สวี่เฟิงหยวนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขามองไปรอบๆ ห้องแล้วก็สะดุ้ง นี่ไม่ใช่ห้องที่คุ้นเคย แต่สักพักก็นึกได้ว่า เขามานอนค้างที่บ้านของบัณฑิตเฟิง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาก็รู้สึกโกรธตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงไม้กระทบกันและเสียงพูดคุยจากสนามด้านล่าง เขาจึงลุกขึ้นและชะโงกออกไปที่หน้าต่าง
ที่สนามหน้าบ้าน เขาพบเฟิงหลี่เฉียงกำลังใช้ดาบไม้ฟาดฟันไปที่หุ่นไม้ตัวหนึ่งอยู่ เด็กหนุ่มตะลึงมอง เขาไม่คิดว่าคนที่เป็นบัณฑิตฮุ่ยหยวนคนนี้จะเก่งทั้งบู๊และบุ๋น แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อเฟิงหลี่เฉียงหยุดและเงยหน้าขึ้นมอง และตะโกนถามว่า “ตื่นแล้วหรือ มีห้องน้ำอยู่ด้านล่างนะ ที่นี่เราไม่มีคนรับใช้ช่วยยกน้ำขึ้นไปให้”
สวี่เฟิงหยวนเดินลงมา และพบกับสองแม่ลูกกำลังทำอาหารอยู่ในครัว ทั้งสองไม่แปลกใจที่เห็นเขา เพราะเฟิงหลี่เฉียงบอกพวกเขาเอาไว้แล้ว อันเฟยจูเป็นคนพาเขาไปที่ห้องน้ำ และบอกว่าอีกสักพักอาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว และเมื่อกินเสร็จ เธอจะให้ลู่ปู่ขี่รถลากไปส่ง
ในระหว่างที่กินข้าวเช้า เด็กหนุ่มมองดูครอบครัวสามแม่ลูกที่พูดคุยกันอย่างอบอุ่น เขารู้สึกอิจฉาและอยากมีครอบครัวแบบนี้บ้าง เฟิงหลี่เฉียงมองดูเขา และเหมือนจะเข้าใจ เช่นเดียวกับอันเฟยจู ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ความเป็นผู้หญิงทำให้สังเกตได้ว่าเด็กหนุ่มคงจะเหงา เธอคอยชวนเด็กหนุ่มพูดคุยและคีบอาหารส่งให้เรื่องๆ “เสี่ยวหยวน กินเยอะๆนะ ถึงบ้านป้าจะไม่มีอาหารหรูหรา แต่ทุกอย่างก็สดใหม่และคำนึงถึงสุขภาพผู้กินนะจ๊ะ”
สวี่เฟิงหยวนหัวเราะ “ขอบคุณขอรับท่านป้า ท่านป้าพูดเหมือนเป็นหมอเลย แค่นี้ก็อร่อยมากแล้ว”
ทุกคนมองตากันแล้วก็หัวเราะออกมา อันเฟยจูพูดอย่างขำๆว่า “คนที่เป็นหมอมีคนเดียว คือ เสี่ยวเฉียง แต่พวกเราก็มีความรู้ด้านสมุนไพร เพราะเป็นผู้ช่วยหมอที่มีฝีมือมานานหลายปีจ้ะ”
เด็กหนุ่มตาโตหันไปถามเฟิงหลี่เฉียงด้วยความทึ่ง “ท่านเป็นหมอด้วยหรือนี่”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าและคีบอาหารเข้าปากเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เขาจึงอดพูดด้วยความทึ่งไม่ได้ว่า “ไม่เพียงแต่เป็นบัณฑิตฮุ่ยหยวน เป็นหมอ ท่านยังเป็นอะไรอีกไหม”
เฟิงหลี่อิงพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “พี่ใหญ่เป็นวรยุทธ์ด้วยนะ ทั้งขี้ม้า ยิงธนู แล้วยังเล่นกู่เจิ้งเป็นด้วย”
“พอแล้วๆ เปลี่ยนเรื่องคุย” เฟิงหลี่เฉียงตัดบท เขาไม่อยากให้ใครรู้เกี่ยวกับตัวเองมากนัก คนอื่นๆ จึงหัวเราะและเปลี่ยนเรื่องคุย
เมื่อกินอาหารเสร็จ เฟิงหลี่เฉียงจึงพูดกับทุกคนว่า “ข้าจะไปส่งคุณชายสวี่เอง”
ลู่ปู่ชะงัก แต่เมื่อสบตากับเฟิงหลี่เฉียง เข้าก็เข้าใจได้ว่า คุณชายคนนี้คงจะไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อเตรียมรถลากแล้ว แทนที่สวี่เฟิงหยวนจะนั่งในรถ เขากลับปีนขึ้นมานั่งข้างๆ เฟิงหลี่เฉียงด้วย ทั้งสองนั่งรถไปและคุยกันไป ในขณะที่บัณฑิตหนุ่มก็ขี่รถลากไปยังที่หมายโดยไม่ถามเด็กหนุ่มสักคำ จนสวี่เฟิงหยวนอดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้ว่า “ท่านจะไม่ถามข้าเลยหรือ ว่าบ้านข้าอยู่ที่ไหน”
เฟิงหลี่เฉียงหัวเราะหึหึ และตอบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ว่า “แค่ขับรถลากคันนี้ไปทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง ไปจนสุดถนนก็น่าจะถึงแล้วมิใช่หรือ”
เด็กหนุ่มสะดุ้ง “นี่ท่านรู้แล้วหรือว่าข้าเป็นใคร!”
อีกฝ่ายส่ายหน้า “ข้าไม่รู้หรอก แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย เอาเป็นว่าพอถึงจุดที่คุณชายจะเดินกลับไปเองได้ ก็บอกข้าด้วย”
สวี่เฟิงหยวนนั่งคิดด้วยความงุนงง “ท่านรู้ได้อย่างไรว่า..ข้า..ข้าไม่ใช่คนธรรมดา”
เฟิงหลี่เฉียงตอบเบาๆ ว่า “ข้าสงสัยตั้งแต่ตอนที่ท่านมาคนเดียว และไม่สามารถกลับเข้าบ้านได้ ต่อให้ท่านใส่เสื้อผ้าราคาถูกกว่านี้ เนื้อแท้ของท่านก็ยังเผยออกมาให้เห็นอยู่ดี แต่ท่านไม่ต้องกลัวไป ข้าไม่บอกใครแน่นอน”
เด็กหนุ่มพยักหน้า เขาหันไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาชื่นชม “ข้าเชื่อใจท่าน แล้วก็หวังว่าเราคงจะได้มีโอกาสพบกันอีก”
เฟิงหลี่เฉียงยิ้ม เขาไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน และใครจะไปรู้ว่า พอถึงเวลานั้น พวกเขาอาจจะต้องทำเป็นไม่รู้จักกันก็ได้
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใกล้เขตพระราชวัง สวี่เฟิงหยวนลงจากรถม้า และหันมาโบกมือให้เฟิงหลี่เฉียง ก่อนจะวิ่งไปตามกำแพงวังที่ทอดยาวสุดสายตา เฟิงหลี่เฉียงไม่ได้รอดูว่าเด็กหนุ่มไปทางไหน เขาบังคับให้วัวเลี้ยวกลับ และขี่รถลากกลับไปทางเดิม
เย็นวันนั้น เฟิงหลี่เฉียงไปที่บ้านพักของเทียนมู่อวี้ เขาอยู่คนเดียวมีเพียงคนรับใช้อีกสองคน จึงสะดวกสำหรับทุกคน หลังจากอ่านหนังสือด้วยกันเสร็จแล้ว อินเฉินก็เล่าในขณะที่กินข้าวเย็นด้วยกันว่า “คดีเมื่อคืนนี้ ข้าได้ข่าวว่าเกี่ยวพันกับเจ้าพ่อค้าหวังเฉิงนั่นล่ะ แต่มันยังปากแข็งอยู่”
“ทำไมล่ะ” ซุยเฉินเหยาถามด้วยความสนใจ
“ข้าได้ยินมาจากอาของข้าว่า ผู้ตายน่าจะถูกล่อลวงให้ไปพบที่สวนหลังภัตตาคาร แล้วก็ถูกแทงตาย เพราะมีรอยเลือดหยดอยู่ตรงนั้น แต่ยังไม่พบว่าในกลุ่มหวังเฉิง ใครเป็นคนแทง”
เทียนมู่อวี้ส่ายหัวด้วยความสยดสยอง เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา “ถ้าไม่ได้เสี่ยวเฉียงช่วยไขคดี ตอนนี้พวกเราคงจะยังอยู่ในคุก ไม่ได้มานั่งอ่านหนังสือกันแบบนี้หรอก” ทุกคนหน้าเครียด และพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าละอยากจะถลกหนังหัวไอ้หวังเฉิงจริงๆนะ ที่คิดจะโยนความผิดให้พวกเรา” อินเฉินพูดด้วยความแค้น
“นั่นสิ” ซุยเฉินเหยาเห็นด้วย
เฟิงหลี่เฉียงที่นิ่งฟัง ก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พวกท่านจำความรู้สึกในวันนี้เอาไว้ให้ดี ขนาดพวกเราเป็นบัณฑิตกงเซิงแล้ว ก็ยังถูกใส่ร้ายจนเกือบเข้าคุก แล้วชาวบ้านธรรมดาล่ะ เขาจะทำอย่างไร ถ้าต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้”
ทุกคนหน้าเครียดลง และตกอยู่ในความเงียบ หลังจากการสอบในครั้งนี้ พวกเขาจะต้องแยกย้ายกันไป และก้าวเข้าสู่ชีวิตการเป็นข้าราชการเต็มตัว พวกเขาจะต้องพบเจอกับเรื่องที่ไม่เป็นธรรม และคนเลวแบบนี้อีกมากมายหลายครั้ง พวกเขาจะต้องเตรียมตัวให้ดี เพื่อให้ตัวเองเอาตัวรอด และยังช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมให้รอดได้ด้วยเช่นกัน
และก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย ในช่วงต้นเดือนมีนาคมของรัชสมัยที่ 6 ของฮ่องเต้หย่งเล่อ ในวันที่พระจันทร์เต็มดวง ก็เป็นวันสอบจินชื่อในราชสำนัก บัณฑิตจำนวน 300 คน เดินทางไปรอที่พระราชวังแต่เช้ามืดด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้เวลา เจ้าหน้าจากฮานหลินหยวนนำบัณฑิตที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว เดินเข้าไปยังสนามสอบ ซึ่งเป็นลานหินกว้างหน้าพระราชฐาน
เฟิงหลี่เฉียงกวาดตามองไปรอบลานกว้างใหญ่ วันนี้อากาศดี แสงแดดสดใส ถึงจะเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว อากาศยังมีความเย็นสบาย ไม่หนาวจนเกินไป พวกเขาถูกจัดให้นั่งเรียงตามลำดับคะแนน ดังนั้น เฟิงหลี่เฉียงจึงได้นั่งอยู่แถวหน้าสุดและเป็นคนแรก ในตอนนี้หลายคนจับตามองดูเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนรู้แล้วว่าเขาเป็นฮุ่ยหยวน บางคนก็เพิ่งเคยเห็น
ที่ด้านหน้าของลานสอบ มีการจัดพระที่นั่งเอาไว้ตรงกลางสำหรับจักรพรรดิหย่งเล่อมาเป็นองค์ประธานในการสอบ ที่ในตอนนี้ยังไม่เสด็จมา ด้านข้างเป็นแถวที่นั่งของข้าราชการจากฮานหลินหยวนและกรมพิธีการ ที่ทำหน้าที่จัดการการสอบ และยังเป็นผู้ตรวจข้อสอบด้วยจำนวน 5 คนมา มานั่งรออยู่ด้านหน้าแล้ว เหล่าบัณฑิตมาพบในภายหลังว่า ฮ่องเต้หย่งเล่อเสด็จมาดูการสอบเงียบๆ ทรงประทับอยู่สักพัก จากนั้นก็เสด็จกลับ และปล่อยให้ข้าราชการจากสำนักราชเลขาธิการและกรมวัง คอยอำนวยความสะดวกและร่วมมือกับฮาน หลินหยวนและกรมพิธีการต่อไปจนจบ
สำหรับการสอบครั้งสุดท้ายในพระราชสำนักนี้ มีการตรวจข้อสอบสองครั้ง การตรวจข้อสอบของทุกคนในครั้งแรกจะทำโดยบัณฑิตจากฮานหลินหยวนและกรมพิธีการ ผลการสอบจะถูกจัดลำดับตามคะแนน และแบ่งออกเป็น 3 ระดับ เรียกว่า อี้เจี่ย เอ้อร์เจี่ย และซานเจี่ย จากนั้นกระดาษคำตอบของผู้ที่อยู่ในกลุ่มอี้เจี่ยจำนวน 10 คน ที่จัดว่าเป็นบัณฑิตอันดับแรก จะถูกถวายให้ฮ่องเต้เป็นผู้ตรวจข้อสอบและตัดสินพระทัยมอบตำแหน่งสูงสุดให้เพียง 3 คน โดยผู้ที่ได้อันดับหนึ่งจะได้รับตำแหน่ง “จ้วงหยวน” อันดับสองจะได้รับตำแหน่ง “ป๋างเหยี่ยน” และอันดับสามคือตำแหน่ง “ทั่นฮวา”
ในการตรวจข้อสอบของบัณฑิตทุกระดับ ตั้งแต่ระดับอำเภอมาจนถึงระดับพระราชสำนัก จะมีการคัดลอกคำตอบของผู้เข้าสอบลงบนกระดาษอีกแผ่น และส่งให้ผู้ตรวจข้อสอบ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอคติและการโกงสอบ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องตรวจคำตอบจากฉบับสำเนาด้วยเช่นกัน
สำหรับคำถามในการสอบระดับพระราชสำนักนี้ เป็นคำถามเกี่ยวกับตำราคลาสสิคของนักคิดนักเขียนชื่อดัง และคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน บางครั้งเป็นคำถามที่ฮ่องเต้ตั้งขึ้นมา และบางครั้งมาจากขุนนางชั้นสูง วิธีการเขียนคำตอบจะต้องเป็นแบบประโยคคู่และเป็นเรียงความแบบ 8 ส่วน หรือ 8 ขา ประกอบด้วยเกริ่นนำ บทนำ ส่วนขยาย ประเด็นโต้แย้งช่วงต้น ประเด็นโต้แย้งสำคัญที่เป็นหัวใจของเรื่อง ประเด็นโต้แย้งอื่นๆ ประเด็นโต้แย้งสุดท้าย และบทสรุป ความยาวจะอยู่ที่ 550 – 700 คำ
เมื่อได้เวลาสอบ เสียงประกาศก้องก็ดังขึ้นทั่วลานหินกว้างนั้น “ขอให้บัณฑิตเดินเรียงแถวเข้ามานั่งประจำที่ และเตรียมตัวทำข้อสอบได้!”
เฟิงหลี่เฉียงและบัณฑิตคนอื่น ทุกเดินเรียงแถวตามเจ้าหน้าที่คุมสอบมาตามที่นั่งที่จัดเอาไว้ คนที่ได้ลำดับคะแนนสูงสุด จะได้นั่งทำข้อสอบอยู่ด้านหน้า จึงมีโอกาสได้แสดงตัวให้ฮ่องเต้และข้าราชการรวมไปถึงขุนนางในราชสำนักได้เห็นหน้าค่าตา คนที่มาถึงก่อนจะยืนรออยู่ที่โต๊ะของตัวเอง เมื่อทุกคนเดินเข้ามาจนครบแล้ว เสียงสั่งจากเจ้าหน้าที่ก็บอกให้พวกเขานั่งลง
ในการสอบครั้งนี้ พวกเขาได้นั่งสอบที่ลานกลางแจ้ง โชคยังดีที่มีเบาะรองนั่งให้ ในบางปีมีการจัดให้สอบในโถงใหญ่ ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสภาพอากาศ
เฟิงหลี่เฉียงนั่งลงบนเบาะรองนั่ง ตรงหน้าเขามีโต๊ะเตี้ยสำหรับเขียนหนังสือ บนนั้นมีแท่นฝนหมึก พู่กัน และกระดาษคำตอบเตรียมเอาไว้ พวกเขาจะต้องระวังกระดาษคำตอบให้ดี ห้ามขาดหรือห้ามเปื้อนสกปรก มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถส่งกระดาษคำตอบได้ ไม่เพียงแต่ต้องระมัดระวังไม่ให้กระดาษคำตอบเสียหายแล้ว ลายมือและความสะอาดในการเขียนคำตอบยังสำคัญต่อคะแนน ผู้ที่เขียนคำตอบได้สะอาดสวยงามมีระเบียบ จะได้รับคะแนนสูงกว่าด้วย ซึ่งสะท้อนถึงความละเอียดรอบคอบ ความใส่ใจ และการอดทนฝึกฝนในสร้างนิสัยเช่นนี้ของบัณฑิต
หลังจากนั้น บัณฑิตคนหนึ่งจากฮานหลินหยวนเป็นผู้อ่านคำถามให้ทุกคนฟังที่ด้านหน้า เฟิงหลี่เฉียงรู้มาว่า ในบางปีมีทั้งการอ่านคำถามและนำคำถามที่เขียนแล้วมาติดบนกระดานให้ทุกคนได้ดู แต่ปีนี้บัณฑิตจะต้องฟังอย่างตั้งใจและตอบให้ครบถ้วนเท่านั้น การสอบครั้งนี้จึงเป็นการทดสอบทั้งความรู้ ความจำ และความละเอียดรอบคอบด้วย
ข้อสอบครั้งนี้ จักรพรรดิหย่งเล่อผู้เชี่ยวชาญการทหารและการรบ เป็นผู้ออกข้อสอบเอง คำถามแรกที่ผู้คุมสอบอ่านด้วยเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ คือ
“จักรพรรดิเป็นผู้นำสูงสุด ที่มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงทั้งภายในและภายนอกของราชอาณาจักร หากนำแนวคิดของท่านขงจื๊อมาประยุกต์ใช้ จักรพรรดิแห่งต้าหมิงควรจะปฏิบัติอย่างไร ในการบริหารจัดการความมั่นคงของรัฐ และในการใช้กองทัพเพื่อรักษาและปกครองบ้านเมืองให้มีความสงบเรียบร้อยและมั่นคง”
ทุกคนที่ได้ฟัง ต่างรีบจดคำถามลงไปในกระดาษทันที หลังจากที่ให้เวลาจดคำถามแรกประมาณ 1 เค่อ หรือ 15 นาที บัณฑิตก็เริ่มต้นอ่านคำถามที่สองต่อ
“ข้าราชการและขุนนางมีบทบาทสำคัญในการปกครองและการบริหารราชการ หากใช้หลักการของขงจื๊อในการประเมินบทบาท ข้าราชการและขุนนางในยุคของของฮ่องเต้หย่งเล่อ แห่งราชวงศ์หมิง ควรมีหน้าที่และคุณสมบัติอย่างไร”
เฟิงหลี่เฉียงชะงัก ในยุคของฮ่องเต้หย่งเล่อด้วยหรือ..แต่เขาก็รีบจดคำถามลงไปในข้อสอบอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับบัณฑิตคนอื่น หลังจากนั้น ทุกคนใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์คำถาม และลงมือทำข้อสอบอย่างตั้งใจ เพราะนี้จะเป็นการสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต ที่จะชี้ชะตาชีวิตของพวกเขาตลอดไป!