1 (1/2)

2628 คำ
                “ทำวันนี้ให้เต็มที่นะทุกคน ถ้าการเจรจาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หลังจากเสร็จประชุมเราจะไปฉลองกัน”                 “เข้าใจแล้วค่า/เข้าใจแล้วครับ” เสียงเหล่าพนักงานในแผนกขานรับหัวหน้ากันอย่างพร้อมเพียง                 ในวันนี้ทุกคนต่างกระตือรือร้นกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมากเป็นพิเศษ เนื่องด้วยวันนี้เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของทางบริษัท เพราะมีการเจรจา ทำสัญญากับบริษัทฝั่งยุโรป เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทเป็นที่รู้จักและได้ขยายฐานลูกค้าไปทางฝั่งยุโรปมากขึ้น                 เหล่าพนักงานต่างตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากการเจรจาครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นั่นหมายความว่าในสิ้นปีนี้โบนัสก้อนใหญ่กำลังรอเราอยู่                  ธนภัทรรู้สึกประหม่าเล็กน้อย หลังจากรู้ว่าตัวเองมีรายชื่อที่ต้องเข้าร่วมการเจรจาด้วย การเจรจาทำสัญญาครั้งนี้ไม่ใช่แค่การพูดคุยกันระหว่างสองผู้บริหาร หาข้อตกลงแล้วลงนามทำสัญญาเท่านั้น แต่เหล่าพนักงานที่เกี่ยวข้องด้วยก็ต้องเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย เพื่อที่โชว์ศักยภาพของบริษัท ข้อดีของผลิตภัณฑ์ มูลค่าทางการตลาดและผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างจะได้รับซึ่งกันและกัน                 หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งสองบริษัทอาจจะได้เจรจาตกลงธุรกิจอื่นที่อยู่ในเครือบริษัทเดียวกันด้วย นั่นหมายความว่าจะมีเม็ดเงินมหาศาลหมุนเวียนเข้ามา                 ในตอนแรกธนภัทรคิดว่าตัวเองจะไม่ได้เข้าร่วมเจรจาครั้งนี้ด้วยซ้ำ เพราะเขาเพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ไม่ถึงปี ไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญอะไร แถมตำแหน่งของเขาก็ยังอยู่ปลายแถวของแผนกอีกต่างหาก บางครั้งเขาก็ต้องเป็นลูกมือ คอยช่วยเหลือรุ่นพี่ในแผนก เพื่อที่จะได้เรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ที่ต้องพึงมีเอาไว้                 “ภัทรอย่าลืมเช็กแผ่นนี้ให้ด้วยนะ”                 “ได้ครับ พี่นัท” ว่าจบก็รับเอกสารที่จะใช้ในประชุมครั้งนี้มาตรวจเช็กเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจัดเรียงเข้าแฟ้ม ให้เรียบร้อย นำไปวางเรียงให้เป็นระเบียบเพื่อเตรียมประชุมในบ่ายวันนี้                  ธนภัทรไม่เคยรู้สึกประหม่าเท่านี้มาก่อน เขาไม่ได้แสดงอาการประหม่าออกมาให้คนรู้ แต่อาการที่ว่ามันอยู่ข้างใน....เขากำลังกังวลทุกอย่าง กลัวตัวเองจะเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้การเจรจานี้ผิดพลาด แม้ความผิดพลาดนั้นอาจเป็นแค่กระจุกเล็ก ๆ แต่ธนภัทรจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเด็ดขาด                 ยิ่งเห็นว่าทุกคนเป็นจริงเป็นจัง ตั้งใจทำงานเพื่อให้การประชุมครั้งนี้ออกมาดีที่สุดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น