ตอนที่ 6

1741 คำ
ตอนที่ 6 โอวหยางซิวรู้สึกหน้าแดงเล็กน้อยที่ตนปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ แม้เขาจะไม่ได้มีเจตนาจะดูถูก แต่คำถามก็สามารถสร้างความอับอายในหญิงสาวได้ จึงชวนกินต่อเพื่อแก้เขิน “ทั้งหมด 94 หยวนค่ะ” พนักงานคิดเงินนำรายการค่าอาหารมาวาง ก่อนยืนรออย่างสงบเสงี่ยม เพราะทั้งโต๊ะมีแต่คนหน้าตาดีทั้งนั้น ให้ความรู้สึกเจริญหูเจริญตาอย่างมาก “นี่ครับ ไม่ต้องทอน” เซียวเซินรีบจ่ายเงินทันที เมื่อเห็นอวี่จือหลินกำลังล้วงเงินออกมานับ “เอ๊ะ ได้อย่างไงคะ มื้อนี้ฉันต้องเลี้ยงขอบคุณ คุณเซียวนะคะ” อวี่จือหลินมองตามหลังพนักงานเก็บเงิน ที่เดินกลับไปอย่างมึนงง “ไว้ครั้งหน้าดีกว่าครับ วันนี้เราไปเลือกจักรยานกันเถอะ” เซียวเซินเฉไฉก่อนลุกขึ้นเดินนำออกไปเพื่อจบบทสนทนา “พี่เซิน ทำไมน้องอวี่ต้องอยากเลี้ยงข้าวเราด้วย” โอวหยางซิวที่ปล่อยไก่ไปครั้งหนึ่ง จึงรีบเดินมากระซิบถามพี่ชายของตน เพราะสงสัยในคำพูดของหญิงสาว “คนที่โดดน้ำวันนั้น คือคนนี้แหละ เขาจึงคิดว่าควรเลี้ยงขอบคุณเรา” เซียวเซินอธิบายเบาๆ เพื่อไม่ให้เจ้าคนปากมากนี่เผลอพูดอะไรไม่คิดอีก ซึ่งได้ผลอย่างมาก เพราะตั้งแต่นั้นมาโอวหยางซิวรู้สึกระมัดระวังการพูดมากขึ้น ทั้งเรียบร้อยและพูดน้อยอย่างยิ่ง เซียวเซินช่วยจูงจักรยานไปวันยังร้านข้าวที่ลุงเขยของอวี่จือหลินทำงานอยู่ จากนั้นทั้งหมดจึงเดินไปร้านขายจักรยานในตลาด อวี่จือหลินเลือกจักรยานสีเทาไม่ฉูดฉาดออกมาหนึ่งคัน เน้นมีตะกร้าด้านหน้า และมีเบาะหลังอย่างพึงพอใจ ก่อนเห็นเซียวเซินเลือกจักรยานลักษณะเหมือนกันแต่สีดำ แล้วทั้งคู่ก็จ่ายเงินคนละ 25 หยวน สำหรับราคาจักรยานเทียบกับเงินเดือนขั้นต่ำถือว่าแพงพอสมควร แต่ก็คุ้มค่าและสะดวกต่อการเดินทางของคนเมืองอย่างมาก แต่เทียบกับชาวบ้านคือต้องเก็บเงินอย่างเป็นปี และหักค่าใช้จ่ายอื่นๆออกไปถึงจะซื้อได้สักคัน เพียงครึ่งวันอวี่จือหลินก็ทำการค้าและซื้อจักรยาน กับของจิปาถะอื่นๆลุล่วงไปด้วยดี ก่อนบอกลาสองหนุ่มและปั่นจักรยานกลับหมู่บ้าน “พี่เซินรถยนต์เราก็มี จะซื้อจักรยานไปทำไม” โอวหยางซิวที่อดทนมาตลอด หลังอวี่จือหลินปั่นจักรยานออกไปแล้วจึงถามอย่างอัดอั้น “ก็ต้องไว้ปั่นสิ” เซียวเซินตอบเหมือนได้รับคำถามที่ไม่สมควรถามออกมา “เหอะ ความรักมันบังตาก็อย่างนี้ พี่ชอบน้องอวี่ละสิ บอกมาเถอะ” โอวหยางซิวถามแกมหยอกเย้า เขานึกว่าพี่ชายได้ตายด้านไปแล้ว สาวๆคนในที่ปักกิ่งก็ไม่เห็นจะสนใจสักที มาอิงถานคราวนี้ จากประวัติก็รู้ว่าเพิ่งเจอกันจริงๆเพียงสองครั้งเท่านั้น กลับตกหลุมรักได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ “ใช่ ฉันชอบเธอ” เซียวเซินยอมรับอย่างกล้าหาญ “อ่าฮ้า พี่น่าจะเข้ารับราชการทหารนะ” โอวหยางซิวที่หวังจะได้เห็นอาการเขินอายของชายหนุ่มที่ตกหลุมรักครั้งแรก แม้จะแอบเห็นหูแดงๆเล็กน้อยของพี่ชาย แต่ความกล้าหาญในการยอมรับนี้ทำให้เขารู้สึกนับถือเพิ่มขึ้นไปอีก โอ้โห พี่ชายเซิน สมกับเป็นคนที่เขานับถือ กระทั่งยอมรับว่าชอบหญิงสาว ยังสารภาพได้อย่างตรงไปตรงมา ครอบครัวโอวหยางเป็นตระกูลทหารระดับนายพล ปู่เขาเป็นนายพลที่เกษียณอายุราชการ ปัจจุบันก็เป็นพ่อเขาที่ดำรงตำแหน่งนายพลเช่นกัน และมีเขาที่ผ่าเหล่าผ่ากอเรียนจบมัธยมแล้วยังไม่รู้จะทำอะไรดี เลือกที่จะเดินตามตูดคุณชายเซียวไปนั่นไปนี่ด้วยกันเสมอ แต่เพราะตระกูลโอวหยางกับตระกูลเซียวต่างเป็นมิตรสหายที่ดีด้วยกันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ทำให้พฤติกรรมเช่นนี้ของคุณชายโอวหยางได้รับการหลับตาข้างหนึ่งจากคนในครอบครัวมาโดยตลอด ส่วนตระกูลเซียวเป็นตระกูลที่คหบดีเก่าที่ผ่านช่วงเวลาของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมมาอย่างยากลำบาก ตั้งแต่ปี 1966 คุณนายเซียวก็พาทั้งครอบครัวขึ้นเรือหนีไปยังอเมริกา ด้วยทรัพย์สินบางส่วนที่มี และอิทธิพลของการเป็นอดีตคุณหนูรองพาน ทำให้สามารถใช้ชีวิตที่อเมริกาได้อย่างไม่ยากลำบากนักหากเทียบกับคนอื่น จนกระทั่งท่านผู้นำคนปัจจุบันได้มีการรื้อถอนนโยบายการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเมื่อหกปีที่แล้ว และคืนทรัพย์สินให้กับหลายตระกูลที่ถูกตรวจสอบ ทำให้ตระกูลเซียวได้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง ตอนนั้นไปอเมริกาเซียวเซินยังมีอายุเพียงสองขวบเท่านั้น แต่ชีวิตที่เติบโตในต่างแดน ก็ไม่ได้ทำให้เขาลืมภาษาและวัฒนธรรมของบ้านเกิดเลย เนื่องจากย้ายไปทั้งครอบครัว แม้การศึกษาทั้งหมดจะเรียนที่นั่นตั้งแต่ต้นจนสามารถเรียนจบมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในสาขาวิชาธุรกิจและบริหาร ทั้งเอกและโทด้วยระดับดิสทิงคฺชัน[1]ในวัยเพียง 18 ปี ก่อนค่อยติดตามครอบครัวกลับมาจีนเมื่อสองปีที่แล้ว ปัจจุบันกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมอย่างไม่ยากเย็น แต่เซียวเซินที่ใช้ชีวิตตามใจตัวเองมาโดยตลอด นอกจากกลับมาช่วยบริหารธุรกิจของครอบครัว เรื่องคนข้างกายจึงยังไม่สนใจจนถึงวันนี้ “ขายปลาหมดแล้วเหรอจือหลิน” ฟางซินเห็นหลานสาวกลับมาด้วยจักรยานคันใหม่ ทั้งยังนำถังเปล่ากลับมาด้วย “หมดแล้วค่ะป้า” อวี่จือหลินตอบ ก่อนพาป้าและแม่เข้ามาพูดคุยกันในบ้าน ส่วนเหมาอี้เฉินเห็นว่าไปวิ่งเล่นกับสหายในหมู่บ้าน “ขายได้ทั้งหมด 272 หยวน หนูซื้อจักรยานไป 25 หยวน กับของอื่นๆนิดหน่อย เหลือ 220 หยวนนะคะ” จากนั้นแจกแจงรายรับรายจ่ายวันนี้ให้แม่กับป้าฟัง “ป้าซิน ดูแลบ้านไม่ง่ายเลยร้อยหยวนนี้เป็นการแสดงความกตัญญูของหนูและแม่นะคะ” อวี่จือหลินหยิบเงินไปวางไปหน้าป้าของเธอทันที “ไม่เอาๆ พวกเธอสองแม่ลูกก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน ปลานี้พวกป้าไม่ได้ทำอะไรเลย” ฟางซินปฏิเสธ “ต่อไปก็ต้องรบกวนป้ากับลุงเขยแล้วล่ะค่ะ ถือว่าให้เป็นธุรกิจครอบครัวเราละกัน ทุกข์สุขร่วมกัน ภัตตาคารเยว่เทียนในเมืองสั่งจองซื้อปลากับเราทุกวัน