บท 1

1308 คำ
1 “แล้วดูทำหน้าทำตาเข้า นี่เราจับได้ไหมเนี่ย” หลังจากที่ฟลินวางสายจากเพื่อนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ต้องเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อนกฮูกที่ปากของมันกำลังคาบซองจดหมายเอาไว้แน่นกำลังจ้องเขาตาเขม็ง คล้ายกับว่าฟลินเป็นเหตุผลที่ทำให้มันบินไม่ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันต่างหากที่เซ่อซ่าบินมาชนหน้าต่างห้องเขาเอง “แกบินมาชนหน้าต่างห้องฉันเองนะ แล้วจะมามองกันแบบนี้ได้ไง” ฟลินบอกกลับไป หลังสายตาของเขาได้สบประสานกับดวงตากลมโตของมันเข้าพอดี จากนั้นฟลินก็เริ่มหันซ้ายขวาเพื่อหาบางสิ่งบางอย่างที่เขาพอจะสามารถนำมาใช้อุ้มร่างเจ้านกฮูกแสนเซ่อซ่านี้ได้ ต่อให้ในนาทีนี้เขาจะกำลังถูกมันจ้องกันตาเขม็งคล้ายต้องการกล่าวโทษกันก็ตาม “ห้ามดิ้นนะ ไม่งั้นแกตกแน่” หลังเขาได้ผ้ามาผืนหนึ่งแล้ว ก่อนที่ฟลินจะเริ่มลงมือทำอะไร เขาก็ไม่ลืมที่จะเจรจากับมันเบื้องต้นก่อน เนื่องจากเขาเกรงว่าระหว่างการเคลื่อนย้ายพามันเข้ามาในห้องของตัวเองชั่วคราว เจ้านกฮูกมันจะตกใจแล้วกระพรือปีกใส่เขา “เอาล่ะ ใจเย็น ๆ นะ” พอเขาใช้ผ้าคลุมตัวมันได้สำเร็จแล้ว นาทีต่อมาเขาก็เอ่ยขึ้นอีกรอบแล้วค่อย ๆ ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปจับร่างของมันด้วยความเบามือ เพราะเขาเกรงว่าร่างของมันจะบอบช้ำ โดยตลอดทั้งการโยกย้ายที่ว่านั้น มันก็มีผ้าผืนหนากั้นสัมผัสระหว่างทั้งคู่เอาไว้อยู่ ฟลินไม่กล้าสัมผัสมันด้วยมือโดยตรง เพราะเขาไม่รู้ว่านกฮูกตัวนี้ มันมีโรคอะไรติดตัวมาด้วยหรือเปล่า “เก่งมาก เก่งที่สุด” เพราะการเคลื่อนย้ายนกฮูกจากระเบียงห้องเข้ามาห้องของตัวเอง มันเป็นไปอย่างง่ายดายราวกับนกฮูกแสนเซ่อมันรู้ภาษาของมนุษย์ นั่นจึงทำให้ฟลินพูดออกมาแบบนั้นอย่างไม่คิดอะไร พร้อมจับมันมาวางไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือของเขา “แล้วแกเป็นนกฮูกสายพันธุ์อะไรเนี่ย” เขาพึมพำเสียงแผ่วพลางหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดหาข้อมูลของมัน เผื่อเขาจะต้องคอยระวังนิสัยของมัน “นกฮูกสายพันธุ์เบอร์โรวิ่งเหรอ?” เมื่อเสียเวลาเสิร์จหาข้อมูลนกฮูกสายพันธุ์ต่าง ๆ อยู่เกือบห้านาที ฟลินก็พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมมองหน้าจอโทรศัพท์สลับกับนกฮูกตัวจริงอยู่สองสามรอบ เพื่อดูให้แน่ใจว่าเขามองไม่ผิดแน่ โดยนกฮูกสายพันธุ์นี้มันก็เป็นนกฮูกที่มีสายพันธุ์เล็กที่สุดในโลก อาศัยอยู่ตามโพรงดินร้างที่สัตว์ชนิดอื่นเคยขุดเอาไว้ และมันก็เป็นนกฮูกที่หากินตอนกลางวันอีกด้วย “น่ารักอยู่นะเนี่ย แต่เอาล่ะ… ฉันขอจดหมายของแกก่อนนะ” เพราะฟลินต้องการจะจับมันขึ้นมาสำรวจดูอาการบาดเจ็บ ก่อนที่เขาจะหากรงหรือกล่องกระดาษมาใส่เตรียมพามันไปหาหมอในวันพรุ่งนี้ นั่นจึงทำให้เขาจำเป็นจะต้องขอจดหมายที่อยู่ในปากของมันออกมาก่อน ฟลินไม่ได้มีเจตนาละลาบละล้วงหรือถือวิสาสะจะเปิดดูเนื้อความในนั้นเลยแม้แต่นิด เพียงแต่ว่าเขาแค่ต้องการให้มันปล่อยซองจดหมายชั่วคราว เพื่อให้เขาได้หยิบร่างของมันขึ้นมาดูได้อย่างสะดวกต่างหาก “ไม่ให้เหรอ ทำไมล่ะ? ในเมื่อฉันไม่ได้จะเปิดอ่านมันสักหน่อย” ในจังหวะที่เขายื่นมือออกไปขอซองจดหมาย เจ้านกฮูกแสนเซ่อก็รีบหันหลังใส่กัน คล้ายกับมันไม่ต้องการส่งมอบจดหมายให้เขา ฟลินจึงต้องพูดออกมาแบบนั้น “ขอหน่อยนะ” เขาพยายามจะอ้อนวอนอย่างไม่ยอมแพ้ ทว่าเมื่อเขายื่นมือไปหามันอีกครั้ง เจ้านกฮูกที่ยังบินไม่ได้ก็รีบสาวเท้าเดินหนีเขาไปทั่วโต๊ะ นั่นก็ทำให้เขาต้องยืนทำหน้างงอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง ก่อนที่ฟลินจะคิดอะไรดี ๆ ออก “โอเค ฉันว่าฉันรู้แล้วล่ะว่าฉันต้องทำยังไงกับแก” ฟลินพูดเสียงแผ่ว เมื่อเขาคิดว่าทางเดียวที่จะทำให้มันยอมปล่อยจดหมายได้นั่นก็คือการเอาอาหารมาล่อมัน และพอเขาคิดได้อย่างนั้นฟลินก็ไม่รอช้า เขารีบเดินออกไปจากห้องนอน เพื่อลงไปเปิดตู้เย็นหยิบหาเนื้อสัตว์บางประเภทที่นกฮูกอย่างมันน่าจะกินขึ้นมาบนห้องอย่างไม่รีรอ โดยเนื้อที่เขาหยิบติดไม้ติดมือขึ้นมาด้วยนั้นก็คือเนื้อวัวที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอดีกับปากของมัน ฟลินคิดว่าวิธีนี้ของเขามันค่อนข้างได้ผลแฮะ… เพียงแค่เขาหยิบอาหารที่มันน่าจะกินกลับขึ้นมาบนห้องพร้อมกับน้ำดื่มของตัวเองด้วย เจ้านกฮูกที่ดูจะไม่ค่อยไว้ใจและไม่ชอบขี้หน้ากันในตอนแรกก็รีบชูคอขึ้นมองของที่อยู่ในมือเขาอย่างให้ความสนใจ ม่านตาสีดำของมันขยายออกกว้าง แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามันต้องการที่จะกินของในมือเขา “ทำไมเสียงแกร้องเหมือนนกพิราบเลย” เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฟลินได้ยินเสียงร้องของนกฮูก เขาจึงเอ่ยออกมาแบบนั้นพร้อมทำหน้าประหลาดใจไปด้วย แต่ในนาทีนี้นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะสิ่งที่ฟลินต้องทำ มันคือการหาวิธีที่จะทำให้นกฮูกตัวจ้อยตรงหน้าเขายอมปล่อยซองจดหมายของมันต่างหาก “อยากกินหรือเปล่า? ถ้าแกอยากกิน แกจะต้องยอมปล่อยของในปากก่อนนะ” ขณะที่ฟลินกำลังพูด เขาก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของเจ้านกฮูกไปด้วย ซึ่งเขาก็ได้แต่หวังว่ามันจะเข้าใจคำพูดของเขา ฟลินไม่พูดเพียงอย่างเดียว แต่เขายังหยิบเนื้อชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งชิ้นขึ้นมาให้มันดูด้วย โดยวินาทีที่มันเห็นของในมือเขา ฟลินก็รู้สึกได้เลยว่าเจ้านกฮูกกำลังอยู่ในสภาวะลังเลว่าตัวเองควรจะรักษาจดหมายยิ่งชีพหรือว่าควรจะเอาเรื่องปากท้องของตัวเองก่อนดี “ไม่อยากกินเหรอ?” เขาถามมัน ก่อนที่ในหลายวินาทีต่อมาฟลินจะฉีกยิ้มกว้างจนรอยบุ๋มจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่ข้างแก้มของเขา เมื่อเจ้านกฮูกยอมปล่อยซองจดหมายที่คาบไว้นานสองนานลงบนโต๊ะตามคำบอกของเขาแล้ว “ดีมาก มันต้องแบบนี้สิ” ฟลินกล่าวชมมันอีกครั้งพร้อมให้รางวัลด้วยการคีบเนื้อชิ้นเล็กยื่นส่งไปให้มัน โดยตัวของมันเองก็ค่อย ๆ ขยับเข้ามารับชิ้นเนื้อไปจากเขาอย่างระมัดระวังเช่นกัน จากนั้นเขากับมันก็จ้องมองกันอีกครั้งคล้ายกับต้องการหยั่งเชิงกันและกัน เขาจ้องมันตาไม่กะพริบ ตัวมันเองก็เช่นกัน ทว่าในวินาทีเดียวกันนั้นฟลินก็ต้องเบิกตากว้างเล็กน้อย เมื่อจู่ ๆ เจ้านกฮูกแสนเซ่อซ่าที่บินไม่ได้ในตอนแรกก็ถือวิสาสะบินมาเกาะที่ไหล่ของเขา เพื่อที่มันจะได้กินเนื้อในกล่องที่เขาถือเอาไว้เอง โดยที่ฟลินไม่จำเป็นต้องคีบให้มัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม