1(2/2)

2717 คำ
                  เมื่อธนภัทรรู้สึกว่าตัวเองให้ความสนใจกับการมาของคุณภาสกรมากเกินไป เขาจึงพยายามดึงสติ เบี่ยงความสนใจของตัวเองกลับมายังโต๊ะอาหารอีกครั้งและร่วมพูดคุยกับพี่ ๆ ในแผนกเพื่อเพิ่มความสนิทสนม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายเหลือบไปมองประตูห้องอยู่หลายครั้งหลายครา                 ภัทรไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเหมือนกัน แต่เขารู้สึกว่าอยากจะจ้องหน้าคุณภาสกรอีกครั้ง มันอาจจะดูเสียมารยาทเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกันและเขาเป็นเพียงแค่พนักงานธรรมดา แต่ครั้งนี้ภัทรจะไม่ทำให้ตัวเองถูกจับได้แน่นอน                 สมแล้วที่ความหล่อของคุณเขาเป็นที่กล่าวขานของเหล่าพนักงานทั้งบริษัท ขนาดภัทรที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน เขายังไม่สามารถละสายตาออกจากใบหน้าคมคายของคุณภาสกรไม่ได้เลยราวกับมีบางอย่างดึงดูดเขาเอาไว้                 “หรือที่คุณภาสกรบอกว่าจะมา เขาก็แค่พูดตามมารยาทกันนะ? ภัทรคิดว่าไง” เกือบสิบนาทีที่ธนภัทรเลิกสนใจการมาของคุณภาสกร พี่นัทที่นั่งดื่มเบียร์และกินอาหารอยู่ข้างกันก็หันมาถามเขา                 “ผมไม่สนิทกับคุณภาสกร จะรู้เหรอครับว่าเขาพูดตามมารยาทหรือจะมาจริง ๆ” ภัทรว่า                 หากคิดดี ๆ ธนภัทรเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถ้าคุณภาสกรจะไม่มาตามที่บอกไว้ เขาก็แค่อยากเห็นหน้าคุณเขาอีกสักครั้งก็เท่านั้น แต่ถ้าคุณภาสกรไม่มาก็ไม่เป็นไร ธนภัทรก็แค่คิดว่าหากเขาได้มองหน้าอีกฝ่ายจนเบื่อ อาการอยากเห็นหน้าแบบนี้คงจะหายไป                 บทสนทนาระหว่างเขาและพี่นัทจบลงแค่นั้น ไม่มีใครสนใจการมาของคุณภาสกรอีก รวมถึงธนภัทรด้วย อีกหนึ่งชั่วโมงร้านจะปิดแล้ว คงเป็นคำอธิบายได้ดีว่าคุณภาสกรจะมาจริง ๆ หรือแค่พูดตามมารยาทเท่านั้น                 ภัทรฉีกยิ้มกว้าง หัวเราะออกมาบ้างในบางครั้ง ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่คนครองไมค์ ทุกอย่างเริ่มสนุกได้ที่ ขนาดพี่นัทที่เคยนั่งอยู่ข้างกันเขา ตอนนี้ก็เคลื่อนย้ายตัวเองไปเป็นหางเครื่องให้นักร้องหน้าห้องไปแล้ว                 ภัทรร่วมสนุกสนานกับพี่ ๆ ทุกคนที่อยู่ในห้อง ตอนนี้เหล่าพนักงานในแผนกกำลังสนุกสุดเหวี่ยง ราวกับว่าพรุ่งนี้ไม่มีงานรอพวกเราอยู่ มีบ้างที่ขอตัวกลับก่อน เพราะมีหน้าที่ต้องไปส่งลูกแต่เช้าตรู่ ซึ่งพี่ชาติก็ยอมปล่อยไป เพราะพรุ่งนี้ยังไม่ใช่วันหยุดของเรา สนุกคืนนี้ พรุ่งนี้ทุกคนก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ                 ไม่มีใครสนใจการมาของคุณภาสกรอีกเลย จนกระทั่งประตูห้องคาราโอเกะถูกเปิดออก คุณภาสกรเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ มีเลขาติดตามมาด้วยหนึ่งคน ซึ่งไม่ได้เข้ามาจุ้นจ้าน แต่นั่งอยู่มุมห้องอย่างเงียบ ๆ แสดงขอบเขตงานอย่างชัดเจนว่ามาทำงานและติดตามคุณภาสกรเท่านั้น ไม่ได้ร่วมสังสรรค์กับเหล่าพนักงาน                 อาจเพราะด้านในห้องคาราโอเกะเป็นไฟสลัวค่อนข้างมืด ทำให้ไม่มีใครสนใจว่าใครเป็นคนเปิดประตูเข้ามา แต่ธนภัทรรู้ เพราะเขานั่งอยู่หลังห้อง ใกล้กับประตูและคุณภาสกรทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะ ที่ว่างที่อยู่ข้างเขา                 “คุณภาสกรมาแล้ว....” ภัทรมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความตกใจ นึกว่าคุณเขาจะไม่มาเสียแล้ว ภัทรรีบกุลีกุจอวางแก้วแอลกอฮอล์ที่กำลังถือไว้ลงกับโต๊ะทันที ทำท่าจะโน้มตัวไปสะกิดพี่ในแผนกที่นั่งถัดออกไปไม่ไกลเท่าไรนัก เพื่อบอกว่าคุณภาสกรมาแล้ว                 “ไม่ต้องบอกพวกเขาหรอก เพราะให้พวกเขาสนุกไปเถอะ” คุณภาสกรไม่ว่าเปล่า แต่ดึงแขนรั้งร่างภัทรไว้ด้วย              “ก็ได้ครับ” หากคุณภาสกรไม่ต้องการให้เขาบอกใคร ภัทรก็จะไม่ทำ เขาจึงกลับมานั่งเรียบร้อยเช่นเดิม                 เพราะตอนนี้ทุกคนให้ความสนใจแค่ข้างหน้าห้องเท่านั้น บ้างก็เคลื่อนเก้าอี้ย้ายไปข้างหน้าแล้ว เหลือเพียงแค่ภัทรนั่งดื่ม นั่งทานอาหารบนโต๊ะอยู่หลังห้องเพียงลำพัง พอคุณภาสกรเข้ามาก็กลายเป็นว่าพวกเขานั่งอยู่หลังห้องด้วยกันเพียงสองคน                 ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งคู่ ภัทรก็เงียบ คุณภาสกรก็ไม่ได้ชวนคุย มันดูน่าอึดอัด  แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา คุณภาสกรก็เจ้านาย ธนภัทรก็ลูกน้อง สถานะเราแตกต่างกันอย่างชัดเจน แถมภัทรเองเพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทได้เพียงไม่นาน                 ตอนนี้โครงการที่ธนภัทรอยากลองจ้องหน้าคุณเขาอีกสักครั้ง มองหน้าคุณภาสกรให้เบื่อไปข้าง ถูกพับลงแต่โดยดี เนื่องด้วยภัทรนั่งใกล้คุณภาสกรมากเกินไป มันไม่เหมาะสมเท่าไรนัก เพราะแค่เงยหน้าขึ้น คุณภาสกรก็ตวัดสายตามามองเขาแล้ว ดีไม่ดีหากจ้องคุณเขานาน ๆ คุณภาสกรอาจจะมองภัทรในแง่ลบอีก ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดี แต่หากมองไกล ๆ คงพอไหวอยู่                 ภัทรหลุบตามองหน้าตักตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนบรรยากาศข้างหน้าห้องและด้านหลังถูกตัดออกจากกันชั่วคราว ตอนนี้ภัทรเองก็ยอมรับว่าเริ่มเมาขึ้นมาบ้างแล้ว สติไม่เต็มร้อยเหมือนตอนขามา แต่ยังพอประคับประครองสติตัวเองได้อยู่ รู้ว่ากำลังคุยกับใคร แต่ความรอบคอบอาจไม่เหมือนเดิม                 จากตอนแรกที่จะยกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมาดื่ม พอคุณภาสกรมา ภัทรก็ไม่กล้าหยิบ ไม่พูดไม่จา ไม่หัวเราะ ดูเรียบร้อยเกินไป ผิดธรรมชาติของธนภัทร                 “ไม่สนุกเหรอ” ความเงียบปกคลุมเราหลายสิบนาที ในที่สุดคุณภาสกรก็เอ่ยปากชวนพูดคุยก่อน                 “ส—สนุกครับ” ภัทรตอบเสียงแผ่ว เขาอยากจะชวนคุณภาสกรคุยเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร                 “เหรอ....แต่ผมไม่เห็นคุณยิ้มหรือดูสนุกเลยนะ เป็นเพราะผมมาหรือเปล่าครับ”                 “ไม่นะครับ” ธนภัทรเงยหน้าขึ้นพร้อมโบกมือปฏิเสธคุณภาสกรทันที หากจะมีคนผิดก็คงเป็นเขานี่แหละที่เป็นอะไร ทำไมต้องนั่งเกร็ง ไม่เป็นธรรมชาติแบบนี้                          “แล้วคุณมาถึงนานหรือยังครับ”                 “อะไรนะครับ” เนื่องด้วยเสียงดนตรีมันดัง ไหนจะเสียงเฮฮาของคนหน้าห้อง ทำให้ภัทรได้ยินแค่บางคำพูดของคุณเขาเท่านั้น จึงขยับเข้าไปให้ เพื่อให้คุณเขาพูดประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง                 “คุณภัทรมาถึงนานหรือยัง?” คุณภาสกรไม่ตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงเพลง แต่เลือกที่จะกระซิบถามข้างหูถามพนักงานหน้าใหม่ตัวเล็กแทน ราวกับว่าคำถามนั่นเป็นความลับของเราสองคน ก่อนจะค่อย ๆ ผละออกพร้อมเผยรอยยิ้มที่สามารถทำให้ธนภัทรชะงักไปครู่หนึ่ง                 “อ—อ๋อ....ก็ได้สักพักแล้วครับ”                 เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ ความเกร็งยามที่คุยกับคุณภาสกรค่อย ๆ ลดลง หลังคุณเขาชวนคุยภัทรอย่างเป็นธรรมชาติและคุยอย่างไม่ขาดตอน เราคุยกันแค่สองคน ไม่มีพี่คนไหนหันมามองด้านหลังเลยสักคน มีการกระซิบกันบ้าง ยามเสียงเพลงดังมากเกินไปจนไม่ได้ยินเสียงของกันและกัน                 “คุณเก่งวิชาอะไรเหรอ?”                 “ก็พอถูไถได้ทุกวิชาครับ แต่วิชาที่คิดว่าตัวเองพอจะถูไถไปได้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นพวกวิชาคำนวณและภาษาอังกฤษ” ภัทรว่า                 เขาต้องยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนฉลาดอะไรมากมาย ที่ผ่าน ๆ มาเขาอาศัยความขยันของตัวเองทั้งนั้นและความขยันเหล่านั้นก็ส่งผลให้คะแนนเขาดี จนทำให้บริษัทใหญ่ตัดสินใจรับเขาทำงาน                 “ผมเห็นใบคะแนนในพอร์ตฯ ที่คุณแนบมา คะแนนเกือบเต็มทุกช่องเลยนะ” คุณภาสกรว่าต่อ                 “นั่นเพราะว่าผมอ่านมันจนแทบไม่ได้นอน ก่อนจะสอบน่ะครับ ไม่ใช่เพราะผมฉลาด” ภัทรว่า ยังยืนยันคำเดิมว่าตัวเองไม่ใช่คนฉลาด