“กลับไงญาดา ให้พวกเราไปส่งมั้ย” เสียงของเซนต์ดังขึ้นจากด้านหลัง ญาดาที่กำลังยุ่งอยู่กับข้อความในมือถือต้องเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียง
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเรานั่งแท็กซี่กลับก็ได้ พวกนายกลับเถอะ” เธอตอบกลับแบบขอไปที รู้สึกไม่ชินเท่าไรที่ทุกคนให้ความสนใจเธอมากขนาดนี้
ปกติทำงานกลุ่มเธอก็แทบจะเป็นแกะดำของกลุ่ม เป็นเพียงมนุษย์ล่องหนคนหนึ่งที่รอรับงานที่พวกเขาทำไม่ได้มาทำ แต่กับกลุ่มมาวินไม่ใช่แบบนั้น ถึงเธอจะได้ส่วนที่ยากที่สุด แต่เวลาเกือบสามชั่วโมงเต็มที่ผ่านมาพวกเขาถามไถ่เธอเสมอ ไม่ว่าเรื่องกิน เรื่องงานหรือแม้กระทั่งตอนนี้เรื่องกลับบ้าน
“ไปขึ้นรถ” เสียงเข้มของมาวินเรียกความสนใจจากญาดาอีกครั้ง ใบหน้าของเขายังเรียบนิ่งราวกับคนไร้ความรู้สึก
“ว่าไงนะ”
“ค่ำแล้วพักอยู่ไหนจะแวะไปส่ง” มาวินไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องไปสนใจยัยเฉิ่มญาดาขนาดนั้น สงสารเหรอ…ก็คงไม่ เธอไม่ได้ทำตัวน่าสงสารต่อหน้าเขากับเพื่อนสักนิด ออกจะเข้มแข็งซะมากกว่าแบบผู้หญิงที่พึ่งพาตัวเองได้ประมาณนั้น
“เรากลับเองได้ คอนโดเราอยู่ไม่ไกลหรอแค่ยูเอง” ว่าจบญาดาก็หันไปอีกทางเพื่อจะเดินออกไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงของเซนต์เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ยู? ที่อยู่ห่างจากมหาลัยสามกิโลอะนะ”
“ใช่”
“คอนโดเดียวกันนี่หว่า ขึ้นรถเลย” เซนต์ว่าจบก็จะเข้ามาจับมือของญาดา แต่ด้วยความไวของเธอ ทำให้ขยับเท้าถอยห่างออกตามสัญชาตญาณทำให้เซนต์ชะงักเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
“พวกนายก็อยู่นั่นเหรอ” ญาดาตัดสินใจถามออกไปอีกครั้ง บางทีเธอก็คิดว่าตัวเองระวังตัวมากเกินไป จนถึงขั้นเป็นอินโทลเวิร์ด ถึงแม้จะอยากมีเพื่อนมากแค่ไหนแต่ใจของเธอมันก็รั้งเอาไว้ให้แค่คนรู้จักเท่านั้น
“อืม พวกเราอยู่เพนเฮาท์ชั้นบนสุด เธอล่ะอยู่ชั้นไหน”
“ชั้นสิบห้า” อะไรจะโลกกลมขนาดนั้น แต่จะว่าไปแค่ชั้นฐานะของเราก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวก็ว่าอยู่ทำไมตอนอยู่ในร้านพวกเขาถึงควักเงินจ่ายไม่ยั้ง
มาวินมองมาที่ญาดาเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังลานจอดรถแทนด้านเซนต์กับไนท์ก็เดินตามไปเหมือนกัน ญาดาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามพวกเขาไป เพราะวันนี้เธอมีงานด่วนที่ต้องทำที่ห้องอยู่พอดี กลับกับพวกเขาก็คงไม่เสียหายมากนัก
“เอ่อนี่ญาดา เธอไม่มีเพื่อนเลยเหรอ” เพียงแค่ก้นเธอสัมผัสกับเบาะหนังภายในรถเซนต์ก็เอ่ยถามขึ้นทันที เธอได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้เขา นั่นคงเป็นคำตอบมากพอที่ทำให้เซนต์เงียบครู่หนึ่ง
บรรยากาศในรถค่อนข้างอึดอัดเพราะทั้งหมดเงียบลงหลังจากเซนต์ชวนญาดาคุยแล้วเธอยังคงถามคำตอบคำ ทำให้คนที่พูดมากอย่างเซนต์เลือกที่จะเงียบปากแทน ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะมาวินที่นั่งอยู่ข้างเธอตวัดสายตาคมเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกผ่านกระจกมองหลังใส่เพื่อนสนิท
“มีปัญหาอะไรก็ไลน์มา หรือถ้าอยากขึ้นไปบนห้องก็บอก”
“ค…ใครจะอยากขึ้นไปบนห้องพวกนายกัน” เสียงตะกุกตะกักบ่งบอกความรู้สึกประหม่าของเธอได้ไม่น้อยกับแค่ประโยคเรียบๆ ของมาวิน แต่มันกลับรู้สึกแปลกๆ ในความรู้สึกของเธอ
คิ้วหนาขมวดขึ้นกันเป็นปมราวกับสงสัยในท่าทางของคนตรงหน้ามาวินบอกเธอไปแบบนั้น เพียงเพราะว่าเผื่อเธอทำงานเสร็จแล้วอยากให้ดูหรือมีข้อสงสัยคำถามอะไรในตัวโปรเจ็กที่ทำร่วมกันพวกเราจะได้คุยกัน
อย่าบอกนะว่ายัยเฉิ่มนี่คิดไปไกล หวังสูงเกินไปรึเปล่า ถึงเขาจะมัวแต่ก็เลือกอยู่นะ ไม่ใช่ไทป์ที่ใช่ เขาปล่อยผ่านตลอดไม่มีหรอกนะทดลองชิมนะ มันเสียวเวลา
“แหมมม…คุณมาวินรู้จักญาดาแค่วันเดียวก็ชวนไปห้องเลยเหรอว่ะทีพวกกูกว่าจะให้เข้าห้องได้ก็เกือบสองเดือน” น้ำเสียงที่เล่นที่จริงเอ่ยแซวเพื่อน
ไนท์กับเซนต์และมาวินรู้จักกันมานาน แต่เชื่อมั้ยกว่ามาวินจะยอมให้พวกเขาเข้าไปในห้องของมันกินเวลาไปเกือบสองเดือน แล้วไอ้ความเป็นพวกขี้เสือกนั่นก็ทำให้อยากรู้มาตลอดว่าทำไม ผลสรุปที่ได้คือมาวินเป็นพวกหวงห้องไม่ชอบให้ห้องรก ก็นะห้องพวกเขาสองคนกับห้องมาวินมันต่างกันโดยสิ้นเชิงพวกเขาต้องจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกวัน ส่วนมาวินนะเหรออาทิตย์ละครั้งเห็นจะได้ ส่วนมากก็เห็นทำเองตลอดนอกจากตอนที่ยุ่งจริงๆ เท่านั้น
“พวกมึงคิดบ้าอะไรกันอยู่เนี่ย เธอด้วยหยุดความคิด”
“เราไม่ได้คิด”
“เหอะ! หน้าเธอฟ้องออกชัดเจนว่าคิด ฉันจะบอกอะไรให้นะ เฉิ่มอย่างเธอให้ฉันหลับตาเอาก็ยังยากเลย”
ประโยคเรียบง่ายไร้ความรู้สึก แต่กลับทำให้คนฟังสะอึกอยู่ไม่น้อยไม่คิดก็ไม่คิดสิทำไมต้องพูดประโยคแรงๆ แบบนั้นออกมาด้วย ญาดารู้ตัวเองดีว่าสภาพตอนนี้ของเธอมันไม่น่ามอง สาวเฉิ่มแว่นหนาเต่อแล้วมันยังไง เธอไม่มีหัวใจรึไงถึงได้พูดทำร้ายจิตใจกัน
“ญาดา” เสียงของเซนต์เรียกขึ้น แต่ตอนนี้ญาดาไม่พร้อมจะฟังอะไรทั้งนั้น เธอเปิดประตูรถได้ก็รีบสาวเท้าเดินเข้าไปในลิฟต์กดไปยังชั้นที่เธออาศัยอยู่ทันที
“พูดแรงไปป่าวว่ะ”
“ตรงไหน กูก็พูดปกติกับผู้หญิงแบบนี้ทุกคน” มาวินไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ ปกติเขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว และก็ไม่ใส่ใจหรือรู้สึกผิดกับคำพูดเมื่อครู่เลยสักนิด