พยายามจะตรวจเช็กเอกสารที่เหล่ารุ่นพี่ในแผนกส่งให้ตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขหรือข้อความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เขาเป็นคนตรวจเอกสารครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะนำเข้าห้องประชุม ดังนั้นหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายในตอนนี้ก็สำคัญมากเช่นกัน                 “นาน ๆ ที คุณภาสกรจะเข้าบริษัท ตั้งใจทำงานนะ แสดงศักยภาพตัวเองให้เขาเห็นเท่าที่ทำได้เผื่อเขาจะเห็นแววแล้วให้เลื่อนตำแหน่งให้เราเร็ว ๆ” พี่นัทชวนภัทรคุย หลังอีกฝ่ายเห็นว่าธนภัทรเริ่มทำหน้าเครียด                 “คุณภาสกรเหรอครับ” ธนภัทรถาม                 “ใช่....ไม่รู้จักหรือ”                 “เคยได้ยินชื่อครับ แต่ไม่เคยเห็นหน้า”                 “เขาไม่ค่อยเข้ามาบริษัทหรอก ได้ยินจากเลขาเขาว่า คุณภาสกรกำลังเรียนต่อปริญญาเอกอยู่แล้วก็กำลังวุ่นกับธุรกิจส่วนอื่นที่กำลังบุกตลาดต่างประเทศด้วย”                 “......”                 “แต่พี่จะบอกให้นะ คุณภาสกรน่ะ....หล่ออย่าบอกใครเชียว”                 “เหรอครับ” เมื่อได้ยินรุ่นพี่คนสนิทว่าเช่นนั้น ธนภัทรก็เริ่มอยากเห็นหน้าคุณภาสกรขึ้นมาบ้างแล้ว อยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะหล่อแค่ไหน ถึงทำให้ลูกน้องเอ่ยปากชมได้                 “ใช่ หล่อมาก....แต่ไม่มีพนักงานคนไหนกล้าเอาคุณภาสกรไปเพ้อฝัน ใฝ่สูงอยากยืนเคียงข้างคุณเขาหรอก”                 “อ้าว ทำไมล่ะครับ” ธนภัทรถามต่ออย่างสงสัย หากมีเจ้านายหล่อเหลา ลูกน้องที่ยังโสดก็ย่อมแอบมีเพ้อฝันบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา                 “เฮ้อ....พี่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าภัทรได้เห็นคงจะถึงบางอ้อเองนั่นแหละ คนบางคนไม่ได้เกิดมาคู่เราหรอก บางคนก็มีไว้แค่ให้มองเท่านั้น”                                 ยิ่งใกล้ถึงเวลาประชุมมากขึ้นเท่าไร ธนภัทรก็ยิ่งรู้สึกประหม่ามากขึ้นเท่านั้น คราวนี้เขาเริ่มออกอาการผ่านทางน้ำเสียงและแววตาจนรุ่นพี่ร่วมแผนกต้องคอยปลอบว่าไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี                 ก่อนจะถึงเวลาประชุม คนของทางบริษัททั้งฝั่งเขาและคู่เจรจาก็เริ่มทยอยเข้าห้องประชุม เพื่อที่จะได้เริ่มประชุมได้ตรงตามกำหนดการ บริษัทที่ธนภัทรทำงานอยู่ ให้ความสำคัญกับเรื่องเวลามาก กำหนดการตอนไหนก็ต้องเริ่มตอนนั้น                 “ภัทร...คุณภาสกรมาแล้ว” พี่นัทที่นั่งอยู่ข้างกันเอ่ยบอกธนภัทรเสียงแผ่ว ให้เราได้ยินกันแค่สองคน                 หลังจากที่ก้มมองตักตั้งสติกับตัวเองอยู่นานสองนาน เพียงได้ยินเช่นนั้นธนภัทรก็รีบเงยหน้าขึ้น มองตรงไปยังประตูทันที ก่อนที่คุณภาสกรจะเข้ามา ทีมเลขาก็ได้เข้ามาก่อน เพียงแค่ได้เห็นหน้าคุณภาสกร ธนภัทรก็ถึงบางอ้อตามที่พี่นัทพูดไว้ทันที เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเหล่าพนักงานถึงไม่กล้าเพ้อฝัน คิดเกินเลยกับคุณเขา                 ธนภัทรเข้าใจอย่างท่องแท้เลยล่ะ....                 คุณภาสกรน่าจะสูงร้อยแปดสิบกว่า ๆ เขาเดินเฉิดฉายมาแต่ไกล เข้าประชุมก่อนกำหนดไม่ต่างจากเหล่าพนักงานเช่นกัน ทุกคนบนโต๊ะลุกขึ้นเพื่อทำความเคารพเจ้านายรวมถึงเขาด้วย                 ดวงตาของธนภัทรจับจ้องผู้บริหารหนุ่ม ผู้เป็นเจ้านายตัวเองตาไม่กะพริบ คุณภาสกรสามารถแสดงเสน่ห์ออกมาได้โดยไม่ต้องพูดด้วยซ้ำ นั่นทำให้ภัทรจับจ้องคุณเขาแทบไม่ละสายตา จ้องใบหน้ารูปงามยิ่งกว่าพนักงานคนอื่น ๆ เพราะเขาเพิ่งเคยเจอหน้าอีกฝ่ายครั้งแรก ย่อมประหม่าและตกใจในความมีเสน่ห์ของคุณเขา ซึ่งพนักงานคนอื่นอาจจะเคยชินไปแล้ว                 คุณภาสกรกวาดสายตามองเหล่าพนักงานในปกครองของตัวเองและวินาทีที่คุณภาสกรเลื่อนสายตามาเจอะกับเขา ธนภัทรก็รีบส่งยิ้มไปให้เจ้านายตามมารยาท ถือเป็นการฝากเนื้อฝากตัวตัวเองไปด้วย ซึ่งคุณภาสการก็ส่งยิ้มตอบกลับมาตามมารยาทเช่นเดียวกัน                 เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของคุณภาสกร ธนภัทรก็รู้สึกว่าโลกของเขาได้หยุดหมุนไปชั่วคราว...                   ตลอดการประชุม.....ธนภัทรมองคุณภาสกรด้วยสายตาชื่นชม หลายครั้งที่เขาเผลอจ้องหน้าคุณภาสกรนานนับนาที ก่อนจะรีบผละมองไปทางอื่น หลังถูกจำได้ว่ากำลังแอบมอง                 ภัทรชื่นชมในความเก่งและมีเสน่ห์ของอีกฝ่าย ภายใต้น้ำเสียงนุ่มนวลฟังแล้วดูลื่นหูนั่น แอบแฝงไปด้วยอำนาจ ภัทรมองเห็นรังสีความเป็นผู้บริหารแผ่รอบตัวของคุณเขา คุณภาสกรดูแตกต่างจากพนักงานบริษัททั่วไป ชนิดที่ว่าไม่ต้องให้ใครเอ่ยแนะนำตำแหน่ง ก็สามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าอีกฝ่ายอยู่ในระดับไหน                 ในที่สุดการเจรจา ทำสัญญากับบริษัทฝั่งยุโรปก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หลังพนักงานทุกคนแสดงศักยภาพออกมาอย่างสุดความสามารถ บรรยากาศความกดดันที่มีก่อนเข้าห้องประชุมหายไปในทันที เมื่อได้รับผลตอบรับที่ดีจากว่าที่บริษัทคู่ค้ารายใหม่                      “อย่าลืมนะคะ หัวหน้าบอกว่าจะพาเราไปฉลองกัน หลังเสร็จจากงานประชุม” หนึ่งในรุ่นพี่ประจำแผนกเอ่ยทักท้วงหัวหน้า หลังเราทยอยออกมาจากห้องประชุมกันด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้น                 “รู้แล้วน่า....ผมไม่ผิดคำพูดอยู่แล้ว พวกคุณน่ะเตรียมท้องให้ว่างแล้วเคลียร์คิวไว้ดีกว่า” เหล่าพนักงานทุกคนถึงกับเฮ้ลั่น เมื่อได้ยินพี่ชาติ ผู้เป็นหัวหน้าแผนกเอ่ยยืนยันว่าหลังเลิกงานวันนี้จะพากันไปเลี้ยงฉลอง โดยมีเจ้าตัวเป็นเจ้าภาพของงานเลี้ยง                 “ภัทรก็ด้วยนะ อย่าลืมไปด้วยกัน” พี่ชาติหันมาพูดกับภัทร                 “ได้ครับ”                 ขณะที่เหล่าพนักงานกำลังยืนจับกลุ่มคุยกัน หลังเสร็จงานประชุม ทุกคนก็ต้องรีบแหวกทางตรงหน้าประตูห้องประชุมให้ เมื่อผู้บริหารประจำบริษัทค่อย ๆ ทยอยกันออกจากห้องประชุม ซึ่งมีทั้งคนที่ภัทรรู้จักและไม่รู้จัก โดยคุณภาสกรและเลขาของเขาออกจากห้องกลุ่มสุดท้าย                  ภัทรจับจ้องใบหน้าคุณภาสกรอีกครั้ง เขายืนอยู่ด้านหลังของทุกคน แอบมองคุณภาสกรอยู่ที่ไกล ๆ เพราะไม่อยากให้คุณเขาจับได้อีก แม้เขาจะแอบมองบ่อย แอบมองตั้งแต่เราอยู่ในห้องประชุมด้วยกัน โดนจับได้บ้างเป็นบางครั้ง แต่ภัทรก็ยังเลือกที่จะมองอยู่ดี                 ธนภัทรละสายตาจากคุณภาสกรไม่ได้จริง ๆ                 “ขอบคุณทุกคนที่ทำงานเหนื่อยนะครับ”                 คุณภาสกรไม่ได้เดินออกจากห้องประชุมไปเฉย ๆ เหมือนกับผู้บริหารท่านอื่น แต่เขาหยุดคุยกับเหล่าพนักงานตัวเอง แสดงความเป็นกันเองออกมา คงหวังจะลดความเกร็งของเหล่าพนักงานทั้งหลายที่ยืนอยู่ตรงบริเวณนั้น เขาไม่พูดพร้อมขอบคุณเปล่า แต่ยังฉีกยิ้มกว้าง นั่นทำเอาเหล่ารุ่นพี่ผู้หญิงในแผนกที่มองเห็นรอยยิ้มนั้นตายกันเป็นแทบ ๆ                 “ภัทรดูรอยยิ้มคุณภาสกรสิ พี่จะไม่ทนแล้วนะ” พี่นัทกระซิบข้างหูธนภัทร พร้อมกับเอามือทาบเหนืออกข้างซ้ายของตัวเอง มองใบหน้าหล่อที่อยู่ไกลจากพวกเขาด้วยสายตาเพ้อฝัน ทำเอาภัทรถึงกับหลุดยิ้มออกมา                 “ถ้าจะลงสนาม ผมว่าคู่แข่งเยอะนะครับพี่นัท” ภัทรกระซิบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกลับไปมองคุณเขาอีกครั้ง                  ภัทรสะดุ้งเล็กน้อย นึกว่าคุณภาสกรจะไม่เห็นตัวเองเพราะยืนอยู่ไกล แต่ตอนนี้คุณเขากลับกำลังมองเขาอยู่ต่างหากและดูเหมือนจะมองอยู่นานแล้วด้วย คราวนี้ธนภัทรถึงกับทำตัวไม่ถูก หัวใจเขาเต้นแรง ไม่รู้ควรจะส่งยิ้มไปให้เหมือนทุกทีหรือเปล่า สุดท้ายจึงตัดสินใจหลุบตามองพื้น แสร้งไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น                 “เลิกงานแล้ว พวกคุณจะไปไหนกันต่อหรือเปล่า” คุณภาสกรหันไปถามพี่ชาติ                 “ผมตั้งใจว่าหลังเลิกงานจะพาลูกน้องไปกินเลี้ยงกันครับ เชิญคุณภาสกรกับคุณเลขาด้วยนะครับ”                 “โอเค…งั้นเดี๋ยวผมจะเป็นเจ้าภาพเอง ไหน ๆ พวกคุณก็ยอมเหนื่อยเพื่อเราแล้ว”                 กลายเป็นที่ฮือฮาของเหล่ารุ่นพี่ในแผนก เมื่อคุณภาสกร ผู้บริหารคนหล่อที่ไม่ค่อยเข้าบริษัท ยกเว้นมีเรื่องสำคัญหรือมีสัญญาที่ต้องรอการอนุมัติจากผู้บริหารระดับสูง เป็นคนออกปากเองจะเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงแทนพี่ชาติ ผู้เป็นหัวหน้าแผนก มิหนำซ้ำยังจะไปร่วมฉลองด้วย ทำเอาพนักงานแผนกอื่นถึงกับตาร้อนกันเป็นแทบ ๆ                 “ภัทรว่าพี่ควรจะเติมหน้าเพิ่มไหม”                 “ฮ่า ๆ เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วมั้งครับพี่นัท ข้างในก็ไฟสลัว คงไม่มีใครให้อะไร” ภัทรว่า ใบหน้าเขาเปื้อนยิ้มมองพี่นัทที่กำลังเติมแป้ง ก่อนจะไปฉลองต่อด้วยความเอ็นดู                 “แล้วปากล่ะ”                 “พอแล้วครับ”                 “รวม ๆ แล้วพี่โอเคใช่ป่ะ” พี่นัทถามภัทรอีกครั้ง เพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันหญิงสาวก็มองตัวเองในกระจกตลับแป้งไปด้วย                 “โอเคแล้วครับ สวยแล้วครับ” ธนภัทรยืนยัน ใบหน้าเขายังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ “ภัทรไม่เคยพี่นัทกังวลว่าตัวเองไม่สวยเท่านี้มาก่อนเลย”                 “แหม….