แต่อาศัยความขยันล้วน ๆ ก่อนที่ภัทรจะขมวดคิ้ว หลังนึกขึ้นได้ว่ามันแปลก ๆ                 “นี่คุณดูพอร์ตฯสมัครงานของผมเหรอครับ” ธนภัทรถามต่อ ตอนที่เขาสมัคร เขาจำได้ว่าผู้จัดการเป็นคนสัมภาษณ์งานเขา ซึ่งในบริษัทผู้บริหารระดับสูงเขาไม่มายุ่งกับเรื่องนี้หรอก                 “ใช่ครับ ผมสงสัยว่าคุณเป็นใคร เข้ามาทำงานในบริษัทตอนไหน เลยให้คุณเลขาไปหาพอร์ตสมัครงานของคุณมาให้ดู” คุณภาสกรยอมรับแต่โดยดี                 “อ๋อครับ....” ธนภัทรขานรับในลำคอ ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไรอีกต่อไป                 “แต่ผมชอบคนเก่งและถ่อมตัวแบบคุณนะ” คุณภาสกรไม่ว่าเปล่า แต่ยื่นมือมาลูบหัวภัทรด้วยท่าทางคล้ายจะเอ็นดู นั่นทำให้คนที่รับสัมผัสถึงกับสะดุ้ง ไม่คิดว่าคุณเขาจะสัมผัสตัว แม้มันจะเป็นแค่ศีรษะก็เถอะ แต่มันทำให้ภัทรตกใจ                 “ขอโทษที....ผมลืมไป” คุณภาสกรว่าพร้อมกับผละออกจากศีรษะของภัทรทันควัน คุณเขาเองก็เพิ่งนึกได้ว่ากำลังเสียมารยาทกับพนักงานตัวเล็กอย่างธนภัทร                 “ม—ไม่เป็นไรครับ” ธนภัทรว่าพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะผละสายตาออก เบนสายตมองไปทางอื่นแทนที่จะมองหน้าคุณภาสกรเหมือนอย่างเคย                 สัมผัสจากฝ่าอุ่นยังคงตราตรึงอยู่ความรู้สึกของภัทร บทสนทนาที่กำลังลื่นไหลสะดุดชั่วคราว ต่างฝ่ายต่างทำตัวไม่ถูกอีกครั้ง เหมือนเรากำลังจะย้อนกลับไปตอนเราช่วงที่คุยกันในตอนแรก ๆ                 “ผมขอโทษจริง ๆ” คุณภาสกรเอ่ยคำขอโทษอีกครั้ง                 “ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ” ธนภัทรเองก็ยังยืนคำเดิมว่าไม่เป็นไร                 บทสนทนาของเราจบลงเพียงเท่านั้น เมื่อความสนุกได้หมดแล้ว หลังเข็มนาฬิกาบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนตรง ไฟสลัวในห้องคาราโอเกะในตอนแรกถูกเปิดให้สว่างโรจน์ บรรยกาศความสนุกสนาของเหล่าพนักงานทั้งหลาย หายวับไปในพริบตาพร้อม ๆ กับ ทุกคนที่เริ่มเห็นว่าคุณภาสกรเองก็อยู่ในห้องคาราโอกะแห่งนี้ด้วย                 “อ้าว คุณภาสกรมาถึงตอนไหนเหรอครับ ภัทรทำไมไม่บอกพวกพี่เล่า” พี่ชาติเป็นคนเอ่ยถามแทนพี่ ๆ ทุกคน พี่เขาเอ่ยถามคุณภาสกรพร้อมกับถามภัทร ดูน้ำเสียงคล้ายจะติเตียนที่ไม่ยอมบอกกัน นั่นทำให้ธนภัทรถึงกับอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบคำถามหัวหน้าแผนกยังไงดี                 “ผมเป็นคนบอกเขาเองว่าไม่ต้องบอกพวกคุณ พวกคุณจะได้สนุกให้เต็มที่ จะได้ไม่ต้องเกร็งว่าผมอยู่ในห้อง” คุณภาสกรอ้าปีกปกป้อง                 “โธ่....คุณภาสกรครับ จริง ๆ น่าจะปล่อยให้ภัทรบอกพวกเรานะครับ จะได้เตรียมเครื่องดื่มไว้รอ แบบนี้เหมือนพวกเราไม่มีมารยาทกับคุณเลย”                 “ผมไม่ถือครับ ไม่ได้ตั้งใจจะมาดื่มหรือกินอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างคืนนี้เป็นงานสังสรรค์ของพวกคุณ ไม่ได้เป็นงานที่พวกคุณต้องมาคอยมพิธีรีตองกับผมอีก” คุณภาสกรว่าด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ นั่นจึงทำให้ไม่มีใครกล้าค้านคุณเขาอีก                 ก่อนที่คุณภาสกรจะหันไปบอกเลขาส่วนตัวให้จัดการเรื่องบิลค่าอาหาร ค่าห้องคาราโอเกะในคืนนี้ ตามคำสัญญาที่บอกว่าจะเป็นเจ้าบ้านงานเลี้ยงฉลองนี้ให้                 “คุณจะกลับยังไง” คุณภาสกรที่มางานนี้เพื่อเป็นเจ้าภาพโดยเฉพาะเอ่ยถามธนภัทร ขณะที่เราทยอยออกจากร้านคาราโอเกะพร้อมกับเหล่าพนักงานคนอื่น ๆ                 “ผมว่าจะกลับแท็กซี่ครับ” ภัทรว่า ขามาเขามากับพี่นัท แต่ขากลับเราต้องแยกกัน เพราะบ้านพี่นัทอยู่คนละฝั่งกับเขา                 “แต่ฝนใกล้ตกแล้วนะครับ” คุณภาสกรไม่ว่าเปล่า แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงดูน่ากลัว ไหนจะอาการฟ้าแล่บที่มีให้เห็นเป็นระยะ ๆ นั่นอีก                 “แต่นั่งแท็กซี่ก็ไม่เปียกฝนนะครับ”                 “บ้านคุณอยู่แถวไหน”                 “แถวปิ่นเกล้าครับ”                 “ไหน ๆ ก็จะกลับทางเดียวกันแล้ว ให้ผมไปส่งเถอะ”                 “ครับ? อ๋อ....ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่มาเป็นเจ้าภาพวันนี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว” เมื่อจับใจความได้ว่าคุณเขาจะไปส่ง ธนภัทรก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยปฏิเสธทันที                 “ถ้าปล่อยให้คุณกลับคนเดียว ผมก็คงไม่สบายใจ” คุณภาสกรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะเดียวกันธนภัทรก็เริ่มมองรอบ ๆ ตัว เพื่อพบว่าพี่ ๆ ในแผนกก็เริ่มทยอยกลับกันแล้ว บ้างก็ยืนรอให้แฟนมารับ                 “......”                 “....เถอะนะครับ”                 “งั้นผมรบกวนคุณภาสกรด้วยนะครับ” ธนภัทรว่า เมื่อเจ้านายยืนยันคำเดิมว่าจะไปส่งให้ได้ ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มีหรือที่ลูกน้องของเขาจะกล้าปฏิเสธความหวังดีนั้นเป็นหนที่สอง                 เป็นครั้งแรกชีวิตที่ธนภัทรได้นั่งรถหรู ยี่ห้อดัง ภายในรถคันงามมีแค่เขาและคุณภาสกรเท่านั้น ส่วนคุณเลขาที่ตามคุณเขามาก็แยกย้ายกลับบ้าน เพราะหมดเวลางานแล้ว ความเงียบเข้าปกคลุมเราไม่ทั้งคู่อีกครั้ง มีบ้างที่ภัทรพูด เพราะต้องคอยบอกทางเขาเป็นระยะ ๆ                 “เลี้ยวซอยนี้ใช่ไหมครับ” คุณภาสกรเอ่ยถาม                 “ใช่ครับ แล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกตามบังคับเลี้ยวเลย” ภัทรว่า อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงบ้านตัวเองแล้ว                 “โอเคครับ ผมก็ว่าทำไมคุ้นชื่อซอยจัง เพิ่งนึกได้ว่าคนที่ผมรู้จักเขาก็อยู่ซอยนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าบ้านหลังไหน” ว่าจบก็เลี้ยวรถตามคำบอกของธนภัทร                 รถคันหรูของคุณภาสกรมาจอดหยุดสนิทที่หน้าบ้านหลังเล็ก ๆ ของภัทรแล้ว เวลานี้เจ้าโอ๊ตหลานชายคนเก่งคงหลับไปแล้ว                 “เข้ามาดื่มน้ำก่อนไหมครับ” ธนภัทรเชื้อเชิญตามมารยาท ไหน ๆ คุณเขาก็อุตส่าห์เสียเวลามาส่งเขาทั้ง ๆ ที่ฝนตั้งเค้าใกล้จะตกเต็มที ภัทรชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองเพื่อที่จะพบว่าเวลานี้เกือบจะตีหนึ่งแล้ว มันนับว่าดึกมากสำหรับคนที่ต้องไปทำงานก่อนเก้าโมงเช้าอย่างเขา                 “ขอบคุณครับ” คุณภาสกรไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนั้น เขาเต็มใจที่จะเข้าไปดื่มน้ำในบ้านหลังเล็ก ๆ ของธนภัทร พักให้หายเหนื่อย ก่อนจะขับรถกลับที่พักตัวเอง                 “คุณอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวเหรอครับ” คุณเขาชวนภัทรคุย ดวงตาคมกวาดสายตามองชั้นล่างของบ้านขนาดเล็ก แต่ให้กลิ่นอายความอบอุ่นคลุ้มไปหมด ในขณะเดียวกันภัทรก็กำลังอยู่ในห้องครัว กำลังรินน้ำเย็น ๆ ใส่แก้วให้                 “เปล่าครับ ผมอยู่กับเจ้าโอ๊ต”                 “ลูกของคุณ?”                 “หลานชายครับ” ธนภัทรรีบปฏิเสธ เขาจะไปมีลูกได้ยังไง ตั้งแต่เรียนจบมายังไม่มีแฟนสักคน “นี่น้ำครับ                 “ขอบคุณครับ” คุณภาสกรไม่ได้ถามอะไรอีก คุณเขาอยู่ในบ้านภัทรเกือบยี่สิบนาที จนกระทั่งดื่มน้ำเย็น ๆ ในแก้วหมด ก็ได้เวลาที่เราทั้งคู่ต้องร่ำลากันเสียที                 “ขอบคุณสำหรับน้ำเย็น ๆ มากนะครับ ผมต้องกลับแล้ว”                 “ขอบคุณที่มาส่งเช่นกันครับ มาครับ เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่รถ” ธนภัทรอาสาเดินไปส่งคุณเขา                  จังหวะที่คุณภาสกรเตรียมจะก้าวเท้าออกจากบ้านก็เหมือนฟ้าฝนจะกลั่นแกล้ง เพราะไม่ทันที่คุณภาสกรจะพ้นประตู ฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง ลมพัดแรงชนิดที่ว่ากางร่มไปส่งที่รถ คันร่มก็อาจหักคามือได้ ทำเอาคนเตรียมจะกลับ ต้องถอยทัพชั่วคราวแล้วหันมาถามเจ้าของบ้าน                 “คุณภัทร....จะเป็นอะไรไหม หากผมจะขอหลบฝนที่บ้านคุณสักพัก?”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม