“ทำไมเจ้าถึงต้องเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอด” เจียงอู๋ตี้ถามด้วยความสงสัย
ซูเว่ย ผู้จัดการภัตตาคารจึงพูดว่า “ข้าขออนุญาตตอบแทนนะขอรับ ภัตตาคารของเรามีกฎให้มีเสี่ยวเอ้อสองคน ประจำอยู่บนชั้นสอง โดยคนหนึ่งต้องอยู่ประจำบนชั้นสอง ห้ามไปไหน เพื่อคอยรอรับคำสั่งลูกค้าและดูแลสถานการณ์ ส่วนอีกคน จะนำคำสั่งอาหารไปที่ครัวและนำอาหารขึ้นมาบริการ ฉะนั้นจะต้องมีหนึ่งคนอยู่ประจำชั้นสองเสมอ”
เฟิงหลี่เฉียงยิ้มมุมปาก “เอาล่ะ งั้นขอถามว่า ตอนที่พวกข้าเดินลงมา มีใครเห็นพวกข้าแอบคุยกับคุณชายท่านนี้บ้างหรือไม่”
ทุกคนตอบว่า ไม่มีใครเห็น และคนที่เฝ้าอยู่ชั้นสองก็ไม่เห็นเช่นกัน จึงหมายความว่า โอกาสที่พวกของเฟิงหลี่เฉียงจะพบกับเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อพูดคุยกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลย และจะบอกว่าพวกเขาสมคบกับเด็กหนุ่มก็หาเหตุผลมารองรับไม่ได้ว่า พวกเขาซึ่งเป็นบัณฑิตระดับนี้ จะฆ่าพ่อค้าขาวสารคนหนึ่งไปเพื่ออะไร
เมื่อเฟิงหลี่เฉียงสรุปเรื่องนี้ ก็ทำให้ทั้งทำให้เจียงอู๋ตี้และหวังเฉิงพูดอะไรไม่ออก
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกข้าทั้งสี่คน ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคดีในวันนี้ ใต้เท้าเจียงอู๋ตี้คงจะเห็นแล้วนะขอรับ” เฟิงหลี่เฉียงพูดด้วยน้ำเสียงปกติและไม่ได้มีท่าทางเยาะเย้ยแต่อย่างใด จึงทำให้เจียงอู๋ตี้พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วว่าพวกท่านไม่เกี่ยวข้องด้วย”
อินเฉิน ซุยเฉินเหยา เทียนมู่อวี้ จึงถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก ในที่สุดพวกเขาก็หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาบ้าๆ เสียที
แต่เฟิงหลี่เฉียงก็ยังไม่จบแค่นี้ “ข้าจะเริ่มต้นสอบถามคุณชายแล้วนะ”
สวี่เฟิงหยวนประหลาดใจ ตอนแรกเขานึกว่าบัณฑิตคนนี้จะรีบกลับบ้าน และทิ้งให้เขาโดนจับตัวไปที่อำเภอ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังจะสืบหาความจริงต่อ เขาจึงยินดีร่วมมือ
“ตอนที่ท่านเดินไปเข้าห้องน้ำและพบศพนั้น เป็นอย่างไรบ้าง”
สวี่เฟิงหยวนขมวดคิ้ว เขาคิดและตอบอย่างระวัดระวังว่า “ข้านึกว่าเขาเป็นลมล้มลงไป หรือสะดุดล้ม ก็เลยเข้าไปถามและเมื่อเห็นไม่ตอบ ก็คิดว่าจะพยุงเขาขึ้นมา”
“อะไรทำให้ท่านคิดว่าเขายังมีชีวิต” หลายคนเริ่มสงสัยตาม
“..เขาไม่มีลักษณะของคนเสียชีวิต เช่น ไม่พบเลือดไหลออกมากองที่พื้นหรือที่ไหนเลย จนข้าไปพลิกศพ จึงพบว่าเลือดไหลออกมาจากตัว”
เฟิงหลี่เฉียงเดินนำทุกคนไปที่ศพของชายผู้โชคร้าย และเป็นไปตามที่คุณชายสวี่บอก ไม่พบรอยเลือดรอบตัวศพใดๆ มีเพียงรอยเลือดจากเสื้อของเขาเท่านั้น
ผู้จัดการร้านขมวดคิ้ว แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าถูกแทงตายหรือได้รับบาดเจ็บตรงจุดนี้ ก็น่าจะมีรอยเลือดตามผนังหรือหยดลงที่พื้นบ้างนะขอรับ”
“หรือไม่ก็ต้องเปื้อนเสื้อผ้าของคุณชายสวี่บ้าง” เฟิงหลี่เฉียงพูดต่อ ทุกคนเริ่มได้คิดขึ้นมา เมื่อหันไปมองสวี่เฟิงหยวน ก็ไม่พบรอยเลือดตามตัว มีเพียงรอยเปื้อนที่นิ้วบางส่วนเท่านั้น
“แต่ที่มือของเขามีรอยเลือดนี่!” หวังเฉิงรีบพูดและชี้ไปที่มือของเด็กหนุ่ม
เฟิงหลี่เฉียงบอกให้เด็กหนุ่มยกมือขึ้นให้ทุกคนดู “ท่านจะเห็นว่ารอยเลือดที่มือมีเพียงเล็กน้อย เหมือนกับไปจับศพแล้วเปื้อนเลือด ถ้าเป็นการแทงจริง ไม่เพียงแต่มือจะต้องเต็มไปด้วยเลือด เสื้อผ้าก็ต้องมีรอยเลือดกระเซ็นด้วย แต่เสื้อผ้าของคุณชายกลับไม่มีรอยเลือด และถ้ามีการต่อสู้ดิ้นรน บริเวณนี้จะต้องเต็มไปด้วยเลือด แต่นี่กลับไม่มีเลย จนทำให้คุณชายสวี่คิดว่า ชายคนนี้เป็นลมล้มลงไปที่หน้าห้องน้ำเท่านั้น”
จากนั้น เฟิงหลี่เฉียงจึงพูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “นั่นก็แสดงว่า คุณชายสวี่ไม่ใช่ฆาตกร!”
ทุกคนอึ้งไป และก็ต้องยอมรับตามที่บัณฑิตหนุ่มอธิบาย สวี่เฟิงหยวนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เขามองเฟิงหลี่เฉียงด้วยสายตาขอบคุณ แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจ
คราวนี้เฟิงหลี่เฉียงหันไปทางหวังเฉิงที่เริ่มอยู่ไม่สุข “ตอนนี้ก็ถึงคราวของท่านบ้างแล้วนะ ท่านหวังเฉิง”
หวังเฉิงทำหน้าไม่พอใจ แต่เด็กหนุ่มไม่สนใจ เขาหันไปถามกลุ่มเสี่ยวเอ้อที่ยังฟังการไขคดีอย่างตื่นเต้นว่า “พวกท่านคนไหนบ้าง ที่เป็นคนให้บริการพ่อค้ากลุ่มนี้”
เสี่ยวเอ้ออีกสองคน ยกมือตอบ พวกเขาเป็นคนนำคนทั้งสามไปชั้นบน และยืนยันว่าทั้งสามคนไม่มีใครลุกออกไปนอกห้องเลย มีเพียงผู้ตาย คือ หลี่เจียนที่เดินออกไปข้างนอก แต่ไปที่ไหนนั้น พวกเขาก็ไม่รู้ จนได้ยินว่ามีคนตายนั่นเอง
เฟิงหลี่เฉียงพยักหน้า ในขณะที่หวังเฉิงพูดเยาะเย้ยขึ้นว่า “ถ้าจะกล่าวหาว่าข้าเป็นคนฆ่าก็คงจะไม่ได้ละนะ ท่านบัณฑิตหนุ่ม”
เฟิงหลี่เฉียงใช้หางตามองอีกฝ่าย เขาเปลี่ยนไปพูดกับเจียงอู๋ตี้ว่า “ใต้เท้าขอรับ ก่อนหน้าที่พวกท่านจะมาถึง ข้าได้ตรวจดูศพอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ดูโดยละเอียด เพราะกลัวจะทำลายหลักฐาน แต่ข้าพบว่า ร่างกายของเขายังอุ่นเหมือนกับเพิ่งเสียชีวิต ท่านเห็นด้วยหรือไม่ขอรับ”
อีกฝ่ายพยักหน้า เพราะเขาได้พิสูจน์ศพต่อจากนั้น และพบว่าคนตายน่าจะเสียชีวิตยังไม่นาน เขาจึงสงสัยคนที่อยู่ในภัตตาคารนี้
แต่เฟิงหลี่เฉียงกลับพูดสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง “ข้าไม่คิดว่าสถานที่ฆาตกรรมจะเป็นหน้าห้องน้ำนี้ขอรับ!”
“ท่านพบอะไรหรือ” เจียงอู๋ตี้ถามอย่างตื่นเต้น
เด็กหนุ่มชี้ไปที่รองเท้าของศพและพูดว่า “ถ้าท่านดูที่รองเท้าของเขา จะพบว่ามีรอยเปียกชื้นจากน้ำค้างหลงเหลืออยู่ แสดงว่าผู้ตายเดินลุยหญ้ามา และที่สำคัญ” ดวงตาของเฟิงหลี่เฉียงเป็นประกาย “ตรงพื้นรองเท้ามีกลีบดอกบ๊วยติดอยู่ด้วย!”
เจียงอู๋ตี้รีบเดินไปที่ศพทันที เมื่อพวกเขามองที่รองเท้าของผู้ตาย ก็เห็นกลีบดอกบ๊วยติดอยู่ที่พื้นรองเท้า 2-3 กลีบ! แล้วสายตาของทุกคนก็หันไปมองในสวนที่มีต้นบ๊วยกำลังออกดอกบานสะพรั่ง ลมยามเย็นพัดมาเบาๆ กลีบดอกบ๊วยจำนวนมากปลิวไปตามกระแสลม บางส่วนหล่นลงมาบนพื้นหญ้า ราวกับช่วยตอกย้ำคำพูดของเฟิงหลี่เฉียง
และเฟิงหลี่เฉียงก็สรุปว่า “ตอนนี้ทุกท่านคงจะเดาได้แล้วนะขอรับว่า สถานที่เกิดเหตุน่าจะเป็นในสวนตรงนั้น และจะมีหลักฐานอะไรหรือไม่ และอย่างไร ก็คงจะเป็นหน้าที่ของทางการแล้ว สำหรับพวกข้า สี่คน และคุณชายสวี่ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยแล้ว พวกข้าจะต้องขอตัวกลับก่อนขอรับ!”
ตอนนี้ทางการไม่สามารถตั้งข้อสงสัยพวกเขาได้แล้ว จึงต้องปล่อยตัวไป แต่ก่อนจะเดินออกไป เฟิงหลี่เฉียงก็หันไปมองที่หวังเฉิง และพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ว่า “สำหรับพ่อค้าหวังกับพรรคพวก ยังไม่สามารถกำจัดข้อสงสัยได้ เพราะพวกเขาเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ได้พบกับผู้ตาย หวังว่าใต้เท้าเจียงจะไม่ตัดพวกเขาออกไป จากการเป็นผู้ต้องสงสัยนะขอรับ เอาละ พวกข้าขอตัวกลับก่อน”
แล้วทั้งกลุ่มของเฟิงหลี่เฉียงและสวี่เฟิงหยวนก็เดินออกมาจากประตูหลังร้าน เฟิงหลี่เฉียงไม่รู้ตัวว่า ในขณะที่เขากำลังไขคดีอยู่นั้น หลายคนที่ถูกกักตัวเอาไว้ เปิดหน้าต่างและยื่นหน้าออกมาฟังการสนทนาของพวกเขา และในตอนนั้น ชื่อของเฟิงหลี่เฉียงก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ก่อนจะกลับพวกเขาชำระเงินให้ผู้จัดการร้าน แต่ซูเว่ยไม่ยอมรับเงิน และว่า บอกวันนี้เด็กหนุ่มช่วยไขคดีให้ เขาจึงไม่คิดเงินอาหารมื้อนี้ ซึ่งก็ทำให้ทุกคนตอบรับด้วยความยินดี
เมื่อมาถึงหน้าร้าน ทั้งสี่คนก็แยกย้ายกันกลับ อินเฉินจะให้เขานั่งรถม้าไปด้วยกัน แล้วเขาจะแวะส่งที่บ้าน แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธ “บ้านข้าอยู่ใกล้แค่นี้ และข้าก็อยากจะเดินเล่นด้วย คืนนี้อากาศไม่หนาวมากนัก จะได้สร่างเมาเร็วๆ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ตอนเย็นนะทุกคน”
ทุกคนจึงขึ้นรถลากกลับไป ในขณะที่เฟิงหลี่เฉียงก็หันไปทางมุมมืดที่อยู่ห่างจากร้านอาหารออกไปเล็กน้อย และถามขึ้นว่า “คุณชายสวี่ ท่านจะกลับบ้านอย่างไร ให้ข้าเดินไปส่งหรือไม่”
เด็กหนุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็เดินออกมา และตอบว่า “ข้ากลับเองได้”
เฟิงหลี่เฉียงเลิกคิ้วสูง “กลับอย่างไรหรือ แล้วบ้านท่านอยู่ที่ไหนล่ะ”
เด็กหนุ่มรู้ว่าเฟิงหลี่เฉียงรู้ทันเขา เขาจึงเลิกโกหกและตอบตามตรง “ข้าหนีออกมาเที่ยว แต่ตอนนี้กลับไม่ได้แล้ว เพราะประตูปิด”
ดวงตาของเฟิงหลี่เฉียงเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็ทำเป็นไม่เข้าใจ และถามว่า “งั้นไปบ้านของข้าก่อนไหม บ้านข้าเล็กคับแคบ ไม่สะดวกสบาย แต่ก็ยินดีต้อนรับท่าน หรือท่านจะไปพักที่โรงแรม ข้าจะเดินไปส่ง”
เด็กหนุ่มตาเป็นประกาย “ข้าขอไปพักที่บ้านท่านได้หรือไม่ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับบ้าน”
เมื่อตกลงกันได้แล้ว ทั้งสองคนจึงเดินกลับไปด้วยกัน สวี่เฟิงหยวนรู้สึกแปลกใจ ที่เฟิงหลี่เฉียงไม่ถามข้อมูลจากเขาเลยว่า เขาเป็นใครมาจากไหน แต่กลับพาเขาไปพักที่บ้านด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มจึงยิ่งรู้สึกดีกับบัณฑิตคนนี้มากขึ้น
ตลอดทางที่เดินกลับนั้น เด็กหนุ่มคอยถามเฟิงหลี่เฉียงเรื่องการสืบคดีเมื่อครู่ว่า เขาค้นพบคำตอบได้อย่างไร ซึ่งอีกฝ่ายก็ยินดีเล่าให้ฟัง จนพวกเขาเดินเข้าซอยมาถึงบ้านเช่า เมื่อเปิดประตูไม้เข้าไป พวกเขาก็พบลู่ปู่กำลังนั่งซ่อมของใช้อยู่ในบ้าน
“พี่ลู่ ข้าพบคุณชายสวี่เฟิงหยวนที่ภัตตาคาร เลยพากลับมาพักที่บ้าน” ชายหนุ่มพยักหน้า เมื่อเห็นเด็กหนุ่มกลับมาอย่างปลอดภัย เขาจึงปิดประตูและเดินตามเข้าไป
คืนนั้น เฟิงหลี่เฉียงสละเตียงให้สวี่เฟิงหยวนนอน เพราะห้องเขาก็ไม่ใหญ่โตมาก ส่วนตัวเขา ย้ายไปนอนในห้องหนังสือที่มีเตียงนอนขนาดเล็กสำหรับนอนเล่น คุณชายสวี่รู้สึกเกรงใจมาก แต่อีกฝ่ายกลับตอบว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าเคยลำบากกว่านี้มามากนัก ท่านนอนพักซะ”
คืนนั้น สวี่เฟิงหยวนนอนหลับสนิท โดยไม่รู้สึกระแวงภัย เฟิงหลี่เฉียงทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและไว้ใจ จนกล้านอนหลับในที่ที่เขาเองก็ไม่คุ้นเคยเลย