ตอนที่ 4
เหมาโม่โฉวพยักหน้าเห็นด้วย รู้สึกมีไฟขึ้นมาก เขาชื่นชอบการค้าขายและอยากทำธุรกิจแต่แรกอยู่แล้ว
หากแต่ไม่ได้มีหัวการค้ามากนัก ราคาสินค้าไม่เคยนิ่ง อีกทั้งเคยนำของเก่าไปขายเพื่อเก็งกำไร แต่เพราะดูของไม่เป็นจึงขาดทุนจนรู้สึกเข็ดขยาด
ตั้งแต่เขาเริ่มมีลูก ความกล้าเสี่ยงในอดีตก็น้อยลงมาก เพราะกลัวกระทบต่อครอบครัวที่อยู่ด้านหลัง จึงเลือกที่จะออกไปรับจ้างในเมืองเพื่อหารายได้แทน
ลุงเขยกับหลานสาวช่วยกันขนปลาอยู่สองรอบ ระหว่างทางมีทักทายชาวบ้านบ้าง ด้วยหน้าตาของอวี่จือหลินแน่นอนว่าย่อมมีคนสนใจ
“อี้เฉิน พี่สาวคนนั้นใครเหรอ”
เด็กๆในหมู่บ้านทักสหายรุ่นราวคราวเดียวกัน
“ลูกน้าสาวของฉันเอง ชื่อพี่อวี่จือหลิน”
เหมาอี้เฉินเล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“พวกน้าสาวนายมาเยี่ยมแม่นายเหรอ”
เด็กคนเดิมกระซิบถาม พลางหลบตาพี่สาวคนนั้นมีเหล่มองมา โอ้ พี่สาวคนงามแค่หางตาเขาก็ไม่กล้ามองกลับแล้ว
“ไม่ใช่ ต่อไปพี่จือหลินจะมาอยู่ที่บ้านด้วยกันแล้ว”
เหมาอี้เฉินบอก
“หูย…จริงเหรอ”
“อิจฉามาก พี่สาวนายสวยจริงๆ”
พวกเด็กแก่แดดสามสี่คนหยอกเย้าเหมาอี้เฉินอยู่สองสามคำก็ปล่อยเขาไป เพราะพ่อเขาเรียกกลับบ้าน
“ได้ปลามาเยอะมาก เกือบสามสิบตัวแน่ะ”
ฟางซินนับปลาทั้งหมดแล้วแทบจะหัวเราะออกมา หลานสาวเธอเป็นตัวนำโชคจริงๆ
“เดี๋ยวเราแบ่งไว้กินสำหรับวันนี้พรุ่งนี้พอ ที่เหลือหนูจะเอาไปขายพรุ่งนี้ในเมืองค่ะ”
อวี่จือหลินบอกป้ากับแม่อีกที
“เดี๋ยวแม่ไปเอง จือหลินลูกพักเถอะ”
ฟางเจินอาสาไปแทนทันที งานขายเป็นอาชีพที่คนยังดูถูกอยู่มาก ให้ลูกสาวไปขายของนั้นเธอย่อมเป็นห่วงไม่น้อย
“แม่เคยขายของเหรอ”
อวี่จ่งสำรวจฟางเจินขึ้นลงอีกครั้ง มือยังหยาบแห้งกร้านอย่างคนทำงานหนักมาทั้งชีวิต รูปร่างซูบผอม ตัวไม่สูงมาก แต่ก็ยังมีเค้าโครงความงามเมื่อครั้งอดีต
แม้หน้าตาจะสดใสกว่าตอนอยู่บ้านอวี่แต่ก็ยังมีร่องรอยหมองคล้ำรอบดวงตาอยู่บ้าง ส่วนนิสัยยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากมีคนพูดหนึ่ง แม่ไม่มีทางพูดสอง
“ยะ- ยังไม่เคย…เลย”
ฟางเจินยอมรับอายๆ วันๆอยู่แต่ในครัว และแปลงผัก กับทำนาเกี่ยวข้าว
เรื่องที่จะได้แตะเงินทองสักครั้งยังไม่เคย ค้าขายยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“งั้นแม่อยู่บ้านเถอะ เรื่องขายปลาหนูจัดการเอง”
อวี่จือหลินสรุป
“แต่ว่า…”
ลูกก็ไม่เคยขายของเหมือนกันไม่ใช่หรือ…
ฟางเจินคิด
“ฉันว่าฟังลูกสาวเธอเถอะ ปลาทั้งหมดนี้ก็พึงพาความสามารถจือหลินทั้งนั้น ดังนั้นที่เหลือก็ให้จือหลินจัดการจะดีกว่า”
ฟางซินขัดจังหวะการโต้แย้งของน้องสาวด้วยการสนับสนุนหลานสาว และเหมาโม่โฉวเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ครั้งนี้หนูไปเองก่อน ไว้ได้ลู่ทางและเก็บเงินซื้อจักรยานได้แล้ว ครั้งหน้าหนูจะพาแม่ไปด้วยกัน”
อวี่จือหลินตั้งเป้าหมายร่วมกันเพื่อให้แม่ได้มีความหวัง และเมื่อทำได้จะได้เริ่มภูมิใจกับความสำเร็จ
นี่เป็นหนึ่งในกุศโลบายเสริมสร้างความมั่นใจให้กับแม่ของเธอในอนาคต
เพราะตั้งแต่พ่อตายไปก็อยู่ใต้ครอบครัวเหอที่มักจะโขกสับจิกหัวใช้จนสูญเสียตัวตนและความมั่นใจไปไม่น้อย
ครั้งมีชีวิตได้เป็นแม่ของอวี่จ่งผู้ยิ่งใหญ่ทั้งที แม้จะไม่ต้องยิ่งใหญ่คับฟ้า แต่เธอจะไม่ให้ใครมาดูถูกแม่ของเธออีกต่อไป
“อันนี้ชื่อในทะเบียนบ้านเรา กับหนังสือแนะนำตัว แม่กับป้าไปทำมาให้เมื่อตอนกลางวัน”
หลังทุกคนรับประทานอาหารเย็นด้วยความชื่นมื่น ก็แยกย้ายเข้าห้อง แม่เอาทะเบียนหลังนี้ที่มีชื่อเธอกับแม่มาให้ดู พร้อมจดหมายแนะนำตัวที่ออกโดยผู้ใหญ่บ้าน เผื่อเธอต้องใช้สำหรับติดต่อราชการใดใดในเมือง
“ขอบคุณค่ะ”
อวี่จือหลินรับเอาหนังสือแนะนำตัวมา พลางนึกถึงบัตรประจำตัวประชาชนในอนาคต จำได้ว่ารัฐจะเริ่มมีประกาศใช้ในปีนี้แหละ แต่ไม่รู้เมื่อไร
ไว้ถ้าเริ่มมีประกาศออกมาเธอจะพาทุกคนไปรีบทำบัตรประชาชนทันที เพราะสะดวกกว่ากระดาษแผ่นนี้อย่างมาก
“ผู้จัดการเติ้งวันนี้คนส่งปลาบอกว่าที่แพปลามีปัญหา อาจจะมาส่งล่าช้าครับ”
เด็กในภัตตาคารเยว่เทียนเข้ามาแจ้งปัญหาในร้านให้ผู้จัดการทราบ
“วันนี้ไม่ได้ มีผู้ใหญ่หลายท่านสั่งจองโต๊ะตั้งหลายโต๊ะ ไปหาซื้อในตลาดมาก่อน เน้นเป็นปลาไหลเยอะๆนะ”
ผู้จัดการเติ้งสั่งการแก้ปัญหาทันที ปัญหาเรื่องของในครัวมีให้พบเห็นบ่อยครั้ง หากเจ้าประจำไม่สามารถมาส่งได้ก็ต้องออกไปซื้อในตลาดแก้ขัดไปก่อน แม้ราคาจะแพงว่าเล็กน้อย แต่ก็ดีกว่าต้องทำให้ลูกค้าคนสำคัญอดทานอาหารที่สั่งจองไว้
“น้องสาวมาขายปลาหรือ”
พนักงานในภัตตาคารเยว่เทียน ทักถามหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนำถังปลาลงจากจักรยานอย่างทุลักทุเลเพราะถังค่อนข้างใหญ่
“ใช่จ้ะ พี่ต้องการซื้อปลาหรือ”
หญิงสาวคนนั้นคืออวี่จือหลินนั่นเอง
“ใช่ๆ ในถังน้องมีปลาไหลหรือเปล่า”
ชายคนนั้นถามอย่างเริ่มกังวล เพราะเขาเริ่มร้อนรนเนื่องจากวนในตลาดมาหลายรอบแล้ว ยังไม่เจอใครที่ขายปลาไหลสักที
เพราะหมู่บ้านโดยรอบต่างมีแม่น้ำไหลผ่าน หากจะจับปลาไหลต้องไปหาที่หนองน้ำ ซึ่งทั้งเสียเวลาเพราะจับยาก และต้องรอให้เริ่มแห้งขอดสักหน่อยจึงจะจับได้ง่าย ทำให้ในฤดูนี้กลายเป็นปลาหายากสักหน่อย
“มีอยู่สิบสองตัว พี่ชายจะเอากี่ตัวจ้ะ”
อวี่จ่งฉีกยิ้มการค้าทันที หมูชนบังตอแท้ๆ ถามหาอย่างนี้แปลว่าเป็นของหายากสินะ ทั้งยังจำเป็น
อืม…ภัตตาคารเยว่เทียน
อวี่จือหลินหรี่ตาอ่านชื่อร้านบนเสื้อของพี่ชายคนนี้ก่อนจดจำไว้ ร้านอาหารที่มีชุดยูนิฟอร์มของร้านแน่นอนว่าต้องเป็นร้านใหญ่
“เอาหมดเลยน้องสาว ทั้งหมดเท่าไร”
ชายหนุ่มเมื่อได้มองรอยยิ้มนั้นรู้สึกเหมือนต้องมนต์เล็กน้อย ก่อนเลือกที่จะเหมาทั้งหมด พลางคิดว่าปกติที่ร้านใช้ปลาอยู่แล้วเพราะเป็นอาหารขึ้นชื่อ โดยเฉพาะปลาไหล
“ปกติพี่รับซื้อเท่าไรคะ คือต้องบอกว่าฉันค้าส่งมาตลอด แล้ววันนี้ได้ปลามาเยอะเกินที่ลูกค้ารับ จึงต้องออกมาขายที่ตลาดนี่แหละจ้ะ”
อวี่จ่งแต่งสตอรี่ให้ตัวเองเรียบร้อยก่อนบอกลูกค้าตรงหน้า
“น้องสาวส่งภัตตาคารไหนบ้างหรือ”
พนักงานหนุ่มเริ่มสนใจ
“ทั่วไปแหละจ้ะ แต่ช่วงนี้กำลังอยากเพิ่มร้านหรือเปลี่ยนร้านพอดี เพราะมีปลามากเรื่อยๆ พี่ชายมีแนะนำด้วยไหม”
“มีๆ ร้านที่พี่ทำงานอยู่นี่แหละ ลองคุยกับผู้จัดการร้านไหม ปลาที่น้องเอามาดูดีทีเดียวทางร้านพี่คงให้ราคาดีได้”
เมื่อเห็นลูกค้าติดเบ็ด อวี่จือหลินจึงนำถังขึ้นท้ายจักรยานก่อนจูงจักรยานตามพี่ชายคนนี้ทันที
“พี่เซิน พี่ดูอะไรอยู่หรือ”
โอวหยางซิวร้องทักชายหนุ่มที่อยู่ๆก็หยุดเดินข้างหน้า ทั้งสองตกลงกันว่าจะมาหาอะไรกินแถวตลาดในเมืองสักหน่อย แต่เดินมาด้วยกันดีดีก็หยุดเลยไป จนเขาเกือบชน
“เปล่า นายหิวแล้วเหรอ”
เซียวเซินถามคนข้างหลังที่เดินขึ้นมาข้างๆ
“ก็นิดหน่อย”
โอวหยางซิวพยักหน้าเนือยๆเล็กน้อย พวกเขาสองคนเสียเวลาอยู่เมืองอิงถานมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว เพราะเจ้าหน้าที่รัฐงี่เง่าผู้หนึ่ง
ถ้าไม่ติดที่เซียวเซินบอกว่าจะรอคุยกับ ผอ.ของสำนักอุตสาหกรรมทองแดงในอาทิตย์หน้าละก็ เขาจะรีบบึ่งรถกลับปักกิ่งไปโวยวายให้ที่บ้านฟังแน่นอน
เขาก็เป็นลูกข้าราชทหารระดับสูงด้วยซ้ำ มีเหตุอันใดให้ต้องเกรงใจเจ้าคนมากเล่ห์นั่นกัน
โอวหยางซิวคิดพลางขบฟันกรอดเมื่อนึกถึงเจ้าหน้ารัฐคนหนึ่งในสำนักอุตสาหกรรมทองแดงที่ตั้งใจโก่งราคาเหมืองทองแดงที่เซียวเซินต้องมาติดต่อขอซื้อ โดยอ้างว่าเป็นค่าดำเนินการ…
“งั้นไปภัตตาคารเยว่เทียนเถอะ”
เซียวเซินบอก
“โอ้ว ดีดี”
โอวหยาวซิวรู้สึกคึกคักขึ้นมาทันทีที่คุณชายเซียวจะเลี้ยงอาหารในภัตตาคาร
ติชมอย่างสุภาพ ขอคอมเม้นท์ และกำลังใจ ด้วยนะคะ