ตอนที่ 5

2235 คำ
ตอนที่ 5 “เห็นอาห่าวบอกว่าเธอค้าส่งปลาหรือ” ผู้จัดการเติ้งออกมาต้อนรับอวี่จือหลินที่ด้านหลังร้าน “ใช่ค่ะผู้จัดการเติ้ง ฉันแซ่อวี่ ชื่อจือหลิน จากหมู่บ้านอู้หยวน วันนี้ได้ปลามามากเกินไปเลยไปตั้งขายที่เหลือในตลาด พี่ชายห่าวบอกว่าที่ภัตตาคารต้องการปลาพอดี ฉันจึงนำมาขายให้นี่แหละจ้ะ” พนักงานหนุ่มคนนั้นแซ่ห่าว ทุกคนจึงเรียกเขาด้วยแซ่เช่นกัน อวี่จือหลินแนะนำตัวรวบรัด เพราะสอบถามชื่อผู้จัดการภัตตาคารเยว่เทียนมาแล้ว “ปลาดีทีเดียว เนื้อปลาไม่ช้ำเลย จากอู้หยวนมาในเมืองก็ไม่ใกล้ ถือว่าใส่ใจไม่น้อย ปกติฉันรับปลาอวี่และปลาอื่นๆชั่ง[1]ละ 50 เหมา ส่วนปลาไหลชั่งละ 1 หยวน วันนี้ืถือว่าค้าปลีกให้เพิ่มชั่งละ 10 เหมาละกัน” ผู้จัดการเติ้งบอกอย่างใจดี ภัตตาคารเยว่เทียนเป็นภัตตาคารใหญ่ของเมืองอิงถาน ปกติปลาหลายสิบตัวต่อวันแทบไม่เพียงพอ แต่นี่ก็ถือว่าดีกว่าไม่มี “เรื่องสิบเหมาไม่เป็นไรจ้ะ ครั้งนี้วาสนาดีได้พบผู้จัดการเติ้ง อีกอย่างไม่ต้องรอขายปลาทีละตัวถือว่าประหยัดเวลาได้มาก เอาตามที่ผู้จัดการเติ้งว่ามาได้เลย” ปากของอวี่จ่งสามารถดึงเอาเรื่องดินฟ้าอากาศมาเป็นเรื่องมงคลได้อย่างไม่อยากเย็น อีกทั้งใครบ้างไม่ชอบคำมงคลเหล่านี้ “งั้นครั้งหน้ามีอีกก็เอามาส่งที่ภัตตาคารฉันก่อนก็แล้วกันนะ” ผู้จัดการเติ้งชื่นชอบคำพูดคำจาของสหายหญิงผู้นี้มาก จึงเลือกที่จะทำการค้าปลาด้วยกันต่อไป “ขอบคุณค่ะ ผู้จัดการเติ้ง” อวี่จือหลินขอบคุณ ก่อนเข้าไปชั่งปลา และรับเงินกับเสมียน เธอแนะนำตัวกับทุกคนอย่างยิ้มแย้มสร้างความประทับใจได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหมาเดียว หน้าตาแบบนี้ต้องใช้ให้คุ้มค่า อวี่จ่งดีดลูกคิดในหัวทันที ปลาไหลชั่งละ 1 หยวน ปกติปลาไหลก็มีน้ำหนักไม่เกิน 1-1.5 ชั่งอยู่แล้ว ทั้งหมดสิบสองตัว ได้เงินมา 12 หยวน กับไม่กี่เหมา ส่วนปลาอวี่และปลาอื่น คิดราคาชั่งละ 50 เหมา มีทั้งหมด 13 ตัว มีตั้งแต่ตัวละ 2 ชั่ง ถึง 6 ชั่ง ได้มาถึง 260 หยวน กับอีก 40 เหมา คิดรวมทั้งหมดเฉพาะหยวนคือ 272 หยวน อ่าฮ้า… ถึงว่าค้าขายยุคนี้มันดีจริงๆ อีกอย่างคือคิดถูกแล้วที่เลือกมาขายในเมือง เงินเดือนพนักงานรัฐอยู่ที่ประมาณ 40 - 50 หยวน เธอขายปลาวันเดียวได้ 272 หยวน กับค่าครองชีพในปี 84 นับว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างแน่นอน ตอนเข้าไปด้านในเธอแอบเห็นราคาอาหารจานหนึ่งไม่ต่ำกว่า 5 หยวน บางจานมีราคาถึง 20 หยวนด้วยซ้ำ สมกับเป็นภัตตาคารในเมือง ไว้คราวหน้าต้องพาแม่กับครอบครัวป้ามาลิ้มรสสักที “พี่เซิน กินข้าวไป มองหลังร้านไป มีอะไรหรือเปล่าพี่” โอวหยางซิวเริ่มสงสัยพฤติกรรมของพี่ชายอีกครั้ง นอกจากจะไม่เลือกนั่งหน้าร้านชมบรรยากาศแล้ว ยังเลือกโต๊ะที่แทบจะติดครัวด้านในแทน “นายกินๆไปเถอะ ไม่ต้องพูดมาก” เซียวเซินคีบเนื้อปลาใส่จานน้องชายก่อนเห็นความเคลื่อนไหวหลังร้านแล้วรีบออกไป “นายรอนี่แหละ เดี๋ยวฉันมา” “หะ” น้ำชาล้างปากแทบพุ่ง ทำได้แต่มองพี่ชายวิ่งออกไปหน้าร้านก่อนเลี้ยวออกไปจนลับตา “สวัสดีครับ” เซียวเซินเห็นเป้าหมายแล้วไม่ทันได้เตรียมตัว จึงรีบออกไปดักหน้าและทักทายอย่างไม่มีมาด “สวัสดีค่ะ” อวี่จือหลินทักกลับอย่างงงงวย อะแฮ่ม ยอมรับแหละว่าหน้าตาเช่นนี้ล่อตาคนจริงๆ แต่ได้มีชายหนุ่มขาวคมแต่งกายเหมือนหนุ่มเมืองหลวง หน้าตาหล่อเหลา ไหนจะนาฬิกา…อื้อหื้อ นั่นมันโรเล็กซ์ เดโทน่าไม่ใช่หรือ ราคามือสองในปีสองพันยังมากกว่าสองแสนหยวน โอเค ไม่ใช่แค่หน้าตา แต่รวยด้วย “คุณขวางทางฉันอยู่ค่ะ” เธอไม่ได้อยากเล่นตัวหรอกนะ แต่คนไม่รู้จักกันมาขวางทางแบบนี้ก็ต้องระมัดระวังกันหน่อยจริงไหม อวี่จือหลินกล่าวเตือนอย่างระมัดระวัง พร้อมเก็บสายตาสำรวจคนของตัวเองกลับมาโดยไว เพราะชาติก่อนต้องใช้ชีวิตชั้นสูงระดับหนึ่ง ศาสตร์แห่งการมองคนนั้นจึงพอมีอยู่บ้าง อีกทั้งเมื่อก่อนเป็นคนที่หน้าตาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นการแต่งหน้าแต่งตัวจึงเรียกได้ว่าถูกประโคมเพื่อสามารถออกงานได้อย่างไม่ขายหน้า และต้องมีมาดผู้บริหารระดับสูงไว้ ดังนั้นเครื่องประดับพวกนี้เธอจึงสามารถมองแล้วแทบจะบอกราคาออกมาได้ “เอ่อ คือ…คุณจำผมได้ไหมครับ” เซียวเซินที่มีความไวพอจะเห็นการสำรวจทางสายตาของหญิงสาวตรงหน้า แต่เพียงแวบเดียวเธอก็เลือกที่จะผละออกไป จริงๆเขาก็ไม่ได้สนใจทัศนคติของคนอื่นที่มีต่อเขามากนัก แค่เพียงเกิดมาในตระกูลเซียวก็เรียกได้ว่าทั้งชีวิตแทบไม่เคยได้รับการปฏิเสธมาก่อน พอถูกหญิงสาวบอกว่าขวางทางจึงรู้สึกไปไม่เป็นอยู่บ้าง “คือที่แม่น้ำหลูซีเมื่อสามวันก่อน คุณกระโดดน้ำ…” เซียวเซินที่เห็นหญิงสาวส่ายหน้า จึงเฉลยออกมา วันนั้นเขากำลังออกจากสำนักอุตสาหกรรมทองแดงเพื่อมาเจรจาธุรกิจซื้อเหมืองแทนครอบครัว เพราะปัญหาเล็กน้อยทำให้เขายังต้องอยู่ในเมืองอิงถานมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว ระหว่างดูที่ดินจึงพาน้องชายไปเดินเล่นที่แม่น้ำหลูซี บังเอิญเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งร้องไห้ จากนั้นไม่นานก็กระโดดลงไปต่อหน้าต่อตา เขาที่เติบโตมาในประเทศอเมริกาตั้งแต่เด็ก เรื่องความต้องระมัดระวังในชื่อเสียงย่อมไม่สำคัญเท่าการช่วยชีวิต จึงกระโดดลงไปช่วยทันที งมอยู่สักพักจึงช่วยขึ้นมาได้ คราแรกนึกว่าเธอตายไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าอยู่ๆจะสำลักน้ำขึ้นมา ก่อนมีชาวบ้านแถวนั้นบอกว่ารู้จักและช่วยพาเธอกลับบ้านเหอไป แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้อยากได้รับการตอบแทนอะไรจากชาวบ้านพวกนี้ พอเห็นหญิงสาวได้รับความช่วยเหลือต่อจึงปล่อยไปอย่างนั้น