แล้ววันจันทร์มาถึงพร้อมกับความกดดันที่เพิ่มขึ้น มาธวีมาถึงบริษัทตั้งแต่เช้าแต่หญิงยาวยังไม่ได้ขึ้นไปที่ห้องของท่านประธานเพราะอยากจะถามหัวหน้าแผนกที่เธอฝึกงานให้แน่ใจเสียก่อน เผื่อว่าเช้านี้ท่านประธานจะเปลี่ยนใจ แต่แล้วทุกอย่างมันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
“อย่ากังวลไปเลยไม่มีอะไรหรอกน่าน้ำผึ้ง” ศิริอรเห็นสีหน้าหนักใจของมาธวีก็พูดให้กำลังใจ
“แต่ทำไมเขาถึงเรียกหนูขึ้นไปล่ะคะพี่อร”
“ก็เพราะน้ำผึ้งทำงานดีไงล่ะ แล้วช่วงนี้พี่แก้วก็ท้องอยู่ด้วยเธอก็คงอยากมีใครไปช่วยงานเอกสารนั่นแหละน่า”
“ค่ะพี่อร” เพราะคิดว่าเหตุผลที่หัวหน้าแผนกพูดนั้นมีทางเป็นไปได้หญิงสาวเลยคลายความกังวลงบ้าง
มาธวีขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 25 ตามที่ถูกสั่ง ในมือถือกระเป๋าและสมุดบันทึกงานของตัวเอง เมื่อมาถึงโต๊ะของพี่ชไมพรเธอก็ทักทายอย่างมีมารยาท
“สวัสดีค่ะพี่แก้ว”
“มาแล้วเหรอผึ้ง พี่ได้รับการแจ้งมาแล้วท่านประธานรออยู่ในห้องแล้วนะ น้องผึ้งเข้าไปได้เลย”
มาธวีรู้สึกเหมือนหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่มเธอเดินไปที่ประตูห้องทำงานขนาดใหญ่ของท่านประธาน สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเคาะประตูอย่างเบาที่สุด
ก๊อก... ก๊อก...
“เข้ามา” เสียงทุ้มต่ำที่แสนจะคุ้นเคยตอบกลับมา
หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปอย่างช้า ๆ ห้องทำงานนั้นกว้างใหญ่ หรูหรา โอ่อ่ากว่าที่เธอจินตนาการไว้หลายเท่าตัว ผนังกระจกบานใหญ่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ทั้งเมือง
องศาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน แต่เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง หันหลังให้เธอเล็กน้อย ในมือถือแก้วกาแฟไว้ เขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้เธอนึกถึงบาร์เทนเดอร์คนนั้นอีกครั้ง
“สวัสดีค่ะท่านประธาน”
“อือ นั่งลงสิ” เขาบอกโดยไม่ต้องหันมา
“ขอบคุณค่ะ”
มาธวีเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงานด้วยความประหม่า หัวใจเต้นแรงทั้งกลัวละตื่นเต้น เธอวางกระเป๋าและสมุดบันทึกบนตักอย่างระมัดระวัง
องศาค่อย ๆ หมุนตัวกลับมามองเธอ ดวงตาคมกริบคู่นั้นมองเธออย่างพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า และเขาก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก
“คุณเรียกหนูมาทำไมคะ” มาธวีถามแต่ไม่กล้าสบกับสายตาของเขา
“ผมมีงานให้คุณทำ” เขาเดินเข้ามาใกล้โต๊ะทำงานแล้วเท้าแขนลงบนขอบโต๊ะ จ้องมองใบหน้าใสที่ดูตื่นตระหนก
“งานอะไรคะท่านประธาน”
“เรียกผมว่าองศาก็ได้นะ”
“ค่ะคุณองศา คุณมีงานอะไรให้หนูทำคะ”
เมื่อหญิงสาวแทนตัวเองว่าหนูเขาก็รู้สึกว่ามันต่างไปจากผู้หญิงขี้เมาที่เร่าร้อนในคืนนั้นมาก แต่กลับรู้สึกเอ็นดูเธอมากขึ้น เธอในวันนี้ดูสดใสมากกว่าคืนนั้น
“ไม่มีอะไรมากหรอกก็แค่ช่วงนี้ ผมอยากให้คุณมาช่วยงานเลขาของผมก็เท่านั้นเอง พวกงานเอกสารต่าง ๆ เลขาของผมท้องอาจต้องการให้คนมาช่วยงานหรือไม่ก็เดินไปติดต่อประสานงานตามผนกต่าง ๆ คิดว่าทำได้ไหมล่ะ”
“ได้ค่ะ แต่ทำไมคุณถึงให้หนูมาทำงานนี้คะ” หญิงสาวรู้สึกว่ามันแปลกที่เธอเรียกให้นักศึกษาฝึกงานอย่างเธอมาช่วยงานเพราะเธอไม่มีประสบการณ์อะไรเลย
“อันที่จริงผมก็จะใหนักศึกษาทุกคนลองมาช่วยงาน ถ้าใครเข้าตาก็จะได้ทำงานต่อพอดีว่าชื่อคุณอยู่คนแรกก็เลยได้มาก่อนน่ะ ลองทำดูก่อนถ้าไม่ไหวผมจะเรียกคนอื่นมาแทน”
“ค่ะ ขอบคุณที่ให้โอกาสหนูนะคะ” หญิงยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมก่อนจะเดินออกไป
องศามองตามหลังแล้วถอนหายใจเพราะการที่เธอยอกมือไว้เข้ามันเลยทำให้เขารู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างตนเองกับมาธวี ตอนนี้หญิงสาวเป็นเด็กที่มาฝึกงานในบริษัทของเขาและเขาคงจะทำอะไรรุ่มร่ามกับเธอไม่ได้
“ให้มันได้อย่างนี้สิ เหยื่อมาถึงที่แต่ทำอะไรไม่ได้” เขาบ่นกับตัวเองด้วยความหงุดหงิด
มาธวีเดินออกจากห้องทำงานขององศาด้วยความรู้สึกโล่งอกเพราะที่เขาเรียกมาก็แค่ให้มาช่วยงานเลขาไม่ใช่เพราะเธอทำอะไรผิด เธอถอนหายใจยาว พลางยิ้มให้กับความกังวลเกินเหตุของตัวเอง
“เรียบร้อยไหมจ๊ะผึ้ง” พี่แก้วถามด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นมาธวีเดินกลับมาที่โต๊ะ
“เรียบร้อยแล้วค่ะพี่แก้ว ท่านประธานบอกให้หนูมาช่วยงานพี่แก้วค่ะ”
“พี่กำลังต้องการตัวช่วยมาก ๆ เลยล่ะ ช่วงนี้เอกสารมันเยอะมากเลยจ้ะ แล้วพี่ก็เริ่มไม่ไหวกับการเดินไปเดินมาแล้ว” ชไมพรลูบท้องที่นูนขึ้นซึ่งมาธวีเพิ่งสังเกตเห็น
“พี่แก้วจะให้หนูทำอะไรบอกมาได้เลยนะคะ หนูยินดีช่วยเต็มที่เลยค่ะ” มาธวีพูดอย่างเต็มใจ การได้ช่วยงานเลขาของผู้บริหารจะทำให้เธอได้ประสบการณ์ที่มากขึ้น
“ได้จ้ะ”
ชไมพรแนะนำงานให้มาธวีอย่างละเอียด โดยเน้นที่การจัดเก็บแฟ้มเอกสาร การรับ-ส่งจดหมายสำคัญ และการประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะฝ่ายกฎหมายและการเงิน ทุกอย่างที่รุ่นพี่สอนเด็กฝึกงานอย่างมาธวีก็ตั้งใจฟังอย่างเต็มที่
งานที่ได้รับมอบหมายนั้นหนักและมีรายละเอียดมากมายตามสไตล์ของงานเลขาฯ ระดับผู้บริหาร แต่มาธวีก็ตั้งใจเรียนรู้และทำมันอย่างรวดเร็ว เธอไม่ต้องการทำให้ใครผิดหวังเพราะถ้าเธอทำงานนี้ได้ดีเธอก็อาจจะได้ทำงานนี้ไปตลอดจนกระทั่งฝึกงานเสร็จ
การทำงานในตำแหน่งเลขาทำให้การเลิกงานต่างจากคนอื่นแต่มาธวีก็ยอมรับได้เพราะเธออยากเรียนรู้งานให้มากที่สุด
“ขอบใจมากเลยนะผึ้ง ถ้าพี่ไม่ได้หนูพี่แย่แน่ ๆ เลย” ในที่สุดพี่แก้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเกือบหกโมงครึ่ง
“ไม่เป็นไรค่ะพี่แก้ว ถ้ามีอะไรให้ช่วยอีก บอกหนูได้เลยนะคะ วันนี้หนูได้เรียนรู้งานเอยะมาก ๆ เลยค่ะ” มาธวียิ้มอย่างยินดี
“ไม่ใช่ว่าพี่ใช้งานหนักแล้วพรุ่งนี้จะขอกลับไปฝึกงานที่แผนกเดิมนะ”
“ไม่หรอกค่ะพี่แก้ว หนูจะอยู่ช่วยงานพี่นอกเสียจากว่าพี่แก้วอยากลองหาคนใหม่มาช่วยงาน”
“น้ำผึ้งขยันและยังช่วยงานได้คล่องแบบนี้พี่คงไม่ต้องเรียกคนอื่นมาแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่จะคุยกับพี่อรนะว่าอยากดึงตัวมาช่วยพี่ที่นี่ แต่หนูเต็มใจใช่ไหม”
“เต็มใจค่ะพี่แก้ว”
“ขอบใจจ้ะ วันนี้หนูกลับก่อนเลยนะ เดี่ยวพี่ก็จะกลับเหมือนกัน ว่าแต่กลับยังไงให้พี่ไปส่งไหม นี่มันก็ค่ำแล้วนะ
“ไม่เป็นไรค่ะพี่แก้วรถเมล์ยังวิ่งอยู่เลย หนูไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
มาธวีเก็บของใส่กระเป๋าแล้วรีบลงไปที่ชั้นล่าง เธอใช้เวลาทำงานล่วงเลยจากปกติไปเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยมากนัก กลับรู้สึกสนุกและดีใจที่ได้ทำงานในตำแหน่งนี้
มาธวีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา รถเมล์สายที่เธอจะนั่งน่าจะมาถึงในอีกประมาณ 10 นาที หญิงสาวจึงนั่งลงบนม้านั่งที่ป้ายรถเมล์ปล่อยตัวตามสบายหลังผ่านวันทำงานที่แสนจะยาวนานไป
ขณะที่เธอกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ก็มีแสงไฟหน้ารถคันหรูสาดเข้ามาอย่างแรงจนเธอต้องหรี่ตาลง
“ขึ้นรถ” เสียงเข้มออกคำสั่งเมื่อเขาลดกระจกลง
“คะ?”
“ผมบอกให้ขึ้นรถ เร็วสิเดี๋ยวรถเมล์ก็จะมาจอดแล้ว ผมไม่อยากจอดขวาง”
“ค่ะ” เธอตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบาที่สุด ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งในรถอย่างจำยอมเพราะถ้ายังช้าอยู่ก็กลัวว่ารถเมล์มาแล้วจะไม่มีที่จอด