รอบนี้ไม่ได้นะคะคุณน้อง พี่ต้องขอสวยนิดนึง ไม่คิดเลยอะว่าคุณภาสกรจะไปฉลองกับเราด้วย สงสัย การประชุมผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เม็ดเงินจะเข้าบริษัทเยอะ เขาก็เลยอยากจะขอบคุณเราจริง ๆ แหละมั้ง เพราะปกติน่ะเป็นแต่เจ้าภาพออกเงินให้อย่างเดียว ไม่เคยไปฉลองกับพนักงานหรอก เขาคงไม่สะดวกใจเท่าไร”                 ภัทรรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาสกรจากปากรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนอย่างเงียบ ๆ เขาไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น เพราะเขารู้จักคุณภาสกรผิวเผินเหลือเกิน แถมเพิ่งจะได้เห็นหน้าคุณเขาก็วันนี้เอง หลังจากได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอีกฝ่ายมานาน                 เพราะภัทรยังไม่มีรถส่วนตัวและไม่รู้ว่าต้องไปเจอกันที่ร้านไหน ทำให้เขาต้องอาศัยติดรถรุ่นพี่ในแผนกไปด้วย ภัทรต้องโทรหาพี่เนย พี่สาวข้างบ้านให้ช่วยเข้าไปดูแลเจ้าโอ๊ตก่อน เพราะเขาคงไม่ได้แวะเข้าไปบ้าน หลังจากเลิกงานก็เลยไปยังร้านที่จะจัดฉลองเลย                 ธนภัทรยังถือว่าตัวเองเป็นเด็กใหม่มาก ๆ  ในแผนกเขาไม่ค่อยสนิทกับใครมากเป็นพิเศษ คนที่คุยเล่นกันบ่อยที่สุดก็มีแค่พี่นัทเท่านั้น ไม่รู้ว่าการไปฉลองครั้งนี้ เขาจะสนุกไปกับมันหรือเปล่า                 พอเข้ามาถึงในร้าน ก็มีพี่ในบริษัททยอยเข้ามาถึงก่อนแล้ว พี่ชาติจองห้องคาราโอเกะที่ใหญ่ที่สุดของร้าน เพื่อรองรับพนักงานทั้งแผนก เนื่องด้วยคุณภาสกรออกปากเองว่าจะเป็นเจ้าภาพ จึงไม่ต้องเกรงว่ากระเป๋าตังตัวเองจะขาด                 “ต้องรอคุณภาสกรมาถึงก่อนไหมคะ” หนึ่งในพนักงานประจำแผนกเอ่ยถามผู้เป็นหัวหน้า เมื่อพนักงานเริ่มทยอยเข้ามาในร้านเกือบครบแล้ว                 “เขาบอกให้สั่งก่อน อาจจะมาถึงช้า” เมื่อพี่ชาติว่าเช่นนั้น เหล่าพนักงานที่ต่างร่วมทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อยก็เริ่มสั่งอาหารมาคนละอย่างสองอย่างตามความชอบ                 เพราะภัทรเป็นพนักงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ไม่ค่อยสนิทกับใคร ทำให้เขากลายเป็นคนพูดน้อยที่สุด ธนภัทรไม่อยากสร้างกำแพงให้กับตัวเอง เขาจึงพยายามให้ความสนใจทุกคน ไม่ว่าพี่คนไหนจับไมค์ เขาก็พยายามจะสนุกไปด้วย                 โชคดีที่สภาพแวดล้อมในแผนกไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เป็นบรรยากาศที่ใครหลายคนต่างใฝ่ฝัน เพราะพี่ ๆ ในแผนกเกือบทุกคนพยายามเป็นกันเองกับเขาให้มากที่สุด เพื่อลดระยะห่างต่อกัน เนื่องด้วยต้องร่วมงานกันอีกหลายครั้ง ทำให้ค่อย ๆ ธนภัทรคลายความกังวลลง                 “น้องภัทรรรรรร มาห้องคาราโอเกะทั้งที อยากร้องเพลงอะไรหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ชิงไมค์ตอนนี้จะไม่ได้จับไมค์แล้วน้า” พี่ชาติเรียกชื่อธนภัทรผ่านไมค์                 “เอาเลยครับ ผมขอดูเฉย ๆ ดีกว่า ร้องเพลงไม่เก่ง” ภัทรว่าพร้อมกับฉีกยิ้มส่งไปให้ เรื่องการเรียนเขาอาจเป็นที่หนึ่ง แต่เขาไม่ถนัดเรื่องร้องเพลงจริง ๆ เป็นสายนั่งฟังและมีส่วนร่วมมากกว่า                 ธนภัทรเหลือบมองประตูห้องคาราโอเกะอีกครั้ง ตอนนี้พนักงานในแผนกมาถึงร้านกันหมดแล้ว ขาดแต่คุณภาสกร ผู้ซึ่งเป็นเจ้าภาพและเป็นคนออกปากเองว่าจะมาร่วมสังสรรค์ด้วย                 ธนภัทรไม่ได้เฝ้ารอคุณภาสกร เขาก็แค่สงสัยว่าคุณเขาจะมาไหม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม