ตอนที่ 5
“เห็นอาห่าวบอกว่าเธอค้าส่งปลาหรือ”
ผู้จัดการเติ้งออกมาต้อนรับอวี่จือหลินที่ด้านหลังร้าน
“ใช่ค่ะผู้จัดการเติ้ง ฉันแซ่อวี่ ชื่อจือหลิน จากหมู่บ้านอู้หยวน วันนี้ได้ปลามามากเกินไปเลยไปตั้งขายที่เหลือในตลาด พี่ชายห่าวบอกว่าที่ภัตตาคารต้องการปลาพอดี ฉันจึงนำมาขายให้นี่แหละจ้ะ”
พนักงานหนุ่มคนนั้นแซ่ห่าว ทุกคนจึงเรียกเขาด้วยแซ่เช่นกัน อวี่จือหลินแนะนำตัวรวบรัด เพราะสอบถามชื่อผู้จัดการภัตตาคารเยว่เทียนมาแล้ว
“ปลาดีทีเดียว เนื้อปลาไม่ช้ำเลย จากอู้หยวนมาในเมืองก็ไม่ใกล้ ถือว่าใส่ใจไม่น้อย ปกติฉันรับปลาอวี่และปลาอื่นๆชั่ง[1]ละ 50 เหมา ส่วนปลาไหลชั่งละ 1 หยวน วันนี้ืถือว่าค้าปลีกให้เพิ่มชั่งละ 10 เหมาละกัน”
ผู้จัดการเติ้งบอกอย่างใจดี ภัตตาคารเยว่เทียนเป็นภัตตาคารใหญ่ของเมืองอิงถาน ปกติปลาหลายสิบตัวต่อวันแทบไม่เพียงพอ แต่นี่ก็ถือว่าดีกว่าไม่มี
“เรื่องสิบเหมาไม่เป็นไรจ้ะ ครั้งนี้วาสนาดีได้พบผู้จัดการเติ้ง อีกอย่างไม่ต้องรอขายปลาทีละตัวถือว่าประหยัดเวลาได้มาก เอาตามที่ผู้จัดการเติ้งว่ามาได้เลย”
ปากของอวี่จ่งสามารถดึงเอาเรื่องดินฟ้าอากาศมาเป็นเรื่องมงคลได้อย่างไม่อยากเย็น อีกทั้งใครบ้างไม่ชอบคำมงคลเหล่านี้
“งั้นครั้งหน้ามีอีกก็เอามาส่งที่ภัตตาคารฉันก่อนก็แล้วกันนะ”
ผู้จัดการเติ้งชื่นชอบคำพูดคำจาของสหายหญิงผู้นี้มาก จึงเลือกที่จะทำการค้าปลาด้วยกันต่อไป
“ขอบคุณค่ะ ผู้จัดการเติ้ง”
อวี่จือหลินขอบคุณ ก่อนเข้าไปชั่งปลา และรับเงินกับเสมียน เธอแนะนำตัวกับทุกคนอย่างยิ้มแย้มสร้างความประทับใจได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหมาเดียว
หน้าตาแบบนี้ต้องใช้ให้คุ้มค่า
อวี่จ่งดีดลูกคิดในหัวทันที ปลาไหลชั่งละ 1 หยวน ปกติปลาไหลก็มีน้ำหนักไม่เกิน 1-1.5 ชั่งอยู่แล้ว ทั้งหมดสิบสองตัว ได้เงินมา 12 หยวน กับไม่กี่เหมา ส่วนปลาอวี่และปลาอื่น คิดราคาชั่งละ 50 เหมา มีทั้งหมด 13 ตัว มีตั้งแต่ตัวละ 2 ชั่ง ถึง 6 ชั่ง ได้มาถึง 260 หยวน กับอีก 40 เหมา คิดรวมทั้งหมดเฉพาะหยวนคือ 272 หยวน
อ่าฮ้า… ถึงว่าค้าขายยุคนี้มันดีจริงๆ อีกอย่างคือคิดถูกแล้วที่เลือกมาขายในเมือง เงินเดือนพนักงานรัฐอยู่ที่ประมาณ 40 - 50 หยวน เธอขายปลาวันเดียวได้ 272 หยวน กับค่าครองชีพในปี 84 นับว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้อย่างแน่นอน
ตอนเข้าไปด้านในเธอแอบเห็นราคาอาหารจานหนึ่งไม่ต่ำกว่า 5 หยวน บางจานมีราคาถึง 20 หยวนด้วยซ้ำ สมกับเป็นภัตตาคารในเมือง ไว้คราวหน้าต้องพาแม่กับครอบครัวป้ามาลิ้มรสสักที
“พี่เซิน กินข้าวไป มองหลังร้านไป มีอะไรหรือเปล่าพี่”
โอวหยางซิวเริ่มสงสัยพฤติกรรมของพี่ชายอีกครั้ง นอกจากจะไม่เลือกนั่งหน้าร้านชมบรรยากาศแล้ว ยังเลือกโต๊ะที่แทบจะติดครัวด้านในแทน
“นายกินๆไปเถอะ ไม่ต้องพูดมาก”
เซียวเซินคีบเนื้อปลาใส่จานน้องชายก่อนเห็นความเคลื่อนไหวหลังร้านแล้วรีบออกไป
“นายรอนี่แหละ เดี๋ยวฉันมา”
“หะ”
น้ำชาล้างปากแทบพุ่ง ทำได้แต่มองพี่ชายวิ่งออกไปหน้าร้านก่อนเลี้ยวออกไปจนลับตา
“สวัสดีครับ”
เซียวเซินเห็นเป้าหมายแล้วไม่ทันได้เตรียมตัว จึงรีบออกไปดักหน้าและทักทายอย่างไม่มีมาด
“สวัสดีค่ะ”
อวี่จือหลินทักกลับอย่างงงงวย
อะแฮ่ม ยอมรับแหละว่าหน้าตาเช่นนี้ล่อตาคนจริงๆ
แต่ได้มีชายหนุ่มขาวคมแต่งกายเหมือนหนุ่มเมืองหลวง หน้าตาหล่อเหลา
ไหนจะนาฬิกา…อื้อหื้อ นั่นมันโรเล็กซ์ เดโทน่าไม่ใช่หรือ ราคามือสองในปีสองพันยังมากกว่าสองแสนหยวน
โอเค ไม่ใช่แค่หน้าตา แต่รวยด้วย
“คุณขวางทางฉันอยู่ค่ะ”
เธอไม่ได้อยากเล่นตัวหรอกนะ แต่คนไม่รู้จักกันมาขวางทางแบบนี้ก็ต้องระมัดระวังกันหน่อยจริงไหม
อวี่จือหลินกล่าวเตือนอย่างระมัดระวัง พร้อมเก็บสายตาสำรวจคนของตัวเองกลับมาโดยไว เพราะชาติก่อนต้องใช้ชีวิตชั้นสูงระดับหนึ่ง ศาสตร์แห่งการมองคนนั้นจึงพอมีอยู่บ้าง
อีกทั้งเมื่อก่อนเป็นคนที่หน้าตาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นการแต่งหน้าแต่งตัวจึงเรียกได้ว่าถูกประโคมเพื่อสามารถออกงานได้อย่างไม่ขายหน้า และต้องมีมาดผู้บริหารระดับสูงไว้
ดังนั้นเครื่องประดับพวกนี้เธอจึงสามารถมองแล้วแทบจะบอกราคาออกมาได้
“เอ่อ คือ…คุณจำผมได้ไหมครับ”
เซียวเซินที่มีความไวพอจะเห็นการสำรวจทางสายตาของหญิงสาวตรงหน้า แต่เพียงแวบเดียวเธอก็เลือกที่จะผละออกไป
จริงๆเขาก็ไม่ได้สนใจทัศนคติของคนอื่นที่มีต่อเขามากนัก แค่เพียงเกิดมาในตระกูลเซียวก็เรียกได้ว่าทั้งชีวิตแทบไม่เคยได้รับการปฏิเสธมาก่อน พอถูกหญิงสาวบอกว่าขวางทางจึงรู้สึกไปไม่เป็นอยู่บ้าง
“คือที่แม่น้ำหลูซีเมื่อสามวันก่อน คุณกระโดดน้ำ…”
เซียวเซินที่เห็นหญิงสาวส่ายหน้า จึงเฉลยออกมา
วันนั้นเขากำลังออกจากสำนักอุตสาหกรรมทองแดงเพื่อมาเจรจาธุรกิจซื้อเหมืองแทนครอบครัว เพราะปัญหาเล็กน้อยทำให้เขายังต้องอยู่ในเมืองอิงถานมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว
ระหว่างดูที่ดินจึงพาน้องชายไปเดินเล่นที่แม่น้ำหลูซี บังเอิญเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งร้องไห้ จากนั้นไม่นานก็กระโดดลงไปต่อหน้าต่อตา เขาที่เติบโตมาในประเทศอเมริกาตั้งแต่เด็ก เรื่องความต้องระมัดระวังในชื่อเสียงย่อมไม่สำคัญเท่าการช่วยชีวิต จึงกระโดดลงไปช่วยทันที
งมอยู่สักพักจึงช่วยขึ้นมาได้ คราแรกนึกว่าเธอตายไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าอยู่ๆจะสำลักน้ำขึ้นมา ก่อนมีชาวบ้านแถวนั้นบอกว่ารู้จักและช่วยพาเธอกลับบ้านเหอไป
แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้อยากได้รับการตอบแทนอะไรจากชาวบ้านพวกนี้ พอเห็นหญิงสาวได้รับความช่วยเหลือต่อจึงปล่อยไปอย่างนั้น
อีกทั้งโอวหยางซิวที่มาด้วยกันก็ไม่อยากให้เขาต้องซวยรับผิดชอบไปด้วย จึงทำได้เพียงปล่อยผ่าน จนกระทั่งมาเจอเธอที่ตลาดวันนี้
เขาบอกว่าเจอกันครั้งแรกถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หากได้พบเป็นครั้งที่สองเรียกว่าพรหมลิขิตหรือไม่
เซียวเซินคิดเข้าข้างตัวเองจนน่าขำขัน เพราะปกติเขาไม่ใช่คนเชื่ออะไรไร้สาระแบบนี้ ถนนหลายล้านเส้นสุดท้ายก็สามารถมารวมกันเป็นเส้นเดียว คนจะเวียนมาเจอกันได้ย่อมไม่แปลก
หากแต่ความรู้สึกที่ไม่ยอมปล่อยผ่านในครั้งนี้ ทำให้เขาต้องวิ่งออกมาขวางหน้าเธอ
“คุณคือคนที่ช่วยฉันไว้เหรอคะ”
อวี่จือหลินถามเสียงสูง แหม…ตอนแรกนึกว่าคนทั่วไปที่ใช้มุกเก่าๆมาจีบสาวเสียอีก
อืม แต่ปีนี้ปี 84 ถือว่ามุกไม่เก่าละกัน
คนนี้สินะคือสาเหตุที่ทำให้คุณนายเหอต้องด่าเธอว่า สำส่อน กับ ให้ผู้ชายอื่นลูบคลำไปทั่ว ช่างสรรหาคำมาด่าคนได้เก่งจริงๆ
ถ้าเธอคือสตรีในยุค 80 จริงๆ คำพูดพวกนี้นับว่าฆ่าคนได้เลย ยิ่งกับผู้หญิงในชนบทที่ใช้ชีวิตขึ้นอยู่กับจารีตเพื่อเฝ้ารอการแต่งงานที่ดีเท่านั้น
ในยุคนี้ยังคงถือเรื่องการแตะเนื้อต้องตัวระหว่างชายหญิงอยู่มาก ดีแล้วที่เขาไม่ตามไปบ้านเหอด้วยกัน แม้เขาจะมีหน้าตาดีก็ตามแต่การที่ต้องมาแต่งงานกับคนที่ช่วยชีวิตเพราะแค่มีน้ำใจนั้นเป็นคนละส่วนกัน
ลองคิดกลับกันว่าคนที่ช่วยเธอครั้งนั้นเป็นตาเฒ่าหัวงู หรือคนที่มีเมียอยู่แล้วล่ะ ชีวิตต่อจากนี้ไม่ต้องกล้ำกลืนฝืนกินเลยหรือ แต่ใช่ว่าโสด หน้าตาดีแล้วจะต้องยินดีแต่งงานด้วยสักหน่อย
ยิ่งกับคุณนายที่อยากจะกดหัวเธอไม่ให้เทียบชั้นกับคุณหนูของบ้านแล้ว ถ้ามีโอกาสคงไม่ยอมปล่อยให้เธอลอยนวลเช่นกัน
ตลอดสามสิบห้าปีในชาติก่อนอวี่จ่งก็สามารถอยู่ด้วยลำแข้งตัวเองอย่างภาคภูมิใจได้ เพราะด้วยเรื่องหน้าตาตัวเองก็หนึ่ง และก็ยังไม่เจอชายคนไหนที่มีนิสัยที่เข้ากันได้จริงๆด้วยละนะ
“ใช่ครับ ผมชื่อเซียวเซิน”
เซียวเซินพยักหน้าและแนะนำตัวหลังจากได้ยินเสียงใสไพเราะของคนตรงหน้า พลางมองตาที่เบิกกว้างตกใจของหญิงสาว ก่อนเปลี่ยนมาจ้องมองเขาตาแป้วอย่างอารมณ์ดี
“อ่า ฉันชื่ออวี่จือหลินค่ะ ขอบคุณคุณเซียวมากนะคะ ไว้โอกาสหน้าจะเลี้ยงข้าวตอบแทนแน่นอนค่ะ”
อวี่จือหลินผงกหัวขอบคุณเล็กน้อย ก่อนรับปากจะเลี้ยงข้าวตอบแทนอย่างไม่ถือตัว
“คุณมีธุระหรือครับ”
เซียวเซินถามอย่างเสียดาย
“ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นธุระ พอดีฉันจะไปซื้อจักรยานน่ะค่ะ …คือคันนี้เป็นของลุงเขย”
อวี่จือหลินอธิบาย เพราะคนตรงหน้าต้องงงว่าก็กำลังจูงจักรยานอยู่ทำไมถึงเป็นข้ออ้างว่าจะไปซื้ออีกคัน
“ถ้างั้นไปกินข้าวด้วยกันก่อนไหมครับ พอดีผมก็อยากซื้อจักรยานเหมือนกัน”
เซียวเซินกล่าวเชิญอวี่จือหลินไปยังภัตตาคารข้างๆทันที
อวี่จ่งที่ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธจึงเดินตามไป …แน่นอนว่าภัตตาคารนั้นก็คือเยว่เทียนนั่นเอง
เมื่อเดินเข้าไปเธอได้เห็นชายหนุ่มอีกคนหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้กัน หากแต่ดูสำอางค์กว่ามาก
“คนนี้คือโอวหยางซิวเป็นน้องชายผมเอง อาซิวคนนี้คือสหายหญิงอวี่จือหลิน”
เซียวเซินแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน ก่อนเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่งตรงข้าม แล้วพาตัวเองไปนั่งฝั่งเดียวกับน้องชาย
กำลังบ่นถึงราคาค่าอาหารของภัตตาคารเยว่เทียนไป ทั้งยังหมายใจว่าจะพาแม่กับครอบครัวป้ามากินสักครั้ง ไม่คิดเลยว่าจะไวขนาดนี้
มองดูอาหารบนโต๊ะแล้วเธอจึงสั่งอาหารเพิ่มสองอย่างเท่านั้น พลางนึกถึงเงิน 272 หยวน ที่ยังอยู่ในกระเป๋าไม่ทันอุ่น ก็ดูเหมือนพร้อมจะบินออกไปหลายใบเสียแล้ว
อย่างไรก็เป็นบุญคุณช่วยชีวิต ชดใช้ให้จบๆไปจะดีกว่า
อวี่จือหลินครุ่นคิดอย่างปวดใจเล็กน้อย
“น้องสาวอวี่อยู่ที่อิงถานเหรอ”
รับประทานไปไม่กี่คำ เจ้าคนไม่อยู่สุขอย่างโอวหยางซิวก็เปิดประเด็นถามทันที
ก็แน่สิ ปกติเขาเคยได้รับการแนะนำหญิงสาวสักคนให้รู้จักจากเซียวเซินสักครั้งหรือ แน่นอนว่า ไม่
อีกทั้งหญิงคนนี้สวยหยาดเยิ้มปานนางฟ้า ไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวในเมือง หรือมณฑล แม้แต่ในเมืองหลวง ด้วยความงามเช่นนี้ก็ยังอยากที่จะมีคนมาเทียบเคียงได้
“อยู่ที่หมู่บ้านนอกเมืองค่ะ วันนี้ฉันมาขายปลาในเมือง”
อวี่จือหลินตอบสั้นๆโดยไม่ละเอียดนัก
“โอ้…น้องอวี่ทำอาชีพขายปลาหรือ”
โอวหยางซิวถามอย่างสนใจ ชีวิตคุณชายในปักกิ่งย่อมไม่เคยลำบาก แม้จะไม่ร่ำรวยเพราะที่บ้านรับราชการ แต่ก็ถือว่ามีชีวิตที่ดีและมีหน้ามีตามาก มองหญิงสาวที่น่าจะยังอยู่ในวัยเรียนเช่นนี้ จึงมีความรู้สึกเห็นใจในชะตากรรม
“แล้วน้องสาวไม่เรียนหนังสือหรือ…”
“อาซิว!”
เซียวเซินขัดจังหวะคำถามที่ดูจะละลาบละล้วงเกินไปของน้องชาย
หญิงสาวคงอายุไม่มากนัก ทั้งยังต้องดิ้นรนเลี้ยงชีพ ไม่รู้วันนั้นคิดไม่ตกอย่างไรถึงได้กระโดดแม่น้ำลงไปเช่นนั้น ต่อให้โง่เพียงได้เขาก็รู้ได้ว่านั่นคือการฆ่าตัวตาย ไม่รู้คำถามพวกนี้จะแทงใจอวี่จือหลินหรือไม่
เซียวเซินรู้สึกเป็นห่วงจิตใจของหญิงสาวขึ้นมา
“ฮาฮา ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ต้องเรียนหนังสืออยู่แล้ว แต่เดือนนี้ยังปิดเทอมอยู่ จะเปิดเทอมเดือนมีนาคมที่จะถึงค่ะ”
อวี่จือหลินรู้สึกขำสองพี่น้องต่างสกุลนี้เล็กน้อย คนน้องดูปากไม่มีหูรูดขนาดนั้น คนพี่กับดูระมัดระวังกว่าที่คิด
คงเป็นห่วงจิตใจของเธอนั่นแหละ ก็ใครให้เขาคือคนที่ช่วยอวี่จือหลินคนนี้จากการกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเล่า
[1] ชั่ง 1 ชั่ง = 500 กรัม
ติชมอย่างสุภาพ ขอคอมเม้นท์ และกำลังใจ ด้วยนะคะ