อีกทั้งโอวหยางซิวที่มาด้วยกันก็ไม่อยากให้เขาต้องซวยรับผิดชอบไปด้วย จึงทำได้เพียงปล่อยผ่าน จนกระทั่งมาเจอเธอที่ตลาดวันนี้ เขาบอกว่าเจอกันครั้งแรกถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หากได้พบเป็นครั้งที่สองเรียกว่าพรหมลิขิตหรือไม่ เซียวเซินคิดเข้าข้างตัวเองจนน่าขำขัน เพราะปกติเขาไม่ใช่คนเชื่ออะไรไร้สาระแบบนี้ ถนนหลายล้านเส้นสุดท้ายก็สามารถมารวมกันเป็นเส้นเดียว คนจะเวียนมาเจอกันได้ย่อมไม่แปลก หากแต่ความรู้สึกที่ไม่ยอมปล่อยผ่านในครั้งนี้ ทำให้เขาต้องวิ่งออกมาขวางหน้าเธอ “คุณคือคนที่ช่วยฉันไว้เหรอคะ” อวี่จือหลินถามเสียงสูง แหม…ตอนแรกนึกว่าคนทั่วไปที่ใช้มุกเก่าๆมาจีบสาวเสียอีก อืม แต่ปีนี้ปี 84 ถือว่ามุกไม่เก่าละกัน คนนี้สินะคือสาเหตุที่ทำให้คุณนายเหอต้องด่าเธอว่า สำส่อน กับ ให้ผู้ชายอื่นลูบคลำไปทั่ว ช่างสรรหาคำมาด่าคนได้เก่งจริงๆ ถ้าเธอคือสตรีในยุค 80 จริงๆ คำพูดพวกนี้นับว่าฆ่าคนได้เลย ยิ่งกับผู้หญิงในชนบทที่ใช้ชีวิตขึ้นอยู่กับจารีตเพื่อเฝ้ารอการแต่งงานที่ดีเท่านั้น ในยุคนี้ยังคงถือเรื่องการแตะเนื้อต้องตัวระหว่างชายหญิงอยู่มาก ดีแล้วที่เขาไม่ตามไปบ้านเหอด้วยกัน แม้เขาจะมีหน้าตาดีก็ตามแต่การที่ต้องมาแต่งงานกับคนที่ช่วยชีวิตเพราะแค่มีน้ำใจนั้นเป็นคนละส่วนกัน ลองคิดกลับกันว่าคนที่ช่วยเธอครั้งนั้นเป็นตาเฒ่าหัวงู หรือคนที่มีเมียอยู่แล้วล่ะ ชีวิตต่อจากนี้ไม่ต้องกล้ำกลืนฝืนกินเลยหรือ แต่ใช่ว่าโสด หน้าตาดีแล้วจะต้องยินดีแต่งงานด้วยสักหน่อย ยิ่งกับคุณนายที่อยากจะกดหัวเธอไม่ให้เทียบชั้นกับคุณหนูของบ้านแล้ว ถ้ามีโอกาสคงไม่ยอมปล่อยให้เธอลอยนวลเช่นกัน ตลอดสามสิบห้าปีในชาติก่อนอวี่จ่งก็สามารถอยู่ด้วยลำแข้งตัวเองอย่างภาคภูมิใจได้ เพราะด้วยเรื่องหน้าตาตัวเองก็หนึ่ง และก็ยังไม่เจอชายคนไหนที่มีนิสัยที่เข้ากันได้จริงๆด้วยละนะ “ใช่ครับ ผมชื่อเซียวเซิน” เซียวเซินพยักหน้าและแนะนำตัวหลังจากได้ยินเสียงใสไพเราะของคนตรงหน้า พลางมองตาที่เบิกกว้างตกใจของหญิงสาว ก่อนเปลี่ยนมาจ้องมองเขาตาแป้วอย่างอารมณ์ดี “อ่า ฉันชื่ออวี่จือหลินค่ะ ขอบคุณคุณเซียวมากนะคะ ไว้โอกาสหน้าจะเลี้ยงข้าวตอบแทนแน่นอนค่ะ” อวี่จือหลินผงกหัวขอบคุณเล็กน้อย ก่อนรับปากจะเลี้ยงข้าวตอบแทนอย่างไม่ถือตัว “คุณมีธุระหรือครับ” เซียวเซินถามอย่างเสียดาย “ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นธุระ พอดีฉันจะไปซื้อจักรยานน่ะค่ะ …คือคันนี้เป็นของลุงเขย” อวี่จือหลินอธิบาย เพราะคนตรงหน้าต้องงงว่าก็กำลังจูงจักรยานอยู่ทำไมถึงเป็นข้ออ้างว่าจะไปซื้ออีกคัน “ถ้างั้นไปกินข้าวด้วยกันก่อนไหมครับ พอดีผมก็อยากซื้อจักรยานเหมือนกัน” เซียวเซินกล่าวเชิญอวี่จือหลินไปยังภัตตาคารข้างๆทันที อวี่จ่งที่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธจึงเดินตามไป …แน่นอนว่าภัตตาคารนั้นก็คือเยว่เทียนนั่นเอง เมื่อเดินเข้าไปเธอได้เห็นชายหนุ่มอีกคนหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้กัน หากแต่ดูสำอางค์กว่ามาก “คนนี้คือโอวหยางซิวเป็นน้องชายผมเอง อาซิวคนนี้คือสหายหญิงอวี่จือหลิน” เซียวเซินแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน ก่อนเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่งตรงข้าม แล้วพาตัวเองไปนั่งฝั่งเดียวกับน้องชาย กำลังบ่นถึงราคาค่าอาหารของภัตตาคารเยว่เทียนไป ทั้งยังหมายใจว่าจะพาแม่กับครอบครัวป้ามากินสักครั้ง ไม่คิดเลยว่าจะไวขนาดนี้ มองดูอาหารบนโต๊ะแล้วเธอจึงสั่งอาหารเพิ่มสองอย่างเท่านั้น พลางนึกถึงเงิน 272 หยวน ที่ยังอยู่ในกระเป๋าไม่ทันอุ่น ก็ดูเหมือนพร้อมจะบินออกไปหลายใบเสียแล้ว อย่างไรก็เป็นบุญคุณช่วยชีวิต ชดใช้ให้จบๆไปจะดีกว่า อวี่จือหลินครุ่นคิดอย่างปวดใจเล็กน้อย “น้องสาวอวี่อยู่ที่อิงถานเหรอ” รับประทานไปไม่กี่คำ เจ้าคนไม่อยู่สุขอย่างโอวหยางซิวก็เปิดประเด็นถามทันที ก็แน่สิ ปกติเขาเคยได้รับการแนะนำหญิงสาวสักคนให้รู้จักจากเซียวเซินสักครั้งหรือ แน่นอนว่า ไม่ อีกทั้งหญิงคนนี้สวยหยาดเยิ้มปานนางฟ้า ไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวในเมือง หรือมณฑล แม้แต่ในเมืองหลวง ด้วยความงามเช่นนี้ก็ยังอยากที่จะมีคนมาเทียบเคียงได้ “อยู่ที่หมู่บ้านนอกเมืองค่ะ วันนี้ฉันมาขายปลาในเมือง” อวี่จือหลินตอบสั้นๆโดยไม่ละเอียดนัก “โอ้…น้องอวี่ทำอาชีพขายปลาหรือ” โอวหยางซิวถามอย่างสนใจ ชีวิตคุณชายในปักกิ่งย่อมไม่เคยลำบาก แม้จะไม่ร่ำรวยเพราะที่บ้านรับราชการ แต่ก็ถือว่ามีชีวิตที่ดีและมีหน้ามีตามาก มองหญิงสาวที่น่าจะยังอยู่ในวัยเรียนเช่นนี้ จึงมีความรู้สึกเห็นใจในชะตากรรม “แล้วน้องสาวไม่เรียนหนังสือหรือ…” “อาซิว!” เซียวเซินขัดจังหวะคำถามที่ดูจะละลาบละล้วงเกินไปของน้องชาย หญิงสาวคงอายุไม่มากนัก ทั้งยังต้องดิ้นรนเลี้ยงชีพ ไม่รู้วันนั้นคิดไม่ตกอย่างไรถึงได้กระโดดแม่น้ำลงไปเช่นนั้น ต่อให้โง่เพียงได้เขาก็รู้ได้ว่านั่นคือการฆ่าตัวตาย ไม่รู้คำถามพวกนี้จะแทงใจอวี่จือหลินหรือไม่ เซียวเซินรู้สึกเป็นห่วงจิตใจของหญิงสาวขึ้นมา “ฮาฮา ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ต้องเรียนหนังสืออยู่แล้ว แต่เดือนนี้ยังปิดเทอมอยู่ จะเปิดเทอมเดือนมีนาคมที่จะถึงค่ะ” อวี่จือหลินรู้สึกขำสองพี่น้องต่างสกุลนี้เล็กน้อย คนน้องดูปากไม่มีหูรูดขนาดนั้น คนพี่กับดูระมัดระวังกว่าที่คิด คงเป็นห่วงจิตใจของเธอนั่นแหละ ก็ใครให้เขาคือคนที่ช่วยอวี่จือหลินคนนี้จากการกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเล่า [1] ชั่ง 1 ชั่ง = 500 กรัม ติชมอย่างสุภาพ ขอคอมเม้นท์ และกำลังใจ ด้วยนะคะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม