตกใจหรืออะไร ฉันแสร้งกระแอมไอในลำคอเล็กน้อยพลางผลักดันคนตัวโตออกห่าง สีหน้าถูกปรับเป็นหงุดหงิดโดยอัตโนมัติ “แล้วมายืนทำบ้าอะไรตรงนี้!”
“มารอมึงไง”
“รอทำไม”
“ไปหาของหวานกินกัน”
“ไม่ว่าง” ก็รู้อยู่แล้วนะว่าฉันมีนัดกับไฟ ยังจะมาชวนอีก ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
ม่านหมอกยกข้อมือซ้ายขึ้นมาเช็กเวลา แล้วแย้งกลับอย่างคะยั้นคะยอ “นี่ยังไม่สี่โมงเลยนะ ไปแค่แป๊บเดียวเอง ไม่ถึงสองชั่วโมงหรอก”
ทำไมเขาถึงชอบใช้สายตาแบบนั้น… แบบลูกหมาตัวน้อย ๆ กำลังขอขนมกิน ทั้งที่ตัวโตเท่าควายแล้วแท้ ๆ
และฉันก็คงแพ้ราบคาบให้เขาเหมือนอย่างทุกที ถ้าไม่ติดว่า…
“แล้วทำไมไม่ไปชวนสาวที่นัวด้วยเมื่อเช้านี้ล่ะ”
ในเมื่อก็มีคนอยากไปด้วยตั้งเยอะแยะ ยังจะมาวอแวกับ เพื่อน อย่างฉันเพื่อ?
“กูว่าแล้ว” คนถูกแซะขยับปากพึมพำ พลางใช้ฝ่ามือลูบหน้าตัวเองเบา ๆ “คือมัน…”
“ความจริงกูก็ไม่ได้อะไรนะ มันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มึงช่วยเลือกสถานที่ให้ดีกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง”
ตอนแรกก็ว่าจะไม่อะไรแล้ว แต่พอได้พูด มันก็ฉุดไม่อยู่
“รู้ใช่ไหมว่าซอยข้าง ๆ ก็มีโรงแรม หรือลืมวิธียับยั้งช่างใจไปหมดแล้ว ตอนอยู่นอร์เวย์มันทำได้ทุกที่เลยหรือว่ายังไง แบบเจอใครเล่นด้วยก็จัดหมด ไม่สนสี่ สนแปด ไม่สนว่ามันจะโล่งแจ้ง หรือจะมีใครเห็นบ้าง…”
“ไปกันใหญ่แล้ว”
“สมองมีก็หัดเอามาใช้บ้างนะ ไม่ใช่ให้แต่ไอ้นั่นมันนำทาง ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่ควรเสนอหน้าไปด่าไอ้ตี๋มันหรอกนะ เพราะมึงเองก็ไม่ต่างจากมัน”
“นี่กูต้องสำนึกเรื่องไหนก่อน…”
“แล้วอีกอย่างนะ…”
“ยังไม่จบอีก?”
“ยัง!”
พอพูดออกไปแบบนั้น ม่านหมอกก็ดึงฉันไปนั่งตรงแท่นปูนริมระเบียง
“อะ ด่ามา เอาให้สบายใจ”
ยิ่งเปิดทาง ฉันก็ยิ่งได้ใจ ไม่มีหรอกนะคำว่าสงสารน่ะ ฉันทำให้หลายนาทีผ่านพ้นไปด้วยการร่ายบทสวดยาว ๆ คล้ายกับอัดอั้นมานานแสนนาน
ด่าจนเหนื่อย…
ด่าจนคนฟังต้องเอามือมาปิดปากกัน…
“ไม่ไหวว่ะ ด่าจนหูกูดับหมดแล้วเนี่ย ช่วยเงียบแล้วฟังกูบ้างได้ไหม”
“...” ฉันปัดมือเขาออก เป่าลมจนแก้มพอง กดแขนกอดอกแน่น ขณะดึงตัวกลับมานั่งตรง ทิ้งแผ่นหลังกระแทกพนักพิงอย่างแรงด้วยอารมณ์ที่ยังเดือดปุด ๆ
ขึ้นแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะลงง่าย ๆ ไหมล่ะ ฉันไม่ใช่ดารา ที่พอสั่งคัดปุ๊บแล้วจะกลับมายิ้มร่าได้เลยเสียเมื่อไหร่
“จ้าว…”
ฉันเพียงเหล่มองเล็กน้อย แต่เหมือนคนเรียกจะอยากให้ฉันหันไปหามากกว่า แขนข้างหนึ่งของเขาถึงยกขึ้นพาดต้นคอและใช้มือดันแก้มฉันเบา ๆ
ดวงตาคมจ้องลึกลงมา มันคล้ายกับการล็อกไม่ให้ฉันหลบหนีไปไหน
“กูไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น”
“เหอะ!...”
“อย่าเพิ่ง ฟังก่อน”
อยากจะแย้ง แต่ก็อย่างที่เห็น ณ ตอนนี้มันเป็นสิทธิ์ของเขาในการชี้แจง เพราะเขาให้โอกาสฉันได้พูดไปหมดแล้ว จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง โดยที่ไม่ยอมลดละสายตา เขาแน่วแน่ ไม่มีว่อกแว่กเลยแม้แต่น้อย เขาทำให้ฉันเชื่ออย่างสนิทใจ
ไม่ใช่จากลมปาก หากแต่เป็นดวงตาคู่นั้น คู่ที่ไม่พบคำลวงใด ๆ อยู่ข้างใน
สุดท้ายฉันพอจะจับใจความได้ว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นรุ่นพี่คณะเราเนี่ยแหละ เธอเป็นเด็กทุนที่ไม่ได้มีหน้ามีหน้าหรือมีฐานะร่ำรวยอะไร ไม่แปลกถ้าจะโดนกดขี่หรือโดนรังแก ฉันเองก็เคยเห็นเหตุการณ์แบบนั้นอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าเราจะตามช่วยเหลือได้ทุกคน
มันแบบ…เป็นอะไรที่ควบคุมได้ยาก ถึงเราช่วยเขาได้ในครั้งนี้ ครั้งหน้าเขาก็โดนอีกอยู่ดี บางทีอาจโดนหนักกว่า
หมอกบอกว่า ตอนที่บังเอิญไปเห็นคือสภาพเธอแย่มากจนเขาทนไม่ไหว เพราะปกติเขาไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่เธอทั้งโดนรุมทำร้าย ทั้งเอาขนมเค้กมาละเลงใส่ เพียงเพราะกลุ่มคนเหล่านั้นไม่พอใจที่เธอซื้อเค้กมาให้ผิด
ขนาดแค่ฟังยังรู้สึกแย่เลย…
ส่วนฉันก็คงไปเห็นตอนที่ม่านหมอกช่วยเช็ดคราบสกปรกพอดี ด้วยระยะที่ไกลและเขาก็ตัวโตกว่าตั้งเยอะทำให้ฉันไม่เห็นความผิดปกติบนร่างกายของเธอ
ไม่สิ…ความจริงฉันแทบไม่ได้สนใจฝั่งผู้หญิง โฟกัสแต่เขาคนเดียว
พอได้รู้แบบนี้แล้วก็รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูกเลยแฮะ…
“...มึงน่าจะเดินเข้าไปหากูนะ เพราะผู้หญิงด้วยกันน่าจะช่วยเธอได้มากกว่า”
เพราะมัวแต่คิดตาม เลยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นิ้วมือของเขาลูบวนอยู่แถว ๆ ใบหูและข้างแก้ม ก่อนฉันจะดันแขนเขาออก
“แล้วตอนนี้เธอเป็นยังไง”
“ไม่รู้ดิ คงกลับบ้านเลยแหละมั้ง”
ฉันพยักหน้ารับอย่างเข้าใจได้ สภาพแบบนั้นจะให้เรียนต่อก็คงไม่ไหว ปากก็ขยับเตรียมจะเอ่ยสิ่งที่ควรพูดออกไป แต่อีกฝ่ายดันถามขึ้นมาซะก่อน
“โอเคแล้วเนอะ”
คำขอโทษของฉันเลยเปลี่ยนเป็นการปฏิเสธข้าง ๆ คู ๆ แทน
“กูไม่ได้เป็นไร…อื้อ”
เสียงครางท้วงในลำคอหลุดออกมาตอนที่ม่านหมอกทำให้สองนิ้วของตัวเองเป็นก้ามปูแล้วยื่นมาหนีบกลีบปากฉันเข้าหากันจนมันแนบสนิท บีบย้ำ ๆ อยู่สองสามครั้งก็ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงและผละออกไป
“ก็นุ่มนิ่มดีนี่หว่า นึกว่าจะแข็งกว่านี้ซะอีก” เขาเย้าหยอกอย่างอารมณ์ดี ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับว่าไม่ได้เพิ่งถูกด่าฟรี ๆ ไปหนึ่งแมตช์
แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ยังทำตัวน่าหมั่นไส้อยู่ดี...
“ปากอะนุ่ม แต่มะเหงกเนี่ยแข็งแน่ ลองไหม” ฉันชูมะเหงกขึ้นมาขู่และยู่หน้าใส่ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ คู่สนทนาก็เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้แบบไม่บอกกล่าว
“อยากลองของนุ่มมากกว่า” สายตากะลิ้มกะเหลี่ยของเขาหลุบมองอวัยวะที่บอกว่านุ่มอยู่นาน จนฉันเผลอเม้มปากแน่น แม้แต่ลมหายใจก็ยังกลั้นมันเอาไว้
มะ...หมอนี่เป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ
“ไอ้บ้า!”