ต่อไปก็นำปลาไปขายให้เขาก่อน ถ้าเหลือก็ค่อยนำไปขายตลาด แต่ดูจากปริมาณที่ไปขายวันนี้เขายังสามารถซื้อได้อีก แต่เป็นเพราะคนส่งปลาเจ้าประจำเขามีปัญหา ไม่แน่ว่ายังจะรับปริมาณเท่าเดิมหรือไม่” อวี่จือหลินอธิบาย แต่ก็ไม่ได้กังวลมาก หากไม่หมดก็ขายที่อื่น อิงถานเป็นแม้ไม่ใช่เมืองเอกของมณฑล แต่ก็มีตลาดหลายแห่ง ทั้งคนเมืองก็มากกว่าในหมู่บ้านและตำบล จากการค้าขายวันนี้ทำให้เธอเลือกกลุ่มลูกค้าได้ว่าควรเป็นร้านอาหารก็ดี ขอแค่แต่วันหาปลาให้มากๆก็พอ เลือกขนาดพอเหมาะ ตัวไหนเล็กไปก็เก็บไว้ “ได้ ไว้ป้าจะคุยกับลุงเขยเรื่องที่ทำงาน เย็นนี้จะให้ลุงไปขุดหลุมเพิ่ม” ฟางซินตัดสินใจได้ไม่ยาก ค่าแรงรายวันไม่กี่เหมาจากร้านขายข้าวจะสู้ขายปลาให้ภัตตาคารได้อย่างไร อีกอย่างวิธีหาปลาก็ง่ายดายนัก ปลาในแม่น้ำย่อมมีคนจับไปขายหลายเจ้า แต่กับปลาในหนองน้ำก็มีทั้งชนิดที่เหมือนและชนิดที่ต่าง ดังนั้นจึงสามารถขายได้ง่ายกว่า “อันนี้ไว้ทาหน้าบำรุงมือนะคะ” จากนั้นแจกครีมบัวหิมะให้แม่กับป้าคนละกระปุกเพื่อบำรุง เพราะเธอไม่อาจมองดูมือหยาบๆ กับหน้าโทรมๆของทั้งสองได้ และไม่ให้ปฏิเสธเพราะซื้อมาแล้ว ทำให้หญิงทั้งสองดีใจมาก ส่วนเหล้าและบุหรี่พวกนี้เธอจะนำไปฝากพวกลุงๆ กับผู้ใหญ่บ้านอู้หยวนสักหน่อย เก่งมาจากไหนหากไม่มีลมใต้ปีกก็ยากที่จะบินขึ้นสูงได้ เมื่อคิดจะปักหลักอยู่อู้หยวนแล้วก็ควรทำความรู้จักผู้ใหญ่อย่างนอบน้อมสักหน่อย “ขอบใจนะจือหลิน” ฟางซินกำเงิน 100 หยวน ใจเต้น เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านอย่างเธอจะเก็บเงิน 100 หยวนได้ สายตามองอวี่จือหลินเจือไปด้วยความรักใคร่และเอ็นดูอยู่สามส่วน สมน้ำหน้านังเฒ่าอวี่นักที่ไร้วาสนาเช่นนี้ อวี่จือหลินที่ได้รับสายตาเอ็นดูอย่างไม่ทันตั้งตัวก็ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง ได้แต่ยิ้มบางๆส่งป้าที่บอกว่าจะออกไปซื้อเนื้อหมูมาทำอาหารเพิ่มสักหน่อย “แม่ ร้อยหยวนนี้แม่เก็บไว้ อีกยี่สิบหยวน กับเศษที่เหลือหนูเก็บเอง” อวี่จือหลินแบ่งเงินออกให้แม่ของเธอ “เยอะไปแล้ว แม่อยู่แต่ในบ้านไม่รู้จะเอาไปซื้ออะไร จือหลินลูกเก็บไว้เถอะจ้ะ” ฟางเจินปฏิเสธ “แม่ หนูรู้ว่าเมื่อก่อนทำไม่ดีไว้มาก แค่อยากกตัญญูนิดหน่อยเอง เงินแค่ร้อยหยวนนี่ไม่ได้มากเลย ต่อไปแม่ต้องช่วยหนูเก็บเงินมากกว่านี้อีก ไม่รู้จะซื้ออะไรได้อย่างไร เสื้อผ้าหน้าผม ของพวกนี้ใช้เงินทั้งนั้น” อวี่จือหลินบอกเพื่อให้แม่ได้คิดบำรุงปรนเปรอตัวเองบ้าง ฟางเจินจึงยอมรับเงินมาเงียบๆอย่างอบอุ่นใจ ก่อนคิดว่าจะซื้อเสื้อผ้า และของบำรุงให้ลูกสาวอะไรบ้าง แม้ความคิดทั้งสองจะสวนทางกัน แต่ก็ต่างมีความปราถนาดีให้แก่กันอย่างจริงใจ [1]ดิสทินชัน Distinction เกียรตินิยม หรือคะแนนสอบยอมเยี่ยม ของปริญญาโทในต่างประเทศ ติชมอย่างสุภาพ ขอคอมเม้นท์ และกำลังใจ ด้วยนะคะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม