3
“นี่ใครเป็นคนเขียนข้อความให้แกน่ะ” นั่นเป็นคำพูดแรกที่ฟลินเอ่ยขึ้น หลังจากที่เขากวาดสายตาอ่านเนื้อความทั้งหมดแล้ว
“แต่เดี๋ยวนะ… ถ้าดูจากข้อความในนี้ แกเขียนเองเหรอ” เขาถามมันพร้อมจ้องมองนกฮูกตรงหน้าตัวเองด้วยความประหลาดใจ โดยในหัวของฟลินตอนนี้ก็ไม่ได้ชื่นชมว่ามันเป็นนกฮูกแสนฉลาดที่มีความสามารถหลากหลายแต่อย่างใด แต่เขามองว่ามันเป็นนกฮูกผีต่างหาก หากว่ามันเขียนเนื้อความนี้ด้วยตัวเองจริง ๆ
กึก! กึก! กึก! เวลาต่อมาเสียงเท้ายามที่นกฮูกกระโดดไปมาอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือของฟลินก็ดังขึ้นเบา ๆ เมื่อมันมีบางอย่างที่อยากทำ
เจ้านกฮูกแสนเซ่อซ่า เอ่อ ไม่ใช่สิ… เจ้าวินซ์กวาดสายตามองไปรอบ ๆ โต๊ะอ่านหนังสือของฟลินเหมือนมันต้องการหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่มันจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าลิ้นชักเก็บอุปกรณ์ขีดเขียนของเขาแล้วเปิดมันออกมาด้วยความทุลักทุเลเสีย จนฟลินที่เห็นอย่างนั้นต้องรีบยื่นมือไปช่วยมัน
“หมายความว่ายังไง แกจะให้ฉันเขียนข้อความลงใส่กระดาษเหรอ” เนื่องจากสิ่งที่วินซ์คาบออกมาจากลิ้นชักคือปากกาแท่งหนึ่ง มันโยนมาทางเขา ฟลินจึงจำเป็นต้องถามออกไปแบบนั้นพร้อมสังเกตท่าทีของมันไปด้วย
“อ๋อ แกคงต้องการให้ฉันเขียนข้อความตอบกลับลงไปในจดหมายฉบับนี้สินะ” เขาเอ่ย ซึ่งพอเขาเห็นว่าเจ้าวินซ์ไม่ได้ทำอะไรต่อ นอกจากการเอียงคอมองเขากลับทั้งหน้าบ้องแบ๊ว ฟลินก็ไม่รอช้าเขารีบดึงเก้าอี้อ่านหนังสือออกมา เพื่อที่เขาจะได้เขียนข้อความตอบกลับลงไปในกระดาษตามที่มันต้องการ
โดยก่อนที่ฟลินจะลงมือเขียนข้อความตอบกลับไป เขาก็ไม่ลืมที่จะอ่านทวนข้อความเหล่านั้นก่อน แม้ว่ามันจะมีเพียงแค่สองบรรทัดก็ตาม
‘สวัสดีครับ ผมชื่อฟลินนะครับ’
‘คุณเจ้าของของวินซ์เป็นคนเขียนข้อความฉบับนี้เองใช่ไหมครับ?’ นั่นเป็นข้อความที่เขาเขียนตอบกลับไป มันอาจจะดูแปลก ๆ ไปเสียหน่อย แต่ที่ฟลินต้องเขียนถามกลับไปแบบนั้นก็เป็นเพราะว่าเนื้อความมันดูเหมือนเจ้านกฮูกตัวนี้เป็นคนเขียนเองมากกว่าจะเป็นเจ้าของของมัน
โดยใจจริงฟลินอยากเขียนอะไรมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าเจ้าของของนกฮูกมีนิสัยยังไง สามารถเชื่อไจได้หรือไม่ ฟลินจึงจำเป็นต้องเขียนแค่เท่านั้น แล้วจัดการพับกระดาษตามรอยเดิมก่อนจะส่งคืนให้วินซ์ เพื่อให้มันนำไปให้เจ้าของตัวเอง
“อ๊ะ!” พอเขาส่งจดหมายคืนกลับไปให้เจ้าวินซ์แล้ว ฟลินก็เผลอหลุดเสียงร้องออกมาเบา ๆ เมื่อจู่ ๆ เจ้านกฮูกตัวจิ๋วที่ยืนอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือของเขาในคราวแรกได้บินมาเกาะที่ไหล่ของฟลินแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คล้ายตอนที่มันบินมากินอาหารที่เขาถือไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ท—ทำไมแกถึงมองกันแบบนั้นล่ะ” ฟลินถามมันเสียงงง เมื่อนาทีต่อมาเจ้านกฮูกที่ถือวิสาสะมาเกาะหัวไหล่เขาแบบไม่ให้ตั้งตัวได้ใช้ดวงตากลมโตของมันจ้องมองเขาอย่างใกล้ชิด เหมือนมันต้องการมองหน้ากันให้เต็มตา
แต่ฟลินคิดว่ามันมองใกล้เกินไปหน่อย เนื่องจากปากแหลมของมันแทบจะแตะที่ข้างแก้มของเขาอยู่แล้ว
เขานั่งนิ่งปล่อยให้เจ้าวินซ์มองหน้าตัวเองอย่างใกล้ชิดอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ จากนั้นเจ้านกฮูกตัวจิ๋วก็กระโดดลงจากไหล่ฟลิน มันบินกลับไปยืนที่โต๊ะอ่านหนังสือของเขาอีกครั้งแล้วค่อย ๆ คาบซองจดหมายเอาไว้ในปาก เตรียมจะบินกลับไปหาเจ้าของของมันพร้อมกับจดหมายที่เผลอ ๆ น่าจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวมันด้วยซ้ำ
“ค่อย ๆ บินนะ” ฟลินบอกมัน ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงของเขาดีด้วยซ้ำ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ปึ่ก!
ราวกับเหตุการณ์เมื่อวานเวลาเดิมถูกฉายซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อในจังหวะที่เจ้าวินซ์กำลังบินออกไปจากห้องนอนเขาด้วยท่าทีสง่าเหมือนอยากโชว์เท่ให้เขาดู มันก็ได้พุ่งชนเข้ากับหน้าต่างอีกบานหนึ่งที่อยู่ติดกับบานที่เปิดทิ้งเอาไว้อย่างเต็มแรง จนทำให้มันร่วงลงกับพื้นทันที
“วินซ์!” ฟลินที่เห็นอย่างนั้นถึงกับต้องเรียกชื่อมันด้วยความตกใจ แล้วรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปดูอาการเจ้านกฮูกแสนเซ่อด้วยความเป็นห่วง
“แกนี่จริง ๆ เลยนะ” เขาเอ่ยพร้อมค่อย ๆ ช้อนร่างเจ้าวินซ์ขึ้นมาอย่างเบามือ
พอมันขึ้นมาอยู่บนมือของฟลินแล้ว เจ้าวินซ์มันก็ส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ ก่อนจะสะบัดหน้าไปมาอยู่สองสามหน คล้ายกับแรงปะทะเมื่อครู่นี้ทำให้มันมีอาการมึนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
หลังจากนั้นมันก็กระโดดออกไปจากมือเขาแล้วบินออกไปข้างนอกห้องโดยที่มันไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย ฟลินยืนลากสายตามองตามนกฮูกตัวจ้อยที่กางปีกอยู่กลางอากาศหลายวินาที ก่อนที่มันจะเลือนหายไปในความมืดมิด
“แล้วจะบินถึงบ้านตัวเองไหมนั่น” เขาพึมพำเสียงแผ่ว เมื่อภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ยังคงติดตาเขาอยู่เลย
อีกฝั่งหนึ่ง
“วินซ์! ฉันบอกนายแล้วไงว่าให้นายลงจอดดี ๆ ดูสิข้าวของที่ฉันวางเอาไว้กระจัดกระจายหมดแล้วเนี่ย” ทันทีที่นกฮูกตัวจิ๋วบินกลับมาถึงบ้านแล้ว เสียงโวยวายของเจ้าของมันที่มีชื่อว่าอเล็กซ์ก็แทบจะดังขึ้นในทันที เมื่อมันเป็นอีกครั้งที่สิ่งของต่าง ๆ ที่ถูกวางไว้บนโต๊ะล้มระเนระนาด เพียงเพราะนกฮูกตัวจ้อยเลือกลงจอดผิดที่
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่วินซ์จะต้องให้ความสนใจ เพราะสิ่งที่เจ้านกฮูกตัวเล็กควรจะให้ความสนใจมากที่สุดก็คือการส่งมอบจดหมายที่ได้รับจากฟลินให้กับเจ้าของของมันต่างหาก เมื่อมันอยากรู้ว่าฟลินเขียนอะไรตอบกลับมาบ้าง
“โอ๊ย! วินซ์ฉันเจ็บนะ” ทันใดนั้นอเล็กซ์ก็ส่งเสียงร้องโวยวายออกมาโดยพลัน เมื่อจู่ ๆ เจ้าตัวก็ถูกนกฮูกส่งจดหมายที่อยู่ในความดูแลตัวเองงับเข้าที่ปลายนิ้วมืออย่างแรง เพื่อเรียกร้องความสนใจว่าให้รีบอ่านจดหมายให้มันฟังเสียที แทนที่จะเอาแต่สนใจการลองร่ายเวทย์มนต์ที่เจ้าตัวกำลังศึกษาอยู่
“เอาล่ะ ๆ เดี๋ยวฉันจะอ่านให้ฟังก็ได้ นายนี่จริง ๆ เลยนะ” เพราะวินซ์ไม่ทำเพียงแค่งับนิ้วมือเท่านั้น แต่มันยังมีการกระพือปีกและเดินไปมาอีกต่างหาก นั่นจึงทำให้อเล็กซ์ต้องหยุดให้ความสนใจกับเรื่องของตัวเองชั่วขณะ แล้วรับซองจดหมายมาจากเจ้านกฮูก เพื่ออ่านข้อความในนั้นให้มันฟัง
“มนุษย์คนนี้เขาบอกว่าเขาชื่อฟลิน”
“แล้วเขาถามว่าฉันเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้เองหรือเปล่า?” เมื่อวินซ์ได้ยินอย่างนั้น นกฮูกตัวจิ๋วที่ยืนรอให้เจ้าของอ่านข้อความในนั้นให้ฟังก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เพื่อคิดหาคำตอบที่จะให้เจ้าของเขียนตอบกลับไป
“นายจะบ้าเหรอ ถ้าเกิดคนอื่น ๆ รู้ว่าพวกเราเปิดเผยความลับการมีอยู่ของพวกเรา พวกเราจะซวยเอานะ” อเล็กซ์ที่สามารถอ่านใจวินซ์ได้เพียงแค่ทั้งคู่สบตากันรีบโวยวายใส่วินซ์แทบจะในทันที
เมื่อเจ้านกฮูกได้ยืมมือขอให้เขาเขียนข้อความกลับไปว่าตัวเองเป็นนกฮูกของใครมาจากที่ไหน และเมื่อคืนก่อนมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงได้เกิดเหตุการณ์ที่วินซ์ไปโผล่อยู่ที่หน้าระเบียงห้องของมนุษย์ที่ชื่อว่าฟลินได้
ถ้าให้พูดกันตามตรงวินซ์ไม่อยากจะเป็นนกฮูกโง่เง่าในสายตาของมนุษย์ที่ชื่อว่าฟลิน มันจึงพยายามจะอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ฟลินฟัง เผื่อว่าภาพลักษณ์ของตัวมันจะดีขึ้นบ้าง
ทว่าการอธิบายเรื่องราวทุกอย่างแบบตรงไปตรงมาและเปิดเผยมันกลับไม่ใช่เรื่องที่สมควรเท่าไรนัก เพราะนั่นมันไม่ต่างจากการบอกเล่าความลับการมีอยู่ของตัวเองให้มนุษย์ได้รู้ว่าในจักรวาลนี้ไม่ได้มีแค่มนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่เท่านั้น แต่มันยังมีเหล่าแม่มดและพ่อมดอาศัยอยู่ด้วย
“ถ้าอย่างนั้นเราเอาแบบนี้ดีกว่า ฉันจะเขียนตอบกลับไปว่าเมื่อคืนนี้ที่นายไปโผล่อยู่ที่ระเบียงห้องเขา มันเป็นเพราะว่าสภาพอากาศเมื่อคืนนี้มันค่อนข้างเลวร้าย นายเลยมีอาการสับสนเส้นทางและมองเห็นทัศนียภาพได้ไม่ชัดเจนเหมือนอย่างเคย” อเล็กซ์เสนอความคิด ซึ่งสิ่งนี้มันก็ไม่ได้ต่างจากความเป็นจริงเท่าไรนัก
แม้ในบางครั้งวินซ์มักจะลงจอดแบบไม่เลือกสถานที่ ไม่สนว่าตรงบริเวณนั้นมีข้าวของหรือไม่ แถมบางทีมันก็ดูเป็นนกฮูกเซ่อซ่ามากกว่าจะเป็นนกฮูกวิเศษของเหล่าพ่อมดแม่มด แต่สิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยก็คือทุกครั้งที่อเล็กซ์มอบหมายให้มันไปส่งจดหมายสำคัญ มันก็มักจะทำได้ดีเสมอ
มันรักษาจดหมายของตัวเองยิ่งชีพและมักจะส่งไปถึงผู้รับสารได้อย่างแม่นยำด้วย แต่เมื่อคืนนี้ไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น วินซ์ที่ควรจะอยู่แค่โลกของพ่อมดแม่มดกลับทะลุเข้าไปในโลกของมนุษย์ และการที่มันบินด้วยความเร็วสูง นั่นจึงทำให้มันชนกับกระจกใสที่มนุษย์สร้างขึ้นเข้าอย่างจัง
“อะไรนะ? นี่นายจะให้ฉันเขียนจดหมายจีบฟลินให้เหรอ อย่าบ้าไปหน่อยเลย” อเล็กซ์ไม่พูดเปล่า แต่ชายหนุ่มยังมีการส่ายหน้าเบา ๆ ด้วย เมื่อเจ้าตัวกำลังถูกนกฮูกในความดูแลใช้เป็นเครื่องมือส่งข้อความหวานเลี่ยนไปให้ฟลิน
“ไม่เอา ฉันไม่เขียนเด็ดขาด” อเล็กซ์ยืนกรานเสียงหนักแน่น เมื่อวินซ์พยายามคะยั้นคะยอขอให้ช่วยเขียนความในใจลงในกระดาษให้ได้
“นายเป็นนกฮูก ฟลินเป็นมนุษย์แล้วจะจีบได้ยังไง ต่อให้ฉันยอมเขียนให้ยังไงนายก็ไม่สมหวังหรอก” อเล็กซ์เตือนสติวินซ์ และเพราะเขาพูดจาไม่เข้าหูเจ้านกฮูกตัวจิ๋ว นั่นจึงทำให้วินซ์เริ่มเดินย่ำไปทั่วโต๊ะทำงานของเขาพร้อมกับสยายปีกทั้งสองข้างออกอีกครั้ง เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจ
“เอาล่ะ ๆ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง ส่วนตอนนี้นายกลับเข้ากรงไปได้แล้ว”
“…”
“รีบเข้ากรงไปสิ ถ้าขืนนายยังมัวโอ้เอ้แบบนี้อยู่ ฉันจะไม่เขียนจดหมายให้นะ” อเล็กซ์ยื่นคำขาด แล้วเพราะอย่างนั้นวินซ์ที่อยากจะให้เจ้าของเขียนความในใจให้ตัวเองจึงจำเป็นต้องบินกลับเข้ากรงของตัวเองพร้อมจัดการล็อกกรงขังอย่างรู้หน้าที่
โดยก่อนที่วินซ์จะเข้านอนตรงที่ประจำของตัวเอง ดวงตากลมโตของมันก็จับจ้องไปยังอเล็กซ์ที่กำลังบรรจงเขียนจดหมายให้กันอย่างใช้ความคิด จากนั้นมันก็ค่อย ๆ เลื่อนสายตาหันไปมองภาพเคลื่อนไหวจากสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่เขาเรียกว่าโทรทัศน์ต่อ เมื่อภาพในจอแก้วกำลังเรียกร้องความสนใจจากมันอยู่
เพียงแค่มันเห็นภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า หัวของวินซ์ที่สามารถหมุนได้ถึง270องศาก็เริ่มหมุนไปมา หลังภาพในจอแก้วที่มันกำลังเห็นอยู่ตอนนี้มันเป็นภาพที่สุนัขตัวใหญ่กำลังถูกมนุษย์ลูบหัวเกาพุงกันด้วยท่าทีสบายตัว
วินซ์พยายามจะจดจำภาพตรงหน้าให้ขึ้นใจ พร้อมวาดฝันเอาไว้ว่าในคืนพรุ่งนี้หลังจากที่มันนำจดหมายฉบับใหม่ไปส่งมอบให้ฟลินแล้ว มันจะลองขอให้มนุษย์ผู้แสนน่ารักลองทำแบบนั้นให้ตัวเองดูบ้าง เพราะมันคงจะเพลินดีไม่น้อย